มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2016 ระลึกถึง น.ยุสติน มรณสักขี

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง      2 ทธ 1:1-3,6-12
     จากเปาโลอัครสาวกของพระคริสตเยซูโดยพระประสงค์ของพระเจ้าตามพระสัญญาที่จะประทานชีวิตให้เราในพระคริสตเยซู ถึงทิโมธีลูกรัก
     ขอพระหรรษทานพระเมตตาและสันติจากพระเจ้าพระบิดาและจากพระคริสตเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราสถิตกับท่านเถิด
     ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่ข้าพเจ้าปรนนิบัติรับใช้ด้วยมโนธรรมบริสุทธิ์เช่นเดียวกับบรรพบุรุษข้าพเจ้าระลึกถึงท่านอยู่เสมอในการอธิษฐานทั้งวันทั้งคืน
     ข้าพเจ้าจึงเตือนความจำของท่านเพื่อให้พระพรพิเศษของพระเจ้าเป็นไฟที่รุ่งโรจน์ขึ้นอีกท่านได้รับพระพรนี้โดยการปกมือของข้าพเจ้าพระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่บันดาลความขลาดกลัวแต่ประทานจิตที่บันดาลความเข้มแข็งความรักและการควบคุมตนเองแก่เราดังนั้นท่านอย่าอายที่จะเป็นพยานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรืออายที่ข้าพเจ้าต้องถูกจองจำเพราะพระองค์แต่จงเข้ามามีส่วนร่วมทนทุกข์ทรมานกับข้าพเจ้าเพื่อข่าวดีโดยพระอานุภาพของพระเจ้าผู้ทรงช่วยเราให้รอดพ้นและทรงเรียกเราให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เราทำแต่เพราะพระประสงค์และพระหรรษทานของพระองค์พระองค์ประทานพระหรรษทานนี้แก่เราแล้วในพระคริสตเยซูก่อนกาลเวลาแต่บัดนี้ทรงเปิดเผยโดยการสำแดงพระองค์ของพระผู้ไถ่คือพระคริสตเยซูผู้ทรงทำลายความตายและทรงนำชีวิตและความไม่รู้จักตายให้ปรากฏอย่างชัดแจ้งโดยทางข่าวดีข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศเป็นอัครสาวกและเป็นครูเพื่อประกาศข่าวดีนี้
     ข้าพเจ้ากำลังทนทุกข์แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้สึกอายเพราะรู้ว่าข้าพเจ้ามอบความวางใจไว้กับผู้ใดและมั่นใจว่าพระองค์จะทรงรักษาสิ่งที่ข้าพเจ้ารับมอบไว้ได้จนกว่าจะถึงวันนั้น

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                                   มก 12:18-27
     ต่อมาชาวสะดูสีบางคนมาพบพระเยซูเจ้าคนเหล่านี้สอนว่าไม่มีการกลับคืนชีพเขาทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์โมเสสเขียนสั่งไว้ว่าถ้าพี่ชายตายทิ้งภรรยาไว้โดยไม่มีบุตรก็ให้น้องชายของเขารับเอาหญิงนั้นมาเป็นภรรยาเพื่อจะได้สืบสกุลของพี่ชายยังมีพี่น้องเจ็ดคนคนแรกมีภรรยาแล้วตายไปโดยไม่มีบุตรคนที่สองก็รับนางเป็นภรรยาแล้วตายไปโดยไม่มีบุตรคนที่สามก็เช่นเดียวกันทั้งเจ็ดคนไม่มีบุตรเลยในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายไปด้วยเมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพในวันกลับคืนชีพหญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใครเพราะทั้งเจ็ดคนต่างได้นางเป็นภรรยา”
พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านคิดผิดไปแล้วมิใช่หรือท่านไม่เข้าใจพระคัมภีร์และไม่รู้จักพระอานุภาพของพระเจ้าเมื่อผู้ตายจะกลับคืนชีพนั้นจะไม่มีการแต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีกแต่เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ส่วนเรื่องผู้ตายกลับคืนชีพนั้นท่านไม่ได้อ่านหนังสือของโมเสสตอนที่กล่าวถึงพุ่มไม้หรือว่าพระเจ้าตรัสกับเขาอย่างไรพระองค์ตรัสว่า“เราคือพระเจ้าของอับราฮัมพระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบพระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตายแต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น ท่านคิดผิดไปมากทีเดียว”

     การที่พระเยซูเจ้าทรงช่วยให้รอดพ้นและทรงเรียกเราให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้น ถือเป็นพระพรพิเศษของพระองค์ ที่ประทานให้แก่เรา ไม่ใช่เพราะคุณงามความดีของเรา แต่เป็นเพราะพระประสงค์ของพระองค์ เราต้องตระหนักในพระพรของพระองค์เสมอ โดยเฉพาะพระพรแห่งชีวิตนิรันดร ซึ่งพระเยซูเจ้าได้ตอบคำถามที่งี่เง่าของพวกสะดูสีเกี่ยวกับการกลับคืนชีพว่า กลับคืนชีพนั้นเป็นการเข้าสู่ชีวิตใหม่อย่างแท้จริง ไม่ใช่การกลับสู่ชีวิตบนโลกนี้อีก ดังนั้น จงประกาศข่าวดีแห่งชีวิตนิรันดรแก่เพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้างเรา

 

ข้อคิด
     การที่พระเยซูเจ้าทรงช่วยให้รอดพ้นและทรงเรียกเราให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้น ถือเป็นพระพรพิเศษของพระองค์ ที่ประทานให้แก่เรา ไม่ใช่เพราะคุณงามความดีของเรา แต่เป็นเพราะพระประสงค์ของพระองค์ เราต้องตระหนักในพระพรของพระองค์เสมอ โดยเฉพาะพระพรแห่งชีวิตนิรันดร ซึ่งพระเยซูเจ้าได้ตอบคำถามที่งี่เง่าของพวกสะดูสีเกี่ยวกับการกลับคืนชีพว่า กลับคืนชีพนั้นเป็นการเข้าสู่ชีวิตใหม่อย่างแท้จริง ไม่ใช่การกลับสู่ชีวิตบนโลกนี้อีก ดังนั้น จงประกาศข่าวดีแห่งชีวิตนิรันดรแก่เพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้างเรา

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2016 น.มาร์แซลลิน และ น.เปโตร มรณสักขี

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง         2 ทธ 2:8-15
     พี่น้อง จงระลึกถึง “พระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด” ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศเพราะข่าวดีนี้เองข้าพเจ้าจึงต้องทนทุกข์จนต้องถูกจองจำเหมือนเป็นอาชญากรแต่พระวาจาของพระเจ้าจะถูกจองจำไม่ได้ดังนั้นข้าพเจ้าจึงทนทุกสิ่งเพื่อเห็นแก่ผู้ที่ได้รับเลือกสรรเพื่อพวกเขาจะได้รับความรอดพ้นซึ่งอยู่ในพระคริสตเยซูพร้อมกับชีวิตในสิริรุ่งโรจน์ตลอดนิรันดรด้วย
ต่อไปนี้คือถ้อยคำที่เชื่อถือได้
ถ้าเราตายพร้อมกับพระองค์เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์
ถ้าเราอดทนมั่นคงเราย่อมจะครองราชย์พร้อมกับพระองค์
ถ้าเราปฏิเสธพระองค์พระองค์ย่อมจะทรงปฏิเสธเรา
ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์พระองค์ก็ยังทรงซื่อสัตย์ต่อไป
เพราะจะทรงปฏิเสธพระองค์ไม่ได้
     จงเตือนทุกคนให้ระลึกถึงเรื่องนี้และจงกำชับเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่าโต้เถียงกันเรื่องถ้อยคำเพราะไม่มีประโยชน์ใดนอกจากความพินาศของผู้ฟังท่านจงขวนขวายที่จะแสดงตนว่าพระเจ้าทรงรับรองท่านแล้วเป็นคนงานที่ไม่ต้องอายใครเป็นผู้สั่งสอนพระวาจาแห่งความจริงอย่างถูกต้อง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                                   มก 12:28-34
     เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้าได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบได้ดีจึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่นๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คืออิสราเอลเอ๋ยจงฟังเถิดองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจสุดวิญญาณสุดสติปัญญาและสุดกำลังของท่านบทบัญญัติประการที่สองก็คือท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้”ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ท่านตอบได้ดีจริงทีเดียวที่ท่านกล่าวว่าพระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นเลยการจะรักพระองค์สุดจิตใจสุดความเข้าใจและสุดกำลังและรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสักการบูชาใดๆทั้งสิ้น” พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาดจึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระอาณาจักรของพระเจ้า” หลังจากนั้นไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย

 

ข้อคิด
     ในพระธรรมเก่าหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติสอนให้รักพระเป็นเจ้า หนังสือเลวีนิติสอนให้รักเพื่อนมนุษย์ สำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์ไม่ได้แยกความรักทั้งสองออกจากกัน เมื่อพระองค์ตอบคำถามของธรรมาจารย์ พระองค์บอกว่าเราต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าสุดจิตสุดใจ แต่พระองค์ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ พระองค์เสริมอีกว่า เราต้องรักเพื่อนพี่น้องของเราเหมือนที่เรารักตนเองด้วยพระองค์ได้รวมบัญญัติ 2 ข้อนี้เป็นบัญญัติข้อเดียว นั่นคือเราไม่สามารถรักองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างแท้จริง ถ้าเราไม่รักเพื่อนพี่น้องของเรา และเราก็ไม่สามารถรักเพื่อนพี่น้องของเราได้อย่างแท้จริง ถ้าเราไม่รักองค์พระผู้เป็นเจ้า

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน 2016 ระลึกถึงดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                                    อสย 61:10-11
     ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้า
วิญญาณของข้าพเจ้าจะชื่นชมยินดีในพระเจ้าของข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ประทานความรอดพ้นแก่ข้าพเจ้าเป็นเสมือนอาภรณ์ที่ทรงสวมให้
ประทานความชอบธรรมให้ข้าพเจ้าเป็นเสมือนเสื้อคลุม
ข้าพเจ้าเป็นเหมือนเจ้าบ่าวที่โพกศีรษะอย่างงดงาม
เหมือนเจ้าสาวประดับตนด้วยเพชรนิลจินดา
เพราะแผ่นดินบังเกิดพืชผล
และสวนทำให้เมล็ดพืชงอกขึ้นฉันใด
องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าก็ทรงบันดาลให้เกิดความชอบธรรม
และการสรรเสริญต่อหน้านานาชาติฉันนั้น

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                       ลก 2:41-51
     โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก เมื่อไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น
     ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการตอบคำถาม เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำกับเราเช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก” โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส
พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสองคน พระมารดาทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัย

 

ข้อคิด
     เราระลึกถึงดวงหทัยนิรมลของแม่มารีย์ต่อจากวันสมโภชพระหฤทัยพระเยซูเจ้า เพราะหัวใจทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันและเกี่ยวข้องกัน “พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า” แสดงถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อมนุษยชาติ “ดวงหทัยนิรมลของแม่มารีย์” แสดงถึงความรักของพระนางต่อพระเยซูเจ้าและต่อพระเป็นเจ้า วันนี้เราระลึกถึง “ชีวิตด้านใน” ของพระแม่มารีย์ ระลึกถึงความปิติยินดีและความสุขของพระมารดาพระเจ้า ระถึงถึงคุณธรรมและความครบครันของพระนางต่อพระเป็นเจ้า ต่อพระบุตรและต่อมนุษยชาติ

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2016 วันสมโภชพระหฤทัยพระเยซูเจ้า

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล                                อสค 34:11-16
     องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ “ดูซิ เราจะเอาใจใส่และจะแสวงหาฝูงแกะของเราเอง ผู้เลี้ยงแกะอยู่กับฝูงแกะและรวบรวมแกะที่กระจัดกระจายไปฉันใด เราก็จะรวบรวมแกะของเราฉันนั้น เราจะช่วยแกะให้พ้นจากสถานที่ที่แกะได้กระจัดกระจายไปอยู่ในวันที่มีเมฆและมีความมืดทึบ เราจะนำแกะของเราออกมาจากชนชาติต่างๆ จะรวบรวมแกะมาจากแผ่นดินทั้งหลาย และจะนำมาไว้ในแผ่นดินของเขา เราจะเลี้ยงดูเขาบนภูเขาแห่งอิสราเอล ในหุบเขาและในที่ที่มีคนอาศัยของแผ่นดิน เราจะเลี้ยงดูเขาในทุ่งหญ้าดีๆ ทุ่งหญ้าของเขาจะอยู่บนภูเขาสูงต่างๆ แห่งอิสราเอล ที่นั่นเขาจะนอนลงบนทุ่งหญ้าที่ดี และเขาจะเล็มหญ้าอยู่ตามทุ่งหญ้าอุดมบนภูเขาแห่งอิสราเอล เราเองจะเป็นผู้เลี้ยงแกะของเรา เราจะให้เขานอนพัก องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราจะตามหาแกะที่สูญหายไป เราจะนำแกะที่หลงทางกลับมา เราจะพันแผลแกะที่บาดเจ็บ เราจะเสริมกำลังแกะที่อ่อนเพลีย เราจะดูแลแกะที่อ้วนและแข็งแรง เราจะเลี้ยงเขาอย่างยุติธรรม”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโรม        รม 5:5-11
     พี่น้อง ความหวังนี้ไม่ทำให้เราผิดหวังเพราะพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานให้เราทรงหลั่งความรักของพระเจ้าลงในดวงใจของเราขณะที่เรายังอ่อนแอพระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อคนบาปตามเวลาที่กำหนดยากที่จะหาคนที่ยอมตายเพื่อคนชอบธรรมบางครั้งอาจจะมีคนยอมตายแทนคนดีจริงๆได้แต่พระเจ้าทรงพิสูจน์ว่าทรงรักเราเพราะพระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเราขณะที่เรายังเป็นคนบาปบัดนี้เมื่อเราได้รับความชอบธรรมโดยอาศัยพระโลหิตของพระองค์แล้วเดชะพระองค์เราก็ยิ่งจะได้รับความรอดพ้นจากการถูกพระเจ้าลงโทษถ้าเรากลับคืนดีกับพระเจ้าเดชะการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรขณะที่เรายังเป็นศัตรูอยู่ยิ่งกว่านั้นเมื่อกลับคืนดีแล้วเราก็จะรอดพ้นเดชะพระชนมชีพของพระองค์ด้วยมิใช่เพียงเท่านั้นเรายังภูมิใจในพระเจ้าเดชะพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเดชะพระองค์บัดนี้พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                       ลก 15:3-7
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสคำอุปมาให้พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ฟังว่า “ท่านใดที่มีแกะหนึ่งร้อยตัว ตัวหนึ่งหายไป จะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้ในถิ่นทุรกันดาร ออกไปตามหาแกะที่หายไปจนพบหรือ เมื่อพบแล้ว เขาจะยกมันใส่บ่าด้วยความยินดี กลับบ้าน เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมา พูดว่า ‘จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว’ เราบอกท่านทั้งหลายว่าในสวรรค์จะมีความยินดีเช่นนี้เพราะคนบาปคนหนึ่งกลับใจมากกว่าความยินดีเพราะคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องการกลับใจ”

 

ข้อคิด
     เพราะบาปของเรา ทำให้พระเยซูเจ้าต้องถูกตรึงกางเขนและสิ้นพระชนม์ จากสีข้างที่ถูกแทงโลหิตและน้ำก็ไหลออกมา พระโลหิตก็คือศีลมหาสนิท น้ำก็คือศีลล้างบาปและชีวิตนิรันดร ดังนั้นพระองค์ได้ประทานพระพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดแก่เรา คือตัวพระองค์เองและชีวิตนิรันดร โดยวิธีที่น่าสะพรึงกลัวนี้พระองค์ได้แสดงความรักต่อเรา วันสมโภชพระหฤทัยพระเยซูเจ้านี้เตือนเราให้เป็นเหมือนองค์พระเยซูเจ้าผู้ถูกตรึงกางเขน คือรักผู้ที่เกลียดชังเรา รักผู้ที่ทำให้เราเจ็บปวด และภาวนาให้เขาเสมอ

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2016 สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง                          1 พกษ 17:17-24
     ต่อมา บุตรชายของหญิงเจ้าของบ้านป่วยอาการหนัก ในที่สุดก็ตาย นางจึงต่อว่าเอลียาห์ว่า “ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า ท่านต้องการอะไรจากดิฉัน ท่านมาที่นี่เพื่อเตือนให้ดิฉันระลึกถึงความผิด เพื่อฆ่าลูกชายของดิฉันหรือ” เอลียาห์บอกนางว่า “จงส่งลูกมาให้ฉันเถิด” เอลียาห์รับเด็กมาจากอ้อมกอดของนาง อุ้มไปวางบนเตียงของตนในห้องชั้นบนที่เขาพักอยู่ เขาร้องเรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ทำไมพระองค์ทรงบันดาลให้เกิดเหตุร้ายแก่หญิงม่ายคนนี้ที่ต้อนรับข้าพเจ้าอย่างดี ทำไมพระองค์จึงทรงฆ่าลูกของนาง” เอลียาห์นอนทับเด็กคนนั้นสามครั้ง แล้วร้องเรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอให้เด็กมีลมหายใจอีกครั้งหนึ่งเถิด”องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังเสียงร้องของเอลียาห์ เด็กก็มีลมหายใจอีกครั้งหนึ่ง เขาก็มีชีวิต เอลียาห์นำเด็กจากห้องชั้นบนลงไปชั้นล่าง และมอบให้มารดา เอลียาห์พูดว่า “ดูซิ ลูกของเธอยังมีชีวิต” หญิงคนนั้นตอบว่า “บัดนี้ ดิฉันรู้แล้วว่าท่านเป็นคนของพระเจ้า และพระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสจากปากของท่านก็เป็นความจริง”

 

เพลงสดุดี                                                                                สดด 30:1-2,4-5ก,11-12
     ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ายกย่องสรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นมา
พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้เหล่าศัตรูยินดีที่เห็นข้าพเจ้าประสบเคราะห์ร้าย
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
พระองค์ก็ทรงรักษาข้าพเจ้าให้หาย
     ข) ท่านทั้งหลายผู้จงรักภักดีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จงขับร้องสดุดีถวายพระองค์เถิด
จงสรรเสริญระลึกถึงพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
พระพิโรธคงอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่ง แต่ความโปรดปรานของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดชีวิต
     ค) พระองค์ทรงเปลี่ยนการร่ำไห้ของข้าพเจ้าให้เป็นการเริงระบำ
ทรงเปลื้องเสื้อผ้ากระสอบของข้าพเจ้าและประทานอาภรณ์งดงามให้ข้าพเจ้ายินดี
ดังนั้น ดวงใจข้าพเจ้าจะขับร้องถวายพระพระองค์มิหยุดหย่อน
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ตลอดไป

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวกาลาเทีย        กท 1:11-19
     พี่น้องข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทั้งหลายรู้ว่าข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศไปแล้วนั้นมิใช่ข่าวที่มาจากมนุษย์เพราะข้าพเจ้าไม่ได้รับมาจากมนุษย์มิได้เรียนรู้จากมนุษย์แต่ได้รับจากการเปิดเผยของพระเยซูคริสตเจ้าท่านทั้งหลายต้องเคยได้ยินเรื่องความประพฤติในอดีตของข้าพเจ้าเมื่อยังยึดถือลัทธิยิวว่าข้าพเจ้าเคยเบียดเบียนพระศาสนจักรของพระเจ้าอย่างรุนแรงและพยายามทำลายด้วยข้าพเจ้าเคร่งครัดในลัทธิยิวมากกว่าเพื่อนชาวยิวรุ่นเดียวกันหลายคนและมีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งในการรักษาประเพณีของบรรพบุรุษแต่พระเจ้าผู้ทรงเลือกสรรข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดาก็ทรงเรียกข้าพเจ้าเดชะพระหรรษทานของพระองค์และพอพระทัยที่จะสำแดงพระบุตรของพระองค์ในตัวข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้ประกาศข่าวดีถึงพระบุตรแก่บรรดาคนต่างศาสนาข้าพเจ้าไม่ได้ปรึกษามนุษย์ผู้ใดเลยและไม่ได้ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อพบกับผู้เป็นอัครสาวกก่อนข้าพเจ้าแต่ข้าพเจ้าออกเดินทางไปยังอาราเบียและกลับมายังเมืองดามัสกัสอีกสามปีต่อมาข้าพเจ้าขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อทำความรู้จักกับเคฟาสและพักอยู่กับเขาเป็นเวลาสิบห้าวันข้าพเจ้าไม่พบอัครสาวกอื่นๆนอกจากยากอบผู้เป็นน้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                          ลก 7:11-17
     หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่เมืองหนึ่งชื่อนาอิน บรรดาศิษย์และประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ประตูเมืองก็ทรงเห็นคนหามศพออกมา ผู้ตายเป็นบุตรคนเดียวของมารดาซึ่งเป็นม่าย ชาวเมืองกลุ่มใหญ่มาพร้อมกับนางด้วย เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นนางก็ทรงสงสารและตรัสกับนางว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย” แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ ทรงแตะแคร่หามศพ คนหามก็หยุด พระองค์จึงตรัสว่า “หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” คนตายก็ลุกขึ้นนั่งและเริ่มพูด พระเยซูเจ้าจึงทรงมอบเขาให้แก่มารดา ทุกคนต่างมีความกลัวและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า กล่าวว่า “ประกาศกยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นในหมู่เรา พระเจ้าได้เสด็จมาเยี่ยมประชากรของพระองค์” และข่าวเรื่องนี้ก็แพร่ไปทั่วแคว้นยูเดียและทั่วอาณาบริเวณนั้น

 

ข้อคิด
      มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นเหตุให้เราร้องไห้ และแน่นอนหนึ่งในนั้นก็คือความตาย ความตายทำให้น้ำตาไหล แม้แต่สำหรับพระเยซูเจ้าเอง แต่เพราะพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์เป็นผู้ที่ให้ความหวัง ความบรรเทาใจแก่ผู้ที่เศร้าโศกจากการสูญเสียผู้ที่เป็นที่รัก ความตายเป็นช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวที่สุดของชีวิต แต่สำหรับเราคริสตชน อย่าคิดว่าเรากำลังเผชิญกับสิ่งที่น่ากลัว แต่ให้เป็นเหมือนเด็กที่เมืองนาอิน เขาได้พบกับพระเยซูเจ้าผู้ที่รักและเห็นใจเขา

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown