มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2016 หลังวันพุธรับเถ้า

บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ                              ฉธบ30:15-20
     โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “จงฟังเถิด ในวันนี้ ข้าพเจ้ากำลังเสนอให้ท่านเลือกชีวิตหรือความตาย เลือกความดีหรือความชั่ว ข้าพเจ้าจึงสั่งท่านในวันนี้ ให้รักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และเดินตามวิถีทางของพระองค์ ปฏิบัติตามบทบัญญัติ ข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ของพระองค์ แล้วท่านจะมีชีวิตและทวีจำนวนขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะทรงอวยพรท่านในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะเข้าไปครอบครอง แต่ถ้าท่านเปลี่ยนใจไปจากพระองค์ไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ แต่ยอมกราบไหว้รับใช้เทพเจ้าอื่น ข้าพเจ้าขอบอกท่านในวันนี้ว่า ท่านจะต้องพินาศอย่างแน่นอน ท่านจะไม่มีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่ท่านกำลังข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปครอบครอง ในวันนี้ ข้าพเจ้าขอเรียกฟ้าดินมาเป็นพยานต่อหน้าท่าน ข้าพเจ้าเสนอให้ท่านเลือกชีวิตหรือความตาย เลือกคำอวยพรหรือคำสาปแช่ง ท่านจงเลือกชีวิตเถิด เพื่อท่านและบุตรหลานของท่านจะมีชีวิต รักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์และซื่อสัตย์ต่อพระองค์ เพราะพระองค์เพียงพระองค์เดียวประทานชีวิตแก่ท่าน ทรงบันดาลให้ท่านอาศัยอยู่นานในแผ่นดินที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสาบานไว้ว่าจะประทานแก่บรรพบุรุษของท่าน คืออับราฮัมอิสอัคและยาโคบ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก9:22-25
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า
“บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะและธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพในวันที่สาม”
     หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับทุกคนว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้นั้นจะต้องสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตเพราะเรา ผู้นั้นจะรักษาชีวิตได้ มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิตและพินาศไป”

 

ข้อคิด
     ในชีวิตของพระเยซูเจ้าพระองค์ไม่เคยโกหก ไม่เคยพึ่งพาคำลวง พระวาจาที่ตรัสทุกคำเป็นความจริงทั้งในระดับลึกและระดับทั่วไป พระวาจาที่ว่า...ถ้าผู้ใดเสียชีวิตเพราะเราผู้นั้นจะรักษาชีวิตไว้ได้...ก็ย่อมเป็นความจริงเช่นกัน เช่นนี้เองผู้ที่ถูกเบียดเบียนหรือต้องเผชิญหน้ากับความตาย เหตุใดเขาจึงเผชิญกับความน่ากลัวเช่นนั้นได้?คำตอบคือเพราะเขาเชื่อมั่นในพระเยซูเจ้า และเชื่อมั่นว่าถ้าเขาตายเพื่อพระองค์เขาจะได้ชีวิตแท้ที่ยาวนานในนิรันดรภาพ และนี่คือกำไรชีวิตสำหรับผู้มีความเชื่อแท้จริง แล้วชีวิตของเราล่ะ กำไรชีวิตอยู่ที่ใด?

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2016 หลังวันพุธรับเถ้า

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                              อสย58:1-9ก
     พระเจ้าตรัสว่า “จงร้องตะโกนให้เต็มกำลัง อย่าออมเสียงไว้ จงเปล่งเสียงเหมือนเป่าเขาสัตว์จงประกาศให้ประชากรของเรารู้ว่าเขาได้ล่วงละเมิด จงประกาศแก่เชื้อสายของยาโคบให้เขารู้บาปที่เขาได้ทำ เขาทั้งหลายแสวงหาเราทุกวัน ปรารถนาจะรู้จักทางของเรา ประหนึ่งว่าเขาเป็นประชากรที่ปฏิบัติความชอบธรรม และมิได้ละทิ้งพระวินิจฉัยของพระเจ้าของตน เขาขอให้เราให้การวินิจฉัยที่ชอบธรรม และปรารถนาที่จะเข้ามาใกล้พระเจ้า เขาพูดว่า “ทำไมข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องจำศีลอดอาหาร ถ้าพระองค์ไม่ทอดพระเนตร ทำไมข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องละเว้นความสุขสบาย ถ้าพระองค์ไม่ทรงทราบ”
     ดูซิ ในวันที่ท่านทั้งหลายจำศีลอดอาหาร ท่านยังแสวงหาผลประโยชน์ของตน และข่มเหงคนงานทุกคนของท่าน ดูซิ ท่านจำศีลอดอาหาร แต่ยังทะเลาะวิวาทและโต้เถียงกัน ชกต่อยตีกันอย่างอยุติธรรม การจำศีลอดอาหารดังที่ท่านปฏิบัติในวันนี้ จะไม่ทำให้เสียงของท่านได้ยินไปถึงเบื้องบนเลย นี่หรือเป็นการจำศีลอดอาหารที่เราพอใจ คือวันที่มนุษย์ละเว้นความสุขสบาย ก้มศีรษะลงเหมือนต้นอ้อ ใช้ผ้ากระสอบและขี้เถ้าปูนอน ท่านจะเรียกการทำเช่นนี้ว่าเป็นการจำศีลอดอาหาร และวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยกระนั้นหรือ แต่การจำศีลอดอาหารที่เราต้องการ คือการแก้โซ่ตรวนที่อธรรม แก้สายรัดแอก ปล่อยผู้ถูกข่มเหงให้เป็นอิสระ และหักแอกทุกอัน แบ่งปันอาหารกับผู้หิวโหย นำคนยากจนไร้ที่อยู่อาศัยเข้ามาในบ้าน ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่ท่านเห็นว่าไม่มีเสื้อผ้าสวม และไม่หันหน้าหนีจากญาติพี่น้อง แล้วความสว่างของท่านจะขึ้นมาเหมือนรุ่งอรุณ แผลของท่านจะหายอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมจะเดินนำหน้าท่าน และพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเดินตามท่าน ท่านจะทูลขอ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบ ท่านจะร้องขอความช่วยเหลือ และพระองค์จะตรัสว่า “เราอยู่ที่นี่”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ9:14-15
     วันหนึ่งบรรดาศิษย์ของยอห์นเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมพวกเราและพวกฟาริสีจำศีลอดอาหารแต่ศิษย์ของท่านไม่จำศีลเลย”
     พระองค์ทรงตอบว่า “ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจะโศกเศร้าหรือ ขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขาแต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกแยกไป วันนั้นเขาจะจำศีลอดอาหาร

 

ข้อคิด
     ลักษณะของผู้ที่มีชีวิตจิตสัมพันธ์สนิทกับพระคริสตเจ้าอย่างลึกซึ้งคือความเบิกบานยินดี ไม่ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรจิตใจของเขาก็เบิกบานในพระองค์เสมอ เขาจะมีทัศนะคติด้านบวกเสมอ มีจิตใจที่ยอมรับไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เนื่องจากเขาได้ค้นพบสมบัติล้ำค่าในพระองค์แล้ว จิตใจของเขาอยู่กับพระองค์ในความรักเสมือนจิตใจของเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวในวันวิวาห์ คำเปรียบเทียบเช่นนี้ไม่เกินเลยไปจากชีวิตของผู้ที่มีชีวิตจิตลุ่มลึกแน่นอน กระนั้นก็ดี ชีวิตจริงมีทั้งขึ้นและลง อารมณ์ก็มักจะกระเพื่อมด้วย ผู้ที่ตระหนักว่าเจ้าบ่าว(พระคริสต์)อยู่กับเขาเสมอจึงต้องพยายามประคับประคองจิตของตัวเองให้เพ่งพิศในภาพของพระคริสตเจ้าเสมอ

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2016 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ                             ฉธบ 26:4-10
     โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า“สมณะจะรับกระจาดจากมือของท่าน นำไปวางไว้หน้าพระแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ท่านจะต้องประกาศถ้อยคำเหล่านี้เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านว่า‘บรรพบุรุษของข้าพเจ้าเป็นชาวอารัมเร่ร่อน เขาลงไปที่อียิปต์และอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างคนต่างถิ่น มีจำนวนน้อย แต่ได้กลายเป็นชนชาติใหญ่มีกำลังและมีจำนวนมากที่นั่น ชาวอียิปต์ทำร้ายพวกเราข่มเหงเราและบังคับให้เราเป็นทาสอย่างทารุณ แต่เราร้องเรียกหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟัง ทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ทรมาน ความยากลำบากและการถูกกดขี่ของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้พระหัตถ์ทรงฤทธิ์และพระอานุภาพยิ่งใหญ่ทำเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์น่าสะพรึงกลัว ช่วยเราออกจากอียิปต์ และทรงนำเรามาที่นี่ ประทานแผ่นดินมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลอย่างอุดมสมบูรณ์นี้ให้แก่เรา ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ ข้าพเจ้านำผลิตผลแรกของแผ่นดินที่พระองค์ประทานแก่ข้าพเจ้านั้นมาถวายแด่พระองค์”
แล้วท่านจะวางกระจาดลงเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และกราบนมัสการเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน

 

เพลงสดุดี                                                                    สดด 91:1-2,9-11,12-15ก
     ก)ท่านผู้อาศัยอยู่ในที่คุ้มครองของพระผู้สูงสุด
และพำนักอยู่ใต้ร่มเงาของพระผู้ทรงสรรพานุภาพ
จงทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า "พระองค์ทรงเป็นแหล่งลี้ภัยของข้าพเจ้า
และทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์
     ข)ท่านพูดว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นแหล่งลี้ภัยของข้าพเจ้า"
ท่านทำให้พระผู้สูงสุดเป็นที่พำนักของท่าน
ไม่มีอันตรายใดจะเกิดขึ้นกับท่าน
ไม่มีภัยพิบัติใดจะเข้ามาใกล้กระโจมของท่าน
เพราะพระองค์ทรงบัญชาบรรดาทูตสวรรค์ไว้แล้ว
ให้พิทักษ์รักษาท่าน ไม่ว่าท่านจะไปทางไหน
     ค)ทูตสวรรค์จะโอบอุ้มท่านไว้
มิให้เท้าของท่านสะดุดก้อนหิน
ท่านจะเดินเหยียบงูเห่าและงูพิษ
ท่านจะย่ำสิงโตหนุ่มและนาคราช
เราจะช่วยเขาให้รอดพ้น เพราะเขาไว้ใจเรา
เราจะพิทักษ์รักษาเขา เพราะเขารู้จักนามของเรา
เมื่อเขาร้องเรียกหาเรา เราก็จะตอบเขา

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโรม        รม 10:8-13
     พี่น้อง พระคัมภีร์กล่าวว่าอย่างไรพระคัมภีร์กล่าวว่า“พระวาจาอยู่ใกล้ท่านอยู่ในปากและในใจของท่าน”คือพระวาจาที่นำความเชื่อที่เราประกาศไว้เพราะถ้าท่านประกาศด้วยปากว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและมีความเชื่อในใจว่าพระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายท่านก็จะรอดพ้นการเชื่อด้วยใจจะบันดาลความชอบธรรมการประกาศด้วยปากจะบันดาลความรอดพ้นเพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า“ทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย”เพราะไม่มีความแตกต่างกันระหว่างชาวยิวกับผู้ที่ไม่ใช่ชาวยิวพระองค์เท่านั้นทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับมนุษย์ทุกคนประทานพระพรมากมายให้ทุกคนที่เรียกขานพระองค์เพราะทุกคนที่เรียกขานพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะรอดพ้น

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                     ลก 4:1-13
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยมทรงพระดำเนินจากแม่น้ำจอร์แดน พระจิตเจ้าทรงนำพระองค์ไปยังถิ่นทุรกันดาร ทรงถูกปีศาจผจญเป็นเวลาสี่สิบวัน ตลอดเวลานั้นพระองค์มิได้เสวยสิ่งใดเลย ในที่สุด ทรงหิว ปีศาจจึงทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงสั่งให้หินก้อนนี้กลายเป็นขนมปังเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่ามนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น”ปีศาจจึงนำพระองค์ไปยังที่สูงแห่งหนึ่ง แสดงให้พระองค์ทอดพระเนตรอาณาจักรต่างๆของโลกทั้งหมดในคราวเดียว และทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะให้อำนาจและความรุ่งเรืองของอาณาจักรเหล่านี้ทั้งหมดแก่ท่าน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้ผู้ใดก็ได้ตามความปรารถนาดังนั้น ถ้าท่านกราบนมัสการข้าพเจ้า ทุกสิ่งจะเป็นของท่าน” พระเยซูเจ้าตรัสตอบปีศาจว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน
และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น’”
ปีศาจนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม วางพระองค์ลงที่ยอดพระวิหาร แล้วทูลว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงกระโจนลงไปเบื้องล่างเถิด เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
‘พระเจ้าจะทรงสั่งทูตสวรรค์ให้พิทักษ์รักษาท่าน’
และยังมีเขียนอีกว่า
‘ทูตสวรรค์จะคอยพยุงท่านไว้มิให้เท้ากระทบหิน’”
แต่พระเยซูเจ้าตรัสตอบปีศาจว่า มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
“อย่าท้าทายองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเลย”
เมื่อปีศาจผจญพระองค์ทุกวิถีทางแล้วจึงแยกจากพระองค์ไป รอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม

 

ข้อคิด
     ชีวิตนี้จะมีสิ่งล่อลวงมากมาย การประจญล่อลวงเริ่มที่จิตใจของเราก่อน บางครั้งเริ่มที่ความอยาก บางครั้งเริ่มด้วยความสงสัย บางครั้งเริ่มด้วยความไม่มั่นใจ...แต่การประจญล่อลวงจะเป็นอย่างไรก็ล้วนดึงจิตของเราไปสู่คำว่าคุณค่า จิตของเราจะถูกประจญว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้มีคุณค่าต้อง ไขว่คว้าเอามาครอบครอง...แต่คุณค่าแท้จริงอยู่ที่ไหน? อาหาร? ทรัพย์สินเงินทอง? เกียรติยศ? ชื่อเสียง? การเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนต้องค้อมศีรษะให้? หรือว่าคุณค่าที่แท้จริงอยู่ที่ความพอใจ? คำถามนี้คงจะมีคำตอบแตกต่างกันออกไป แต่ให้ระวังไว้ก็แล้วกันว่า...เมื่อปีศาจได้ล่อลวงพระองค์แล้ว มันจึงผละจากไปและรอเวลาที่เหมาะสมที่มันจะกลับมาใหม่....เราจะทำอย่างไรถึงจะปลอดภัยจากการประจญ คำตอบคือฝังจิตของเรากับจิตของพระอาจารย์เจ้าเสมอ

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2016 หลังวันพุธรับเถ้า

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                               อสย58:9ข-14
     พระเจ้าตรัสว่า “ถ้าท่านจะเลิกข่มเหงผู้อื่น เลิกชี้หน้ากล่าวหาและพูดร้ายต่อเขา ถ้าท่านแบ่งอาหารให้แก่คนหิว และตอบสนองความต้องการของผู้มีทุกข์ ความสว่างของท่านจะปรากฏขึ้นในความมืด และความมืดของท่านจะเป็นเหมือนเวลาเที่ยงวัน องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำท่านตลอดไป จะตอบสนองความต้องการของท่านในแผ่นดินแห้งแล้ง จะทรงทำให้กระดูกของท่านแข็งแรง ท่านจะเป็นเหมือนสวนที่มีน้ำรด เป็นเหมือนพุน้ำที่มีน้ำไหลไม่หยุดประชากรของท่านจะบูรณะซากปรักหักพังโบราณขึ้นใหม่ ท่านจะวางรากฐานที่เคยวางไว้แต่โบราณขึ้นมาอีก ท่านจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ซ่อมกำแพงที่พังแล้ว เป็นผู้บูรณะถนนให้มีบ้านเรือนเป็นที่อาศัย
     ถ้าท่านหยุดละเมิดวันสับบาโต คือไม่ทำตามใจชอบในวันศักดิ์สิทธิ์ของเรา เรียกวันสับบาโตว่า ‘วันปีติยินดี’ และเรียกวันศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ‘วันน่าเคารพ’ ถ้าท่านให้เกียรติวันนั้นโดยไม่เดินทาง เลิกแสวงหาสิ่งที่ท่านพอใจ และเลิกพูดเรื่องไร้สาระท่านจะได้ความปีติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า และเราจะให้ท่านขี่ม้าฉลองชัยอยู่บนที่สูงของแผ่นดิน เราจะเลี้ยงท่านด้วยมรดกของยาโคบบิดาของท่าน เพราะพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแล้ว”

 

ทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                     ลก5:27-32

     หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกไป ทอดพระเนตรเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เลวีก็ลุกขึ้น ละทิ้งทุกสิ่ง แล้วตามพระองค์ไป
     เลวีจัดเลี้ยงใหญ่ในบ้านของตนเป็นเกียรติแด่พระองค์ คนเก็บภาษีและคนอื่นๆ จำนวนมากมาร่วมโต๊ะด้วย บรรดาชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ของเขาเหล่านั้นกล่าวด้วยความไม่พอใจกับบรรดาศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมท่านทั้งหลายจึงกินอาหารและดื่มกับคนเก็บภาษีและคนบาป” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาปให้กลับใจ”

 

ข้อคิด
     ทุกวันนี้เสียงเรียกร้องของพระเยซูคริสตเจ้าให้ติดตามพระองค์ไปนั้นยังคงดังก้องในหัวใจทุกคนที่เชื่อมั่นในพระองค์และพันธกิจที่พระองค์ได้เริ่มแล้วคือการสร้างสังคมใหม่ สังคมที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางชีวิต สังคมที่ใช้กฏบัญญัติรักเป็นกฏประจำใจ สังคมที่ใช้คุณธรรมที่เหมาะทุกประการมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันคำว่า...ตามเรามาเถิด..ยังมีนัยของการเชื้อเชิญที่ท้าทายความเชื่อว่าถ้าตามพระองค์ไปแล้วชีวิตก็จะพบความหมาย พบความสุข พบสันติและความพอเพียงในการประคับประคองชีวิตให้ก้าวไปข้างหน้าในแต่ละวัน ..ตามเรามาเถิด..ตามพระองค์ไปเพื่อไปนำจิตวิญญาณของคนอีกมากมายให้กลับคืนมาหาพระหรืออย่างน้อยมองเห็นว่าเขาต้องพึ่งพาพระเจ้า เพราะพระองค์คือบ่อเกิดแห่งชีวิตของเรา

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2016 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือเลวีนิติ                                             ลนต19:1-2,11-18
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชุมชนชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์เพราะเรา องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์
     ท่านจะต้องไม่ลักขโมย ฉ้อโกง หรือพูดเท็จต่อกัน ท่านจะต้องไม่สาบานเท็จโดยใช้นามของเรา มิฉะนั้นท่านจะลบหลู่พระนามพระเจ้าของท่าน เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องไม่เอารัดเอาเปรียบหรือปล้นเพื่อนบ้าน ท่านจะต้องไม่ยึดค่าจ้างของลูกจ้างไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น ท่านจะต้องไม่สาปแช่งคนหูหนวก เอาของไปวางขวางทางคนตาบอด แต่ท่านจะต้องยำเกรงพระเจ้าของท่าน เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า
     ท่านจะต้องไม่ตัดสินคดีอย่างอยุติธรรม ท่านจะต้องไม่ลำเอียงเข้าข้างคนยากจนหรือคนมีอำนาจ แต่จงตัดสินคดีของเพื่อนบ้านอย่างยุติธรรม ท่านจะต้องไม่โพนทะนาใส่ร้ายชนชาติเดียวกับท่าน และไม่ซ้ำเติมเพื่อนบ้านของท่านให้ถูกประหารชีวิต เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องไม่เก็บความเกลียดชังพี่น้องไว้ในใจ แต่จงตักเตือนเพื่อนบ้านอย่างตรงไปตรงมา ท่านจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบบาปของเขา ท่านจะต้องไม่แก้แค้น หรืออาฆาตชนชาติเดียวกับท่าน แต่จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ25:31-46
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์พร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์พระองค์จะประทับเหนือพระบัลลังก์รุ่งโรจน์บรรดาประชาชาติจะมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์พระองค์จะทรงแยกเขาออกเป็นสองพวกดังคนเลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะให้แกะอยู่เบื้องขวาส่วนแพะอยู่เบื้องซ้ายแล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่ผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า ‘เชิญมาเถิดท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเราเชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกที่เตรียมไว้ให้ท่านแล้วตั้งแต่สร้างโลกเพราะว่าเมื่อเราหิวท่านให้เรากินเรากระหายท่านให้เราดื่มเราเป็นแขกแปลกหน้าท่านก็ต้อนรับเราไม่มีเสื้อผ้าท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เราเราเจ็บป่วยท่านก็มาเยี่ยมเราอยู่ในคุกท่านก็มาหา’
     บรรดาผู้ชอบธรรมจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้าเมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิวแล้วถวายพระกระยาหารหรือทรงกระหายแล้วถวายให้ทรงดื่มเมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้าแล้วต้อนรับหรือทรงไม่มีเสื้อผ้าแล้วถวายให้เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ประชวรหรือทรงอยู่ในคุกแล้วไปเยี่ยม’ พระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่งท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา’
     แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกที่อยู่เบื้องซ้ายว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ถูกสาปแช่งจงไปให้พ้นลงไปในไฟนิรันดรที่ได้เตรียมไว้ให้ปีศาจและบริวารของมันเพราะว่าเมื่อเราหิวท่านไม่ให้อะไรเรากินเรากระหายท่านไม่ให้อะไรเราดื่มเราเป็นแขกแปลกหน้าท่านก็ไม่ต้อนรับเราไม่มีเสื้อผ้าท่านก็ไม่ให้เสื้อผ้าเราเจ็บป่วยและอยู่ในคุกท่านก็ไม่มาเยี่ยม’ พวกนั้นจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้าเมื่อใดเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิวทรงกระหายทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือไม่มีเสื้อผ้าเจ็บป่วยหรืออยู่ในคุกและไม่ได้ช่วยเหลือ’ พระองค์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่งท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา’ แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดรส่วนผู้ชอบธรรมจะไปรับชีวิตนิรันดร”

 

ข้อคิด
     ท่านทำสิ่งใดต่อผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่งท่านทำสิ่งนั้นต่อเรา...พระวาจานี้สะท้อนถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อผู้ต่ำต้อยที่สุดในสังคม ผู้ต่ำต้อยคือใครหนอ? คนจน? คนพิการ? คนไร้สิทธิ์? คนอ่อนแอ? คนป่วย? คนไร้ความสามารถ? คนไร้แผ่นดิน? ไม่ว่าเขาจะเป็นใครพระเจ้าทรงแผ่ความรักของพระองค์ไปถึงเสมอ คำสอนเรื่องนี้เตือนใจเราว่าให้ระวังอย่าไปรังแกคนยากจนเพราะเสียงร้องของเขานั้นพระเจ้าทรงสดับฟังเสมอ...นอกนั้นพระวรสารยังสะท้อนอีกมุมหนึ่งว่า หากเราอยากพบพระเจ้าในรูปแบบใหม่ ให้หาพระองค์จากคนยากจนเหล่านั้น และนอกนั้นเราเข้าใจคำว่าพระเจ้าหมายถึงอะไร โดยเฉพาะคนที่ยินดีจะเป็นผู้ยากจนฝ่ายจิตที่ภาษาเท็คนิคทางพระคัมภีร์เรียกว่า อันนาวิม....คนจนของพระเจ้า

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown