มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันจันทร์ที่1 กุมภาพันธ์ 2016 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง                           2 ซมอ 15:13-14,30 และ 16:5-13ก
     มีผู้มากราบทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “ชาวอิสราเอลมีใจไปเข้ากับอับซาโลมแล้ว”กษัตริย์ดาวิดจึงตรัสกับข้าราชบริพารทั้งหลายที่อยู่กับพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มว่า “จงรีบหนีกันเถิด มิฉะนั้น พวกเราจะไม่มีใครหนีรอดพ้นอับซาโลมได้ จงรีบไปเถิด เขากำลังมาอย่างรวดเร็วและจะทันเรา นำหายนะมาให้เราและใช้ดาบฆ่าทุกคนในเมือง”
กษัตริย์ดาวิดเสด็จขึ้นบนภูเขามะกอกเทศ ทรงกันแสงตลอดทาง เสด็จโดยพระบาทเปล่า มีผ้าคลุมพระเศียรทุกคนที่ตามเสด็จต่างคลุมศีรษะและเดินร้องไห้
     เมื่อกษัตริย์ดาวิดเสด็จมาถึงบาหุริม ชายคนหนึ่งชื่อชิเมอีบุตรของเก-ราออกมาแช่งด่าพระองค์ พลางเดินตามไป เขามาจากตระกูลเดียวกันกับครอบครัวของกษัตริย์ซาอูล เขาขว้างหินใส่กษัตริย์ดาวิดและบรรดาข้าราชบริพาร ทั้งๆ ที่กษัตริย์ทรงมีผู้คนและองครักษ์ห้อมล้อมอยู่ทุกด้าน ชิเมอีตะโกนด่ากษัตริย์ดาวิดว่า “ไปให้พ้น ไปให้พ้น เจ้าฆาตกร เจ้าคนสารเลว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงโทษเจ้าแล้วที่ได้หลั่งเลือดผู้คนในครอบครัวของกษัตริย์ซาอูลและแย่งชิงราชสมบัติไป บัดนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบราชสมบัตินั้นให้อับซาโลม ลูกของเจ้า สมควรแล้วที่เจ้าจะรับโทษนี้ เพราะเจ้าเป็นฆาตกร”อาบีชัยบุตรของนางเศรุยาห์ทูลกษัตริย์ว่า “ทำไมไอ้หมาตายตัวนี้จะต้องแช่งด่าพระราชาเจ้านายของข้าพเจ้าโปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปตัดหัวของมันเถิด”แต่กษัตริย์ตรัสตอบว่า “บุตรของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีความคิดเห็นไม่ตรงกันถ้าเขาแช่งด่าเราเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบอกเขาว่า ‘จงไปแช่งด่าดาวิดเถิด’ใครจะมีสิทธิ์ถามเขาว่า ‘ทำไมท่านจึงทำเช่นนี้’”
     กษัตริย์ดาวิดตรัสกับอาบีชัยและข้าราชบริพารทั้งหลายว่า “ดูซิ แม้กระทั่งลูกที่เกิดจากเรายังพยายามจะฆ่าเรา แล้วสาอะไรกับชาวเบนยามินผู้นี้ ปล่อยเขาเถอะ ปล่อยให้เขาแช่งด่าเรา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้เขาทำ บางที องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยากของเราแล้วประทานพรให้เราแทนคำแช่งด่าในวันนี้”กษัตริย์ดาวิดทรงพระดำเนินต่อไปพร้อมกับคนของพระองค์

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 5:1-20
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์ข้ามทะเลสาบมาถึงดินแดนของชาวเกราซาครั้นพระองค์เสด็จขึ้นจากเรือชายคนหนึ่งซึ่งถูกปีศาจสิงออกมาจากบริเวณหลุมศพเข้ามาเฝ้าพระองค์ทันทีชายคนนี้อาศัยอยู่ตามหลุมศพไม่มีใครล่ามเขาไว้ได้แม้จะใช้โซ่ล่ามก็ตามมีผู้ใช้โซ่ตรวนล่ามเขาหลายครั้งเขาก็หักโซ่ตรวนไม่มีใครทำให้เขาสยบได้เขาอยู่ตามหลุมศพและตามภูเขาตลอดวันตลอดคืนส่งเสียงร้องเอ็ดอึงและใช้หินทุบตีตนเองเมื่อเห็นพระเยซูเจ้าแต่ไกลเขาก็วิ่งเข้ามากราบเฉพาะพระพักตร์ร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่พระเยซูบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุดท่านมายุ่งเกี่ยวกับข้าพเจ้าทำไมข้าพเจ้าวอนขอท่านในพระนามพระเจ้าอย่าทรมานข้าพเจ้าเลย” ทั้งนี้เพราะพระเยซูเจ้าตรัสสั่งปีศาจว่า “เจ้าปีศาจจงออกจากชายผู้นี้” แล้วพระองค์ทรงถามว่า “เจ้าชื่ออะไร” มันตอบว่า “ชื่อกองพลเพราะเราอยู่กันจำนวนมาก” และมันพร่ำวอนพระองค์มิให้ขับไล่มันออกจากบริเวณนั้นหมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่บนเนินเขาที่นั่นพวกปีศาจจึงอ้อนวอนพระองค์ว่า “ขอได้โปรดส่งพวกเราเข้าไปในหมูฝูงนั้นเถิด” พระองค์ก็ทรงอนุญาตพวกปีศาจจึงออกไปสิงอยู่ในร่างหมูหมูฝูงนั้นซึ่งมีประมาณสองพันตัวก็พากันวิ่งกระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบและจมน้ำตายทั้งหมดคนเลี้ยงหมูต่างวิ่งหนีไปเล่าเรื่องนี้ตามเมืองและตามชนบทประชาชนออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเขาเข้ามาใกล้พระเยซูเจ้าก็แลเห็นคนที่เคยถูกปีศาจกองพลสิงนั่งอยู่สวมเสื้อผ้ามีสติดีพวกเขาต่างมีความกลัวผู้ที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ถูกปีศาจสิงและเล่าเรื่องหมูให้ฟังประชาชนจึงขอร้องพระเยซูเจ้าให้เสด็จออกไปจากเขตแดนของเขาเมื่อพระองค์เสด็จลงเรือผู้ที่เคยถูกปีศาจสิงขออนุญาตตามเสด็จด้วยแต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาตตรัสว่า “จงกลับบ้านไปหาญาติพี่น้องของท่านเล่าให้เขาฟังถึงเหตุการณ์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำและแสดงพระเมตตาต่อท่าน” ชายนั้นจากไปเริ่มประกาศในแคว้นทศบุรีถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำต่อตนทุกคนที่ได้ฟังต่างประหลาดใจ

 

ข้อคิด
     น่าสังเกตว่าจิตชั่วร้ายนั้นจะปวดร้าว อึดอัดไม่มีความสุขเมื่ออยู่ใกล้ความดีหรือคนที่มีจิตดี มันจะมีปฏิกิริยาออกมาทันทีไม่อย่างหนึ่งก็อย่างได เช่น เอะอะ โวยวาย แสดงอาการไม่ชอบ นินทาว่าร้ายหรือแม้แต่ยกความเท็จมาใส่ความจิตที่ดีนั้น...เราเห็นอาการเช่นนี้ในพระวรสารวันนี้ ถ้าเรารู้ทันจิตเช่นนี้เราก็จะไม่หวั่นไหวเช่นพระเยซูเจ้า นอกจากนั้นเรายังเห็นชัดเจนว่าการทำดีของพระเยซูเจ้านั้นไม่ได้หวังชื่อเสียงแต่เป็นการประกาศพระสิริมงคลของพระเจ้าเท่านั้นพระองค์บอกชายคนนั้นว่า ....จงกลับไปหาญาติพี่น้องและเล่าเหตุการณ์ที่พระเป็นเจ้าทรงทำและมีเมตตาต่อท่าน.....พระองค์มอบเครดิตทุกอย่างให้พระบิดาเจ้า

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ 2016 ฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหาร

บทอ่านจากหนังสือประกาศกมาลาคี                                มลค 3:1-4
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้  “ดูซิ เราจะส่งผู้ถือสารของเราเพื่อเตรียมทางไว้ต่อหน้าเราทันใดนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ท่านแสวงหาจะเสด็จเข้ามาในพระวิหารของพระองค์ ทูตแห่งพันธสัญญาซึ่งท่านปรารถนา ดูซิ กำลังมาแล้ว พระยาห์เวห์จอมจักรวาลตรัส ใครจะทนวันที่เขามาได้ และใครจะยืนหยัดอยู่ได้เมื่อเขาปรากฏ เพราะเขาจะเป็นเหมือนไฟของช่างถลุงโลหะ และเหมือนสบู่ของคนซักฟอก เขาจะนั่งลงเหมือนช่างหลอมและช่างถลุงเงินเขาจะชำระบุตรหลานของเลวีให้บริสุทธิ์ จะถลุงเขาเหมือนถลุงทองคำและถลุงเงิน เพื่อเขาจะถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์ด้วยความชอบธรรม เครื่องบูชาของยูดาห์และเยรูซาเล็มจะเป็นที่พอพระทัยพระยาห์เวห์เหมือนในสมัยโบราณ เหมือนในปีก่อนๆ โน้น

 

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู                                     ฮบ2:14-18
     พี่น้อง บุตรทุกคนมีเลือดเนื้อร่วมกันฉันใดพระองค์ก็ทรงมีเลือดเนื้อร่วมกับมนุษย์ทุกคนด้วยฉันนั้นเพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์พระองค์จะทรงทำลายมารผู้มีอำนาจเหนือความตายลงได้เพื่อทรงปลดปล่อยผู้ตกเป็นทาสอยู่ตลอดชีวิตเพราะความกลัวตายให้เป็นอิสระได้โดยแท้จริงแล้วพระองค์มิได้เอาพระทัยใส่บรรดาทูตสวรรค์แต่เอาพระทัยใส่ต่อเชื้อสายของอับราฮัมจึงจำเป็นที่พระองค์จะต้องทรงเป็นเหมือนกับบรรดาพี่น้องทุกประการเพื่อพระองค์จะทรงเป็นมหาสมณะที่เพียบพร้อมด้วยพระกรุณาและทรงน่าเชื่อถือในการติดต่อกับพระเจ้าไถ่โทษชดเชยบาปของประชากรได้ในฐานะที่พระองค์ทรงรับการทรมานและทรงผ่านการผจญมาแล้วพระองค์จึงทรงช่วยเหลือผู้ที่ถูกผจญได้ด้วย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 2:22-32
     เมื่อครบกำหนดเวลาที่มารดาและบุตรจะต้องทำพิธีชำระมลทินตามธรรมบัญญัติของโมเสส โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์นำพระกุมารไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายแด่พระเจ้า มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า จะต้องถวายบุตรชายคนแรกแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และถวายเครื่องบูชาคือนกเขาหนึ่งคู่หรือนกพิราบสองตัวตามที่มีกำหนดไว้ในธรรมบัญญัติของพระเจ้า เวลานั้น ที่กรุงเยรูซาเล็ม ชายผู้หนึ่งชื่อสิเมโอน เป็นคนชอบธรรมและยำเกรงพระเจ้า เขารอคอยความรอดพ้นของอิสราเอล พระจิตเจ้าสถิตกับเขา และทรงเปิดเผยให้เขารู้ว่า เขาจะไม่ตายก่อนที่จะได้เห็นพระคริสต์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระจิตเจ้าทรงนำสิเมโอนเข้าไปในพระวิหาร ขณะที่โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์นำพระกุมารเข้ามาปฏิบัติตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ สิเมโอนรับพระกุมารมาอุ้มไว้ และกล่าวถวายพระพรแด่พระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าบัดนี้ พระองค์ทรงปล่อยผู้รับใช้ของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำรัสของพระองค์เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดพ้น ผู้ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับนานาประชาชาติเป็นแสงสว่างเปิดเผยให้คนต่างชาติรู้จักพระองค์ และเป็นสิริรุ่งโรจน์สำหรับอิสราเอลประชากรของพระองค์”

 

ข้อคิด
     ธรรมเนียมการถวายสิ่งต่างๆรวมทั้งบุตรแด่พระเจ้าของชาวยิวนั้นมีพื้นฐานจากความเชื่อว่าทุกสิ่งที่มอบให้พระย่อมเป็นมงคลและศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อเช่นนี้เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ หากเราปรารถนาในพระพรอันอุดมจากพระ ให้เราถวายสิ่งที่ดีที่สุดแด่พระเจ้า แล้วเราจะได้รับพระพรอย่างที่เราคิดไม่ถึง พระนางมารีย์และนักบุญโยเซฟได้ถวายพระกุมารเยซูในพระวิหารก็มีฐานจากความเชื่อเช่นนี้เอง มิใช่เพียงเพราะว่ากฎบังคับเท่านั้นแต่เพราะว่าท่านทั้งสองเชื่อมั่นจริงๆว่าทุกสิ่งที่มอบแด่พระเจ้า พระองค์ย่อมปกป้องคุ้มครองและสิ่งหรือบุคคลนั้นก็จะเป็นสมบัติของพระองค์ด้วย...

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2016 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง                     1 พกษ 2:1-4,10-12
     เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงตระหนักว่าใกล้จะสิ้นพระชนม์ จึงทรงเรียกกษัตริย์ซาโลมอนพระโอรสและทรงสั่งว่า “พ่อกำลังจะตายในไม่ช้า ลูกจงเข้มแข็งอย่างลูกผู้ชายเถิด จงปฏิบัติตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของลูก จงเดินตามหนทางของพระองค์ ปฏิบัติตามข้อกำหนด บทบัญญัติ พระวินิจฉัยและกฤษฎีกาของพระองค์ ดังที่เขียนไว้ในธรรมบัญญัติของโมเสส แล้วลูกจะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าลูกจะทำสิ่งใดและจะไปที่ไหน เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงบันดาลให้พระสัญญาที่ตรัสไว้กับพ่อเป็นความจริง คือพระสัญญาที่ว่า ‘ถ้าบุตรหลานของท่านประพฤติตนตามทำนองคลองธรรม ดำเนินชีวิตต่อหน้าเราด้วยความซื่อสัตย์สุดจิตสุดใจ เชื้อสายคนหนึ่งของท่านจะนั่งบัลลังก์ของอิสราเอลตลอดไป’”
กษัตริย์ดาวิดเสด็จสวรรคตไปอยู่กับบรรพบุรุษ ทรงถูกฝังไว้ในนครของกษัตริย์ดาวิด พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลเป็นเวลาสี่สิบปี ทรงปกครองที่เมืองเฮโบรนเจ็ดปี และที่กรุงเยรูซาเล็มสามสิบสามปี
กษัตริย์ซาโลมอนทรงสืบราชสมบัติต่อจากกษัตริย์ดาวิดพระบิดา ราชบัลลังก์ของพระองค์ตั้งอยู่อย่างมั่นคง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                              มก 6:7-13
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคนเข้ามาพบและทรงเริ่มส่งเขาเป็นคู่ๆประทานอำนาจเหนือปีศาจทรงกำชับเขามิให้นำสิ่งใดไปด้วยนอกจากไม้เท้าเท่านั้นไม่ให้มีอาหารไม่ให้มีย่ามไม่ให้มีเศษเงินใส่ไถ้ให้สวมรองเท้าได้แต่ไม่ให้เอาเสื้อสำรองไปด้วยพระองค์ตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านเข้าไปในบ้านใดจงพักอยู่ที่นั่นจนกว่าจะออกเดินทางต่อไปถ้าที่ใดไม่ต้อนรับท่านหรือไม่ฟังท่านจงออกจากที่นั่นพลางสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็นพยานกล่าวโทษเขา” บรรดาอัครสาวกจึงไปเทศน์สอนคนทั้งหลายให้กลับใจขับไล่ปีศาจจำนวนมากเจิมน้ำมันผู้เจ็บป่วยหลายคนและรักษาเขาให้หายจากโรคภัย

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าส่งศิษย์ไปตามที่ต่างๆเป็นคู่ๆ พระวรสารวันนี้มีนัยยะที่น่าสนใจมาก เหตุใดๆต้องเป็นคู่ๆ?คำตอบคือเพื่อช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้แก่กันและกัน แต่มีคำถามว่า การไปเป็นคู่ๆนั้นก่อให้เกิดผลดีเสมอไปหรือไม่? ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าผลดีของการเทศน์สอนของศิษย์นั้นเกิดจากการไปเป็นคู่ แต่ค่อนข้างจะชัดเจนว่าทุกคนหรือทุกคู่ที่ไปในพระนามของพระเยซูเจ้าหรือในฐานะผู้แทนของพระองค์นั้นย่อมทำงานได้ผลเสมอ... เพราะไม่ใช่พวกเขาที่ทำให้เกิดผลแต่เป็นพระจิตของพระเยซูเจ้าที่ทำงานในตัวเขาต่างหากเป็นบ่อเกิดของความสำเร็จในการเทศน์สอน การทำให้คนกลับใจหรือแม้แต่ขับไล่ปีศาจได้

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2016 น.บลาซีโอ พระสังฆราชและมรณสักขี น.อันสการ์ พระสังฆราช

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง                            2 ซมอ 24:2,9-17
     กษัตริย์จึงรับสั่งแก่โยอาบและบรรดาผู้บังคับบัญชากองทัพซึ่งอยู่กับเขาว่า “จงไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า ตั้งแต่เมืองดานจนถึงเบเออร์เชบาเพื่อสำรวจจำนวนประชากร เราอยากจะรู้ว่ามีคนเท่าไร”
     โยอาบทูลรายงานกษัตริย์ถึงจำนวนประชากร ชายที่ออกศึกได้ในอิสราเอลมีจำนวนแปดแสนคน ส่วนในยูดาห์มีห้าแสนคน
หลังจากสำรวจจำนวนประชากรแล้ว กษัตริย์ดาวิดทรงรู้สึกผิดจึงทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าทำบาปมากที่ได้ทำเช่นนี้ บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงอภัยความผิดของผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะข้าพเจ้าทำไปโดยโง่เขลา”เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อกษัตริย์ดาวิดตื่นบรรทมแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ประกาศกกาด ผู้ทำนายของกษัตริย์ดาวิดว่า “จงไปทูลกษัตริย์ดาวิดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราให้ท่านเลือกการลงโทษจากสามประการนี้ เราจะทำตามที่ท่านเลือก’”ประกาศกกาดจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ดาวิดทูลตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์จะทรงเลือกอย่างไหน ให้แผ่นดินของพระองค์กันดารอาหารเป็นเวลาสามปี หรือให้พระองค์ต้องทรงหนีศัตรูเป็นเวลาสามเดือนหรือให้เกิดโรคระบาดในแผ่นดินเป็นเวลาสามวันขอทรงใคร่ครวญให้ดี แล้วตัดสินพระทัยบอกข้าพเจ้า เพื่อจะนำคำตอบไปทูลผู้ทรงส่งข้าพเจ้ามา”กษัตริย์ดาวิดตรัสตอบประกาศกกาดว่า “เรารู้สึกลำบากใจมาก ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงโทษเราดีกว่าจะให้มนุษย์ลงโทษ เพราะพระเมตตาของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่”ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้เกิดโรคระบาดขึ้นในอิสราเอลตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาที่ทรงกำหนด มีผู้คนล้มตายตั้งแต่เมืองดานจนถึงเบเออร์เชบาถึงเจ็ดหมื่นคน เมื่อทูตสวรรค์กำลังจะทำลายกรุงเยรูซาเล็ม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ทรงปรารถนาให้ภัยพิบัติลุกลามต่อไป จึงตรัสห้ามทูตสวรรค์ที่กำลังจะคร่าชีวิตผู้คนว่า “พอแล้ว หยุดเถิด”ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังยืนอยู่ที่ลานนวดข้าวของอาราวนาห์ ชาวเยบุส
     กษัตริย์ดาวิดทอดพระเนตรเห็นทูตสวรรค์กำลังจะฆ่าผู้คน ก็ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าทำบาป ข้าพเจ้าผู้เดียวกระทำผิด แต่คนใต้ปกครองของข้าพเจ้าเหล่านี้ได้ทำผิดอะไรพระองค์น่าจะทรงลงโทษข้าพเจ้ากับครอบครัวมากกว่า”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 6:1-6
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่นกลับไปยังถิ่นกำเนิดของพระองค์บรรดาศิษย์ติดตามไปด้วยครั้นถึงวันสับบาโตพระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนในศาลาธรรมผู้ฟังจำนวนมากต่างประหลาดใจและพูดว่า “เขาเอาเรื่องทั้งหมดนี้มาจากไหนปรีชาญาณที่เขาได้รับมานี้คืออะไรอะไรคืออัศจรรย์ที่สำเร็จด้วยมือของเขาคนนี้เป็นช่างไม้ลูกนางมารีย์เป็นพี่น้องของยากอบโยเสทยูดาและซีโมนไม่ใช่หรือพี่สาวน้องสาวของเขาก็อยู่ที่นี่กับพวกเรามิใช่หรือ” คนเหล่านั้นรู้สึกสะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำเนิดท่ามกลางวงศ์ญาติและในบ้านของตน” พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ที่นั่นไม่ได้นอกจากทรงปกพระหัตถ์รักษาผู้เจ็บป่วยบางคนให้หายจากโรคภัยพระองค์ทรงแปลกพระทัยที่เขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อพระองค์เสด็จไปทรงสั่งสอนตามหมู่บ้านต่างๆในบริเวณนั้น

 

ข้อคิด
     เหตุใดคนบ้านเดียวกันจึงไม่ยอมรับประกาศก??? คำตอบคือ เพราะคนบ้านเดียวกันมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ......คนที่ไม่เชื่อย่อมปิดความคิดของตน และทำให้เกิดท่าทีของการไม่ยอมรับ หรือท่าทีว่าทำไมฉันไม่รู้เลย....แน่นอนเมื่อพระเจ้าทำงานในแต่ละคน นั้นไม่จำเป็นที่พระองค์จะต้องมาขออนุญาตใครก่อน ตรงกันข้ามถ้าหากเขาอยากรู้ว่าพระพรของพระเจ้าทำงานเช่นไร? เขาต้องเปิดใจและมีท่าทีว่า สำหรับพระเจ้าแล้วทุกสิ่งเป็นไปได้ และมีสิ่งที่น่าสังเกตุคือพระเจ้ามักจะใช้คนที่มีจิตใจเปิดกว้างและสุภาพถ่อมตนเป็นเครื่องมีแสดงพระอานุภาพของพระองค์

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2016 ระลึกถึง น.อากาทา พรหมจารีและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือบุตรสิรา                                          บสร 47:2-11
     เมื่อถวายศานติบูชา ไขมันย่อมถูกแยกออกมาฉันใดดาวิดก็ได้รับเลือกสรรออกมาจากชาวอิสราเอลทั้งปวงฉันนั้นเขาเคยเล่นกับสิงโตเหมือนเล่นกับลูกแพะเล่นกับหมีเหมือนเล่นกับลูกแกะเมื่อเป็นหนุ่ม เขาได้ฆ่ายักษ์มิใช่หรือเขาลบล้างความอับอายของประชากรใช้สลิงขว้างก้อนหินทำให้โกลิอัทผู้โอหังต้องล้มคว่ำลงเขาร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้สูงสุดพระองค์จึงประทานกำลังแก่มือขวาของเขาเพื่อทำลายนักรบที่แกร่งกล้าและยกอำนาจประชากรของตนขึ้นมาอีกดังนั้น ประชาชนจึงให้เกียรติเขาว่าได้ฆ่าคนเป็นหมื่นสรรเสริญเขา ถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและนำมงกุฎรุ่งโรจน์มาถวายให้เป็นกษัตริย์พระองค์จึงทรงปราบศัตรูโดยรอบทรงทำลายล้างชาวฟีลิสเตียที่เป็นศัตรูทรงโค่นอำนาจของเขาจนถึงทุกวันนี้ในพระราชกิจทุกอย่าง พระองค์ทรงถวายพระพรแด่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์และสูงสุดด้วยถ้อยคำสรรเสริญพระเจ้าทรงขับร้องสรรเสริญพระเจ้าสุดจิตใจและทรงรักพระผู้ทรงสร้างพระองค์ทรงจัดให้มีนักดนตรีบรรเลงเพลงสดุดีต่อหน้าพระแท่นบูชาทำให้เพลงขับร้องไพเราะยิ่งขึ้นด้วยเสียงดนตรีทรงจัดการฉลองให้สง่างามทำให้วันสมโภชประจำปียิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อสรรเสริญพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าและทำให้สักการสถานกึกก้องด้วยเสียงขับร้องสรรเสริญตั้งแต่เช้าตรู่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอภัยบาปของกษัตริย์ดาวิดทรงทวีอำนาจของพระองค์ให้มากยิ่งขึ้นอยู่เสมอประทานพันธสัญญาให้มีผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระองค์และประทานราชบัลลังก์รุ่งโรจน์ในอิสราเอล

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                              มก 6:14-29
     เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าเพราะพระนามของพระเยซูเจ้าเลื่องลือไปบางคนพูดว่า “ยอห์นผู้ทำพิธีล้างได้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายแล้วดังนั้นเขาจึงมีอำนาจทำอัศจรรย์ได้” บางคนพูดว่า “เขาคือเอลียาห์” บางคนก็พูดว่า “เขาเป็นประกาศกคนหนึ่งเหมือนกับประกาศกคนอื่น” แต่เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเช่นนี้ก็ตรัสว่า “ยอห์นคนที่เราให้ตัดศีรษะได้กลับคืนชีพมาอีก”
     กษัตริย์เฮโรดองค์นี้เคยทรงสั่งให้จับกุมยอห์นและล่ามโซ่ขังคุกไว้เพราะเรื่องของนางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปพระอนุชาซึ่งกษัตริย์เฮโรดทรงรับมาเป็นมเหสียอห์นเคยทูลกษัตริย์เฮโรดว่า “ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับภรรยาของน้องชายมาเป็นมเหสี” นางเฮโรเดียสจึงโกรธแค้นและปรารถนาจะฆ่ายอห์นเสียแต่ฆ่าไม่ได้เพราะกษัตริย์เฮโรดยังทรงเกรงยอห์นอยู่ทรงทราบว่ายอห์นเป็นคนชอบธรรมและศักดิ์สิทธิ์จึงทรงป้องกันไว้เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงฟังคำพูดของยอห์นทรงรู้สึกสับสนแต่ก็ทรงยินดีที่จะฟัง
นางเฮโรเดียสได้โอกาสเมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงจัดให้มีงานเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่และคนสำคัญในแคว้นกาลิลีในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำเป็นที่พอพระทัยของกษัตริย์เฮโรดและเป็นที่พอใจของผู้รับเชิญกษัตริย์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า “ท่านอยากได้อะไรก็ขอมาเถิดเราจะให้” และยังทรงสาบานอีกว่า “ท่านขออะไรเราก็จะให้แม้จะเป็นครึ่งหนึ่งของอาณาจักรของเราก็ตาม” หญิงสาวจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขออะไรดี” มารดาตอบว่า “จงขอศีรษะของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง” หญิงสาวจึงรีบกลับมาทูลกษัตริย์ทันทีว่า “หม่อมฉันขอศีรษะของยอห์นผู้ทำพิธีล้างใส่ถาดมาให้เดี๋ยวนี้” กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์อย่างยิ่งแต่เพราะได้ทรงสาบานไว้และเพราะทรงเห็นแก่ผู้รับเชิญไม่ทรงปรารถนาจะขัดใจหญิงสาวจึงทรงสั่งเพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นมาทันทีเพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นในคุกใส่ถาดนำมาให้หญิงสาวหญิงสาวจึงนำไปให้มารดาเมื่อบรรดาศิษย์ของยอห์นรู้เรื่องจึงมารับศพของยอห์นนำไปฝังไว้ในคูหา

 

ข้อคิด
     วันฉลองน.อากาทามรณสักขีพระศาสนจักรได้ยืนยันจิตดีงามของเธอในวันนี้และเลือกที่จะเอาเรื่องราวการสิ้นชีวิตของท่านนักบุญยอห์นบัปติสมาให้เราพิจารณา การตายของท่านยอห์นเกิดจากจิตอาฆาตของนางเฮโรเดียส จิตอาฆาตของนางเกิดจากความอับอายที่ได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายผิดศีลธรรมทางเพศแต่นางไม่ยอมรับ จิตชั่วร้ายของนางจึงคอยจ้องหาโอกาสทำลายเสียงของความดีตลอดเวลา... และวันหนึ่งโอกาสของนางก็มาถึง...แต่อนิจจาโอกาสเช่นนี้กลับตอกย้ำความชั่วร้ายของนางให้ลึกลงมากยิ่งขึ้น ....เรื่องจิตอาฆาตของนางเฮโรเดียสจะถูกกล่าวขานต่อๆไปในอนาคตอีกนานแสนนาน.. และเช่นเดียวกันจิตอันดีงามของน.อากาทาและนักบุญยอห์นก็จะถูกเล่าขานในฐานะวีรสตรีและวีรบุรุษไปอีกนานเช่นกัน...ทุกอย่างเริ่มที่จิต

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown