มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2016 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                          ปฐก 15:5-12,17-18
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพาอับรามออกไปข้างนอก แล้วตรัสว่า “จงมองดูท้องฟ้า นับจำนวนดวงดาวเถิด ถ้าท่านนับได้” พระองค์ทรงเสริมว่า “ลูกหลานของท่านจะมีจำนวนมากมายเช่นนี้” อับรามเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงนับว่าความเชื่อนี้เป็นความชอบธรรมสำหรับเขา
     พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้พาท่านออกจากเมืองอูร์ของชาวเคลเดีย เพื่อจะมอบแผ่นดินนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน” อับรามทูลตอบว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ข้าพเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่า แผ่นดินนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของข้าพเจ้า” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงนำลูกโคตัวเมียอายุสามปี แพะตัวเมียอายุสามปี และแกะตัวผู้อายุสามปี นกเขาและนกพิราบอย่างละตัว มาให้เรา” อับรามก็ไปนำสัตว์เหล่านี้ทั้งหมดมา ผ่าครึ่งตัววางไว้ตรงกันเป็นสองแถว แต่ไม่ได้ผ่านก เมื่อแร้งบินลงมาที่ร่างสัตว์เหล่านี้ อับรามก็ไล่มันไป
     ขณะที่ดวงอาทิตย์จวนจะตก อับรามก็หลับสนิท ความมืดมิดที่น่ากลัวอย่างยิ่งมาครอบคลุมเขาไว้
เมื่อดวงอาทิตย์ตกและมืดลงแล้ว ก็มีหม้อไฟที่มีควันพวยพุ่งและคบเพลิงที่ลุกอยู่ลอยผ่านระหว่างกลางสัตว์ที่ผ่าซีกเหล่านั้นในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำพันธสัญญาไว้กับอับรามว่า
“เรามอบแผ่นดินนี้ให้แก่ลูกหลานของท่าน ตั้งแต่แม่น้ำแห่งอียิปต์ไปจนถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส

 

เพลงสดุดี                                                                    สดด 27:1-2,7-10,13-14
     ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความสว่างและทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น
ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใด
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นป้อมปราการปกป้องชีวิตของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะหวาดกลัวผู้ใด
เมื่อคนชั่วร้ายเข้ามาโจมตีข้าพเจ้าเพื่อจะกินเนื้อข้าพเจ้า
คู่อริและศัตรูของข้าพเจ้านั่นแหลจะต้องสะดุดและล้มลง
     ข) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงฟังเสียงข้าพเจ้า
เมื่อข้าพเจ้าร้องหาพระองค์
โปรดทรงพระกรุณาตอบข้าพเจ้าด้วยเถิด
ใจข้าพเจ้าคิดถึงพระวาจาที่ว่า
"จงแสวงหาใบหน้าของเราเถิด"
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ากำลังแสวงหาพระพักตร์พระองค์อยู่
ขออย่าทรงซ่อนพระพักตร์จากข้าพเจ้า
     ค) อย่ากริ้วและอย่าทรงขับไล่ข้ารับใช้ของพระองค์เลย
พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้า
โปรดอย่าทรงจากข้าพเจ้าไป อย่าทรงละทิ้งข้าพเจ้าไว้
ข้าแต่พระเจ้า ผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น
แม้บิดามารดาจะทอดทิ้งข้าพเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงรับข้าพเจ้าไว้
     ง) ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าจะได้เห็นความดีขององค์พระผู้เป็นเจ้าในแผ่นดินแห่งผู้เป็น
จงมีความหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงเข้มแข็ง จงทำใจกล้า
จงมีความหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี          ฟป 3:17-4:1
     พี่น้องทั้งหลายจงพร้อมใจกันประพฤติตามอย่างข้าพเจ้าท่านทั้งหลายเห็นว่าเราเป็นแบบฉบับอย่างไรก็จงดำเนินตามอย่างนั้นเถิดข้าพเจ้าเคยบอกให้ท่านรู้หลายครั้งแล้วบัดนี้ก็ขอบอกซ้ำด้วยน้ำตาอีกว่าหลายคนประพฤติตนเป็นศัตรูกับไม้กางเขนของพระคริสตเจ้าปลายทางของพวกเขาเหล่านี้คือความพินาศพระเจ้าของเขาทั้งหลายคือท้องเขาอ้างความน่าละอายมาโอ้อวดเขาสนใจสิ่งของของโลกแต่บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ในสวรรค์เราเฝ้าคอยพระผู้ไถ่จากแดนนี้คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์จะทรงเปลี่ยนรูปร่างต่ำต้อยของเราให้เหมือนพระกายรุ่งโรจน์ของพระองค์ด้วยพระฤทธานุภาพที่ทำให้พระองค์ทรงบังคับจักรวาลทั้งหมดให้อยู่ใต้อำนาจของพระองค์ได้
     พี่น้องที่รักผู้เป็นความปรารถนาเป็นความยินดีและเป็นประดุจมงกุฎของข้าพเจ้าจงยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิดท่านที่รักทั้งหลาย

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญลูกา                                     ลก 9:28ข-36
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตรยอห์น และยากอบ ขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา ขณะที่ทรงอธิษฐานภาวนาอยู่นั้น ลักษณะของพระพักตร์เปลี่ยนไปและฉลองพระองค์มีสีขาวเจิดจ้า ทันใดนั้น บุรุษสองคนคือโมเสสและประกาศกเอลียาห์มาสนทนากับพระองค์ ทั้งสองคนปรากฏมาในสิริรุ่งโรจน์ กล่าวถึงการจากไปของพระองค์ที่กำลังจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม เปโตรและเพื่อนที่อยู่ด้วยต่างก็ง่วงนอนมาก เมื่อตื่นขึ้นก็เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์และเห็นบุรุษทั้งสองคนยืนอยู่กับพระองค์ ขณะที่บุรุษทั้งสองคนกำลังจะจากพระเยซูเจ้าไป เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆ เราจงสร้างเพิงขึ้นสามหลังเถิด หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำหรับประกาศกเอลียาห์” เขาไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เมฆก้อนหนึ่งลอยมาปกคลุมเขาไว้ เมื่ออยู่ในเมฆ เขากลัวมาก เสียงหนึ่งดังออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรของเรา ผู้ที่เราได้เลือกสรร จงฟังท่านเถิด” เมื่อสิ้นเสียงนั้นแล้ว ศิษย์ทั้งสามคนก็เห็นพระเยซูเจ้าเพียงพระองค์เดียว เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่ได้บอกเรื่องที่เห็นให้ผู้ใดรู้เลยในเวลานั้น

 

ข้อคิด
     คนทั่วไปในอดีตและปัจจุบันยังไม่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นบุตรพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงทำอัศจรรย์มากมาย รักษาคนเจ็บป่วย ยกบาป ปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ พระองค์สิ้นพระชนม์แล้วก็กลับคืนชีพ พระวรสารวันนี้ก็ยืนยันว่า พระองค์ทรงเป็นบุตรพระจ้า โดยมีเสียงพระบิดาจากฟ้ายืนยันว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรของเรา จงฟังท่านเถิด”
     พระเยซูเจ้าจำแลงพระกาย พระพักตร์รุ่งโรจน์ให้พระอัครสาวก 3 องค์เห็นเป็นพยาน จะได้ไม่เสียความเชื่อ เมื่อเห็นพระองค์ถูกทรมาน รับความตาย เปโตรมีความสุขมากอยากอยู่บนภูเขาต่อไป แต่บัดดลภาพต่างๆ นี้ก็หายไป เรื่องนี้สอนเปโตรและสอนเราว่า โลกนี้ไม่ใช่ที่อยู่ถาวรให้ความสุขแก่เรา เราต้องเจริญชีวิตแบบพระอาจารย์ ต้องทนทุกข์ทรมาน ลำบากเสียก่อนในโลกนี้ แล้วจึงพบความสุขถาวรแท้จริงในโลกหน้า

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2016 ฉลองธรรมาสน์นักบุญเปโตร อัครสาวก

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง     1 ปต5:1-4
     พี่น้องที่รัก โดยเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งเป็นพยานถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้าและมีส่วนจะรับพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะปรากฏในอนาคตด้วย ข้าพเจ้าขอร้องบรรดาผู้อาวุโสในกลุ่มของท่านทั้งหลายจงเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของท่านจงดูแลด้วยความเต็มใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า มิใช่ดูแลด้วยความจำใจจงดูแลด้วยความสมัครใจมิใช่ดูแลเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้างจงเป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะมิใช่เป็นเหมือนเจ้านายเหนือผู้ที่อยู่ใต้ปกครองเมื่อพระคริสตเจ้าพระผู้เลี้ยงสูงสุดจะทรงสำแดงพระองค์ท่านจะได้รับสิริรุ่งโรจน์เป็นมงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ16:13-19
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่ง ฟีลิปและตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้างบ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศก
เยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง”
     พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้าพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมนบุตรของยอห์นท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผยเราบอกท่านว่าท่านเป็นศิลา และบนศิลานี้เราจะสร้างพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วยทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”

 

ข้อคิด
     เปโตรยืนยันความเชื่อว่า พระเยซูเจ้าคือพระบุตรของพระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงชมและให้รางวัลเปโตร แต่ตั้งเปโตรผู้แทนพระองค์เป็นศิลา และบนศิลานี้พระองค์ทรงตั้งพระศาสนจักร ทรงมอบกุญแจสวรรค์ให้ มีอำนาจต่างๆ ทั้งในโลกนี้และในสวรรค์ เปโตรมรณะ ฝังที่กรุงโรม มหาวิหารนักบุญเปโตรใหญ่ที่สุดในโลก สร่างบนหลุมฝังศพของท่าน เป็นศูนย์กลางของพระศาสนจักร นิกายต่างๆ แตกแยกไป เพราะไม่เชื่อฟังสมเด็จพระสันตะปาปา ผู้แทนนักบุญเปโตร ให้เราภาวนาเพื่อให้สมาชิกนิกายต่างๆ จะได้มารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ภายใต้ชุมพาบาลแต่องค์เดียว

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2016 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                             ยรม18:18-20
     ชาวยิวที่คิดร้ายต่อประกาศกเยเรมีย์กล่าวกันว่า “มาเถิด เราจงวางแผนปองร้ายประกาศกเยเรมีย์ เพราะว่าธรรมบัญญัติจะไม่สูญหายไปจากบรรดาสมณะ คำปรึกษาย่อมไม่ขาดไปจากบรรดาผู้มีปรีชา และการประกาศพระวาจาไม่ขาดไปจากบรรดาประกาศกมาเถิด เราจงพูดใส่ร้ายเขา อย่าไปสนใจฟังคำพูดของเขาเลย”
     ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงสนพระทัยข้าพเจ้า โปรดทรงฟังเสียงคู่อริของข้าพเจ้าเถิด ความชั่วเป็นการตอบแทนความดีหรือ เขากำลังขุดหลุมไว้ดักข้าพเจ้า โปรดทรงระลึกว่าข้าพเจ้าเคยยืนเฉพาะพระพักตร์ เพื่อทูลขอความดีให้เขา เพื่อหันพระพิโรธของพระองค์ไปจากเขา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ20:17-28
     เวลานั้น พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มพระองค์ทรงพาเฉพาะอัครสาวกสิบสองคนออกไปแล้วตรัสแก่เขาขณะเดินทางว่า “บัดนี้พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มบุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบแก่บรรดาหัวหน้าสมณะและบรรดาธรรมาจารย์เขาจะถูกตัดสินประหารชีวิตและจะถูกมอบให้คนต่างชาติสบประมาทเยาะเย้ยโบยตีและนำไปตรึงกางเขนแต่ในวันที่สามบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพ”
     มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระองค์พร้อมกับบุตรนางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์พระองค์จึงตรัสถามนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางทูลว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บุตรทั้งสองคนของข้าพเจ้านั่งข้างขวาคนหนึ่งนั่งข้างซ้ายคนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไรท่านดื่มถ้วย ซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่” เขาทั้งสองคนทูลตอบว่า “ได้พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดื่มถ้วยของเรา แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้”
     เมื่อได้ยินดังนั้นอัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้นพระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมาพบตรัสว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าในหมู่คนต่างชาติ ผู้ปกครองย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่นและผู้ใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับแต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้นผู้ที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่นและผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลายก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้เหมือนกับที่บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่นและมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย”

 

ข้อคิด
     “บุตรแห่งมนุษย์มิได้เสด็จมาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่เพื่อรับใช้ผู้อื่น” นี่คือพันธกิจของพระอาจารย์ของเรา เราผู้เป็นศิษย์ต้องไม่เหนืออาจารย์ ทรงกำชับผู้ที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ ต้องรับใช้ผู้อื่น สมเด็จพระสันตะปาปาได้ชื่อว่า “ผู้รับใช้แห่งผู้รับใช้ทั้งหลาย” เรายังใฝ่หาตำแหน่ง เกียรติยศ ชื่อเสียง เหมือนมารดาของบุตรเศเบดีหรือบุตรเศเบดีแองอยู่หรือ ไม่สนใจจะดื่มถ้วยแห่งความทุกข์ยากลำบากกับพระองค์ในโลกนี้เสียก่อน ส่วนพระบิดาจะประทานเกียรติมงคลให้ในโลกหน้า

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2016 ระลึกถึง น.โปลีการ์ป พระสังฆราช มรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                              อสย1:10,16-20
     ท่านทั้งหลายผู้มีอำนาจปกครองเมืองโสโดมเอ๋ย จงฟังพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ประชาชนแห่งเมืองโกโมราห์เอ๋ย จงเงี่ยหูฟังคำสอนของพระเจ้าของเราเถิด
จงล้าง จงชำระตนให้สะอาด จงนำกิจการชั่วร้ายของท่านออกไปให้พ้นจากสายตาเรา จงเลิกทำความชั่ว จงเรียนรู้ที่จะทำความดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงช่วยเหลือผู้ถูกข่มเหง จงให้ความเป็นธรรมแก่ลูกกำพร้า จงปกป้องสิทธิของหญิงม่าย
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “มาเถิด มาพิจารณาความด้วยกันกับเรา แม้บาปของท่านเป็นสีแดงเหมือนผ้าสีเลือดหมู ก็จะขาวอย่างหิมะ แม้บาปของท่านจะเป็นสีแดงเหมือนผ้าสีแดงเข้ม ก็จะขาวเหมือนขนแกะถ้าท่านทั้งหลายยอมเชื่อฟัง ท่านจะได้กินผลดีของแผ่นดิน แต่ถ้าท่านดื้อรั้นและเป็นกบฏ ท่านจะเป็นเหยื่อของคมดาบ เพราะพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ23:1-12
     ครั้งนั้นพระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนและบรรดาศิษย์ว่า “พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนั่งบนธรรมาสน์ของโมเสสถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใดท่านจงปฏิบัติตามเถิด แต่อย่าปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขาเพราะเขาพูดแต่ไม่ปฏิบัติเขามัดสัมภาระหนักวางบนบ่าคนอื่นแต่เขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิ้วไปยกขึ้นเขาทำกิจการทุกอย่างเพื่อให้คนเห็นเช่นเขาขยายกลักบรรจุพระวาจาให้ใหญ่ขึ้นผ้าคลุมของเขามีพู่ยาวกว่าของคนอื่นเขาชอบที่นั่งมีเกียรติในงานเลี้ยงชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรมชอบให้ผู้คนคำนับตามลานสาธารณะชอบให้ทุกคนเรียกว่า ‘รับบี’
     ส่วนท่านทั้งหลายอย่าให้ผู้ใดเรียกว่า ‘รับบี’ เพราะอาจารย์ของท่านมีเพียงผู้เดียวและทุกคนเป็นพี่น้องกันในโลกนี้อย่าเรียกผู้ใดว่า ‘บิดา’ เพราะว่าพระบิดาของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระบิดาในสวรรค์อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ เพราะพระอาจารย์ของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระคริสตเจ้าในกลุ่มของท่านผู้ใดเป็นใหญ่จะต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่นผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลงผู้ใดถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าทรงเจริญชีวิตเงียบๆ 30 ปีที่บ้านนาซาเร็ธ ปฏิบัติตามบัญญัติต่างๆ แล้วจึงเทศน์สอนผู้อื่นอย่างผู้มีอำนาจ ทรงเตือนประชาชนให้ทำตามที่ธรรมาจารย์สอน แต่อย่าทำตามที่เขาทำ เพราะเขาไม่ทำตามที่เขาสอน พระเยซูเจ้าทรงเป็นถึงพระอาจารย์ ไม่ตั้งตัวเป็นเจ้าเป็นนาย แต่ทรงถ่อมองค์ลงล้างเท้าบรรดาศิษย์ พระองค์เสด็จมามิใช่เพื่อให้ผู้อื่นรับใช้พระองค์ แต่เพื่อทรงรับใช้ผู้อื่น ขอให้พ่อแม่ ครูอาจารย์ และผู้ใหญ่ทั้งหลาย จงทำหน้าที่อบรมสั่งสอนลูกหลาน ลูกศิษย์และผู้น้อย มิใช่ด้วยวาจาอย่างเดียว แต่ด้วยแบบอย่างที่ดี ปฏิบัติตามที่สอน

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2016 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                               ยรม17:5-10
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “คนที่วางใจในมนุษย์ย่อมถูกสาปแช่ง เขาพึ่งพลังของมนุษย์ ใจของเขาหันออกจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเป็นเหมือนพุ่มไม้ในถิ่นทุรกันดาร ไม่เห็นความดีใดๆ ที่มาถึง เขาจะอาศัยอยู่ในที่แห้งแล้งของถิ่นทุรกันดาร ในแผ่นดินเค็มที่ไม่มีผู้คนอาศัย”
     “คนที่วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมได้รับพระพร องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความหวังของเขาเขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากออกไปที่ลำน้ำ เมื่อความร้อนมาถึง เขาก็ไม่กลัว ใบของเขาคงเขียวอยู่เสมอ เขาจะไม่กังวลใจในปีที่แห้งแล้ง จะไม่หยุดออกผล”
     “จิตใจหลอกลวงมากกว่าสิ่งอื่นทั้งหมด ไม่อาจแก้ไข ผู้ใดจะรู้จักใจได้เรา องค์พระผู้เป็นเจ้า สำรวจจิต และทดสอบใจ เพื่อจะตอบแทนแต่ละคนตามความประพฤติของเขา”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                    ลก16:19-31
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกฟาริสีว่า “เศรษฐีผู้หนึ่ง แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน คนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีมีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้เศรษฐีซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก จึงร้องตะโกนว่า “ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้” แต่อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดีๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลวๆ บัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย”
เศรษฐีจึงพูดว่า “ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก เพราะลูกยังมีพี่น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย” อับราฮัมตอบว่า “พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด” แต่เศรษฐีพูดว่า “มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ” อับราฮัมตอบว่า “ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ”

 

ข้อคิด
     สังคมของเรายังมีช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน คนจนถูกเอารัดเอาเปรียบ คนจนขาดปัจจัย 4 ของความเป็นมนุษย์ สังคมมิได้ช่วยเหลือ แต่กลุ่มคริสตชนสมัยแรกมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยเหลือแบ่งปัน ในกลุ่มของเขาไม่มีใครขัดสน ได้รับความนิยมจากประชาชน พระศาสนจักรต้องยากจน อยู่เพื่อคนจน อยู่กับคนจน เราอย่าลืมช่วยเหลือคนจน เพราะในวันสุดท้าย พระเจ้าจะพิพากษาเรา “เราหิว เรากระหาย...ท่านไม่ได้ให้เรากิน ไม่ได้ให้เราดื่ม...” แต่ถ้าเรายากจนก็ไม่เสียใจ เพราะเรามั่นใจว่าพระจะไม่ทอดทิ้งเรา พระเยซูเจ้าเกิดมาบนความยากจน เพื่อเป็นเพื่อนของคนจน พระอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนจน

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown