มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน 2016 ระลึกถึงนักบุญบาร์นาบัส อัครสาวก

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                    กจ11:21ข-26;13:1-3
      เวลานั้น คนจำนวนมากเชื่อและกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า บรรดาศิษย์ในพระศาสนจักรที่กรุงเยรูซาเล็มรู้ข่าวนี้ จึงส่งบารนาบัสไปยังเมือง อันทิโอก เมื่อบารนาบัสมาถึงและเห็นผลแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า ก็มีความชื่นชม จึงเตือนทุกคนให้มีจิตใจซื่อสัตย์มั่นคงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าบารนาบัสเป็นคนดี เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า จึงมีผู้คนจำนวนมากเข้ามาเป็นศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
     บารนาบัสเดินทางไปที่เมืองทาร์ซัสเพื่อตามหาเซาโล เมื่อพบแล้ว ก็พามาที่เมือง อันทิโอก ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในพระศาสนจักรที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม สั่งสอนคนจำนวนมาก ที่เมืองอันทิโอกนี้เองบรรดาศิษย์ได้รับชื่อว่า “คริสตชน” เป็นครั้งแรก
     ในพระศาสนจักรที่เมืองอันทิโอก มีประกาศกและอาจารย์ คือบารนาบัส สิเมโอนที่เรียกกันว่าคนดำ ลูสิอัสชาวไซรีน มานาเอนซึ่งได้รับการศึกษาอบรมมาด้วยกันกับกษัตริย์เฮโรดอันทิปาส และเซาโล ขณะที่เขาร่วมพิธีนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและจำศีลอดอาหาร พระจิตเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงแยกบารนาบัสและเซาโลไว้ปฏิบัติภารกิจที่เราเรียกเขาให้มาปฏิบัติเถิด” เมื่อเขาจำศีลอดอาหารและอธิษฐานภาวนาแล้ว จึงปกมือเหนือบารนาบัสและเซาโล แล้วส่งเขาทั้งสองคนออกไป

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                     มธ10:7-13
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับศิษย์ทั้งสิบสองคนว่า “จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้วจงรักษาคนเจ็บไข้จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพจงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาดจงขับไล่ปีศาจให้ออกไปท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่รับค่าตอบแทนด้วยอย่าหาเหรียญทองเหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้เมื่อเดินทางอย่ามีย่ามอย่ามีเสื้อสองตัวอย่าสวมรองเท้าอย่าถือไม้เท้าเพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว
เมื่อท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้านจงดูว่าผู้ใดที่นั่นเป็นผู้เหมาะสมที่จะต้อนรับท่านแล้วจงพักอยู่กับเขาจนกว่าท่านจะจากไปเมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บ้านนั้นถ้าบ้านนั้นสมควรได้รับพรจงให้สันติสุขของท่านมาสู่บ้านนั้นถ้าบ้านนั้นไม่สมควรได้รับพรจงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน”

 

ข้อคิด
     นักบุญบาร์นาบัส เป็นชาวยิวจากไซปรัส ชื่อของท่านปรากฏอยู่ในหนังสือกิจการอัครสาวบ่อย ๆ ท่านใกล้ชิดกับนักบุญเปาโล (เป็นผู้แนะนำให้นักบุญเปาโลแก่นักบุญเปโตรและแก่อัครสาวกอื่น ๆ) เป็นตัวเชื่อมนักบุญเปาโลผู้เคยเบียดเบียนพระศาสนจักรกับคริสตชนที่ยังสงสัยในตัวท่าน ท่านเคยอยู่ที่เมืองอันทิโอกกับนักบุญเปาโลเป็นเวลา 1 ปีหลังจากนั่นได้รับมอบหมายให้ไปประกาศข่าวดีแก่คนต่างศาสนา ท่านเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ได้อุทิศตนเพื่อพระเจ้า เป็น “ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพระจิตเจ้าและความเชื่อ” แม้เมื่อท่านถูกขับไล่ออกจากปิสิเดีย ท่านก็ “เปี่ยมไปด้วยความปิติยินดีและพระจิตเจ้า” ที่สุดท่านเป็นพยานด้วยชีวิตจากการถูกทุ่มด้วยหิน ท่านได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ได้อย่างสมบูรณ์

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 2016 สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง                               2 ซมอ 12:7-10,13
     ประกาศกนาธันจึงทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “พระองค์คือชายคนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้เจิมตั้งท่านเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล เราได้ช่วยท่านให้รอดพ้นจากมือของซาอูล เราได้มอบผู้คนในครอบครัวเจ้านายของท่าน มอบภรรยาของเจ้านายให้อยู่ในอ้อมกอดของท่าน และมอบพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์แก่ท่าน ถ้าทั้งหมดนี้ยังไม่พอ เราจะให้มากกว่านี้อีก ทำไมท่านจึงลบหลู่องค์พระผู้เป็นเจ้ากระทำสิ่งชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์พระองค์ท่านให้อุรียาห์ ชาวฮิตไทต์ถูกฆ่า ปล่อยให้ชาวอัมโมนฆ่าเขา แล้วเอาภรรยาของเขาเป็นภรรยาของตน เพราะเหตุนี้ จะมีคนในวงศ์ตระกูลของท่านถูกฆ่าอยู่เรื่อยๆเพราะท่านได้ลบหลู่เรา เอาภรรยาของอุรียาห์ชาวฮิตไทต์มาเป็นภรรยาของท่าน’
     กษัตริย์ดาวิดตรัสกับนาธันว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว”นาธันทูลตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยบาปพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ต้องสิ้นพระชนม์

 

เพลงสดุดี                                                                             สดด 32:1-3,5-6,10-11
     ก) ผู้ที่ได้รับอภัยความผิด
และบาปของเขาถูกลบล้างย่อมเป็นสุข
ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงกล่าวหาว่าทำผิด
และจิตใจของเขาไม่มีความคดโกง ย่อมเป็นสุข
แม้ข้าพเจ้าเงียบอยู่ กระดูกของข้าพเจ้าก็ผุกร่อนไป
จากการคร่ำครวญตลอดวัน
     ข) ข้าพเจ้าทูลให้ทรงทราบถึงบาปของข้าพเจ้า
มิได้ปิดบังความผิดแต่ประการใด
ข้าพเจ้าพูดว่า "ข้าพเจ้าจะสารภาพความผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า"
พระองค์ก็ทรงอภัยบาปที่ข้าพเจ้าได้ทำ
ด้วยเหตุนี้ ผู้จงรักภักดีทุกคนจึงอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์ในยามทุกข์ร้อน
แม้จะเกิดอุทกภัย น้ำไหลบ่าท่วมท้น
น้ำนั้นก็จะไม่มาถึงตัวเขา
     ค) คนชั่วร้ายจะมีความเดือดร้อนมากมาย
แต่ความรักมั่นคงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ห้อมล้อมผู้วางใจในพระองค์
ท่านผู้ชอบธรรมทั้งหลาย จงชื่นชมและยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ท่านผู้มีใจซื่อตรงทั้งหลาย จงร้องตะโกนด้วยความเบิกบานเถิด

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวกาลาเทีย         กท 2:16,19-21
     พี่น้อง แต่เรารู้ว่ามนุษย์มิได้เป็นผู้ชอบธรรมจากการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติแต่เป็นผู้ชอบธรรมจากความเชื่อในพระคริสตเยซูเท่านั้นเรามีความเชื่อในพระคริสตเยซูเพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรมโดยอาศัยความเชื่อในพระคริสตเจ้ามิใช่จากการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติเพราะไม่มีมนุษย์คนใดเป็นผู้ชอบธรรมจากการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติถ้าเราผู้แสวงหาความชอบธรรมในพระคริสตเจ้ายังคงเป็นคนบาปหมายความว่าพระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้รับใช้บาปกระนั้นหรือเป็นไปไม่ได้เพราะถ้าเวลานี้ข้าพเจ้าสร้างสิ่งที่ทำลายแล้วขึ้นใหม่ก็แสดงว่าข้าพเจ้าทำผิดมาก่อนเพราะอาศัยธรรมบัญญัตินั่นแหละข้าพเจ้าจึงได้ตายไปจากธรรมบัญญัติแล้วเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่สำหรับพระเจ้าข้าพเจ้าถูกตรึงกางเขนกับพระคริสตเจ้าแล้วข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่มิใช่ตัวข้าพเจ้าอีกต่อไปแต่พระคริสตเจ้าทรงดำรงชีวิตอยู่ในตัวข้าพเจ้าชีวิตที่ข้าพเจ้ากำลังดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตในความเชื่อถึงพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้าและทรงมอบพระองค์เพื่อข้าพเจ้าข้าพเจ้ามิได้ทำให้พระหรรษทานของพระเจ้าต้องไร้ผลถ้าเรารับความชอบธรรมโดยปฏิบัติตามธรรมบัญญัติพระคริสตเจ้าก็คงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                       ลก 7:36-50
     ชาวฟาริสีคนหนึ่งทูลเชิญพระเยซูเจ้าไปเสวยพระกระยาหารกับเขา พระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านของชาวฟาริสีและประทับที่โต๊ะ ในเมืองนั้นมีหญิงคนหนึ่งเป็นคนบาป เมื่อนางรู้ว่า พระเยซูเจ้ากำลังประทับร่วมโต๊ะอยู่ในบ้านของชาวฟาริสี จึงถือขวดหินขาวบรรจุน้ำมันหอมเข้ามาด้วย นางมาอยู่ด้านหลังของพระองค์ใกล้ๆ พระบาท ร้องไห้จนน้ำตาหยดลงเปียกพระบาท นางใช้ผมเช็ดพระบาท จูบพระบาทและใช้น้ำมันหอมชโลมพระบาท
ชาวฟาริสีที่ทูลเชิญพระองค์เห็นดังนี้ก็คิดในใจว่า “ถ้าผู้นี้เป็นประกาศก เขาคงจะรู้ว่าหญิงที่กำลังแตะต้องเขาอยู่นี้เป็นใครและเป็นคนประเภทไหน นางเป็นคนบาป” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ซีโมน เรามีเรื่องจะพูดกับท่าน” เขาตอบว่า “เชิญพูดมาเถิด อาจารย์” พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้อยู่สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าร้อยเหรียญ อีกคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าสิบเหรียญ ทั้งสองคนไม่มีอะไรจะใช้หนี้ เจ้าหนี้จึงยกหนี้ให้ทั้งหมด ในสองคนนี้ คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน” ซีโมนตอบว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นคนที่ได้รับการยกหนี้ให้มากกว่า” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านตัดสินถูกต้องแล้ว”
     พระองค์ทรงหันพระพักตร์มาทางหญิงผู้นั้น ตรัสกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงผู้นี้ใช่ไหม เราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาล้างเท้าให้เรา แต่นางได้หลั่งน้ำตารดเท้าของเราและใช้ผมเช็ดให้ ท่านไม่ได้จูบคำนับเรา แต่นางจูบเท้าของเราตลอดเวลาตั้งแต่เราเข้ามาท่านไม่ได้ใช้น้ำมันเจิมศีรษะให้เรา แต่นางใช้น้ำมันหอมชโลมเท้าของเรา เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านว่าบาปจำนวนมากของนางได้รับการอภัยแล้วเพราะนางมีความรักมาก ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อยก็ย่อมมีความรักน้อย” แล้วพระองค์ตรัสกับนางว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” บรรดาผู้ร่วมโต๊ะจึงเริ่มพูดกันว่า “คนนี้เป็นใคร จึงทำได้แม้แต่การอภัยบาป” พระองค์ตรัสกับหญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด”

 

ข้อคิด
     บ่อยครั้งที่เรามักอ้างว่า เพราะบาปของเรา เราจึงไม่กล้าเข้าใกล้พระเยซูเจ้า โดยเฉพาะปฏิเสธที่จะรับศีลมหาสนิท เราอ้างว่าเพราะ “เราเป็นคนบาป เราไม่คู่ควร” ในพระวรสารวันนี้ เราได้เห็นหญิงคนบาป พยายามเข้าใกล้พระเยซูเจ้า เพื่อจะได้ยินจากปากพระองค์ว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด” เราจงเข้าหาพระองค์เช่นกัน เพื่อเราจะได้พบความรักและการยอมรับจากพระองค์ พระองค์เป็นเพื่อนของคนบาปเสมอ จงอย่ากลัวที่จะเข้าหาพระองค์

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน 2016 สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง                         1 พกษ 21:17-29
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เอลียาห์ ชาวทิชบีว่า “จงออกเดินทางลงไปเฝ้ากษัตริย์อาคับแห่งอิสราเอลที่กรุงสะมาเรียเถิด เขากำลังอยู่ในสวนองุ่นของนาโบท เขาลงไปยึดครองสวนองุ่นนั้น ท่านจะต้องบอกเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ท่านฆ่าคน และบัดนี้ท่านยังยึดสมบัติของเขาอีกหรือ ท่านจะต้องบอกเขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ณ ที่ซึ่งสุนัขเลียเลือดของนาโบท สุนัขจะเลียเลือดของท่านด้วย” กษัตริย์อาคับตรัสกับเอลียาห์ว่า “คู่ปรับของเราเอ๋ย ท่านมาจับผิดเราใช่ไหม” เอลียาห์ทูลตอบว่า “ใช่แล้ว เพราะพระองค์ทรงยอมปล่อยตัวทำสิ่งชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า “เราจะนำหายนะมาสู่ท่าน เราจะทำลายลูกหลานของท่านให้หมดสิ้นไป และจะกวาดล้างชายทุกคนในตระกูลอาคับ ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นอิสระในอิสราเอล เราจะทำให้ราชวงศ์ของท่านเป็นเหมือนราชวงศ์เยโรโบอัมบุตรของเนบัท และเหมือนราชวงศ์บาอาชาบุตรของอาคิยาห์ เพราะท่านได้ยั่วยุให้เราโกรธ และนำอิสราเอลให้ทำบาป” องค์พระผู้เป็นเจ้ายังตรัสเกี่ยวกับพระนางเยเซเบลด้วยว่า “สุนัขจะกินเนื้อของเยเซเบลในเมืองยิสเรเอล คนในตระกูลของอาคับซึ่งตายในเมือง สุนัขจะมากัดกิน ส่วนคนที่ตายในทุ่งนา นกในอากาศจะมาจิกกิน”
     ไม่มีผู้ใดที่ปล่อยตัวทำความชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้ามากเท่ากษัตริย์อาคับ ซึ่งมเหสีเยเซเบลทรงชักชวนให้ทำผิด พระองค์ทรงทำการน่าสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง โดยไปกราบไหว้รูปเคารพดังที่ชาวอาโมไรต์เคยทำ องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงขับไล่ชาวอาโมไรต์ออกไปจากแผ่นดินเมื่อชาวอิสราเอลเข้ามายึดครอง
     เมื่อกษัตริย์อาคับทรงได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ พระองค์ทรงฉีกฉลองพระองค์ด้วยความทุกข์ ทรงสวมใส่เสื้อผ้ากระสอบ ไม่ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร บรรทมทั้งๆ ที่ยังฉลองพระองค์ด้วยผ้ากระสอบ ทรงพระดำเนินโดยก้มพระเศียรแสดงความทุกข์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามเอลียาห์ชาวทิชบีว่า “ท่านสังเกตเห็นไหมว่าอาคับถ่อมตนลงต่อหน้าเราอย่างไร เพราะเขาได้ถ่อมตนลงต่อหน้าเรา เราจะไม่นำหายนะมาในช่วงชีวิตของเขา แต่จะนำหายนะมาสู่ราชวงศ์ในช่วงชีวิตบุตรของเขา”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                     มธ 5:43-48
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวว่าจงรักเพื่อนบ้านจงเกลียดศัตรูแต่เรากล่าวแก่ท่านว่าจงรักศัตรูจงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่านเพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่วโปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรมถ้าท่านรักแต่คนที่รักท่านท่านจะได้บำเหน็จรางวัลอะไรเล่าบรรดาคนเก็บภาษีมิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของท่านเท่านั้นท่านทำอะไรพิเศษเล่าคนต่างศาสนามิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือฉะนั้นท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่านทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด”

 

ข้อคิด
     จากความชั่วร้ายมหันต์ของกษัตริย์อาคับ เราคงประหลาดใจว่าทำไมในที่สุดพระองค์ได้สำนึกผิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้โอกาสแก่กษัตริย์อาคับเพื่อจะเปลี่ยนแปลงชีวิต ความจริงก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักกษัตริย์อาคับ แม้พระองค์จะทำบาปมากมาย องค์พระผู้เป็นเจ้ารอคอยการกลับใจของพระองค์ พระเยซูเจ้า พระบุตรของพระเป็นเจ้าก็สอนเราให้รักศัตรูและภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียน เพื่อเรา “จะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์” ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักศัตรูและภาวนาให้เขา แต่พระเยซูเจ้าได้เป็นแบบอย่างแก่เรา พระองค์ภาวนาให้กับผู้ที่กำลังประหารพระองค์

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2016 สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง                          1 พกษ 21:1-16
     ต่อมาไม่นาน นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นที่เมืองยิสเรเอลใกล้พระราชวังของกษัตริย์อาคับแห่งสะมาเรีย กษัตริย์อาคับตรัสแก่นาโบทว่า “จงยกสวนองุ่นของท่านให้เราทำเป็นสวนผักเถิด เพราะสวนนี้อยู่ใกล้วังของเรา เราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่านี้แทน หรือถ้าท่านยินดีขาย เราจะจ่ายเงินให้ตามราคา นาโบททูลตอบกษัตริย์อาคับว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามมิให้ข้าพเจ้ายกมรดกของบรรพบุรุษให้พระองค์”
     กษัตริย์อาคับเสด็จกลับพระราชวังด้วยพระทัยขุ่นเคืองและทรงพระพิโรธที่นาโบทชาวยิสเรเอลทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยกมรดกของบรรพบุรุษให้แก่พระองค์” พระองค์เสด็จเข้าที่บรรทม หันพระพักตร์เข้าฝาผนัง ไม่ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร พระมเหสีเยเซเบลเสด็จเข้าไปทูลถามว่า “ทำไมพระทัยของพระองค์จึงขุ่นเคืองจนไม่ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร” พระองค์ทรงตอบว่า “เพราะเราบอกนาโบทชาวยิสเรเอลว่า “จงยกสวนองุ่นของท่านให้เราเถิด เราจะให้เงิน หรือถ้าท่านพอใจ เราจะให้สวนองุ่นอื่นแทน” แต่เขากลับตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยกสวนองุ่นให้พระองค์” พระมเหสีเยเซเบลจึงทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลเช่นนี้หรือขอทรงลุกขึ้นเสวยพระกระยาหารให้สบายพระทัยเถิด หม่อมฉันเองจะให้สวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลแก่พระองค์”
พระนางทรงพระอักษรลงพระนามกษัตริย์อาคับ ประทับตราของพระองค์ ส่งไปถึงผู้อาวุโสและบุคคลสำคัญที่อยู่ในเมืองเดียวกับนาโบท พระนางทรงเขียนในลายพระหัตถ์ว่า “ท่านทั้งหลายจงประกาศวันถือศีลอดอาหาร เรียกประชาชนมาชุมนุมกัน และให้นาโบทนั่งอยู่แถวหน้า แล้วจงหาอันธพาลสองคนให้มานั่งเผชิญหน้ากับนาโบทและกล่าวหาเขาว่า “ท่านสาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย์” แล้วท่านทั้งหลายจะนำเขาออกไปนอกเมืองและเอาหินทุ่มเขาให้ตาย”
     คนในเมืองของนาโบท บรรดาผู้อาวุโสและบุคคลสำคัญที่อาศัยอยู่ในเมืองปฏิบัติตามรับสั่งของพระนางเยเซเบลที่เขียนไว้ในลายพระหัตถ์ที่พระนางทรงส่งไป ชาวเมืองได้ประกาศวันถือศีลอดอาหาร สั่งให้นาโบทมานั่งแถวหน้าในหมู่ประชาชน อันธพาลสองคนออกมานั่งเผชิญหน้ากับเขา อันธพาลกล่าวหานาโบทต่อหน้าประชาชนว่า “นาโบทได้สาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย์” เขาจึงนำนาโบทออกไปนอกเมืองและเอาหินทุ่มจนตาย ชาวเมืองส่งข่าวไปทูลพระนางเยเซเบลว่า “นาโบทถูกหินทุ่มตายแล้ว” เมื่อพระนางเยเซเบลทรงได้ยินว่านาโบทถูกหินทุ่มตายแล้ว ก็ทูลกษัตริย์อาคับว่า “ขอทรงลุกขึ้น เสด็จไปยึดครองสวนองุ่นที่นาโบทชาวยิสเรเอลเคยปฏิเสธไม่ยอมขายให้พระองค์ เพราะนาโบทไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป เขาตายแล้ว” เมื่อกษัตริย์อาคับทรงได้ยินว่านาโบทตายแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงไปยังสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล เพื่อยึดครองสวนองุ่นนั้น

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ 5:38-42
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า‘ตาต่อตาฟันต่อฟัน’แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าอย่าโต้ตอบคนชั่วผู้ใดตบแก้มขวาของท่านจงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วยผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่านก็จงแถมเสื้อคลุมให้เขาด้วยผู้ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินไปกับเขาหนึ่งหลักจงไปกับเขาสองหลักเถิดผู้ใดขออะไรจากท่านก็จงให้อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน”

 

ข้อคิด
     เราได้เห็นความชั่วร้ายของกษัตริย์อาคับและของมเหสีเยเซเบลแม้กษัตริย์อาคับจะมีทรัพย์สินมากมายก็ยังอยากได้สวนองุ่นของนาโบท จากแผนอันชั่วร้ายของพระนางเยเซเบลก็ได้สวนองุ่นมาครอบครองโดยไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว คนอย่างกษัตริย์อาคับและพระนางเยเซเบลทำให้เรารู้สึกโกรธแค้น เวลาที่เราได้ข่าวว่าคนถูกฆ่าข่มขืน เราต้องการให้พระเป็นเจ้าถือตามกฎ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” แต่เราจะเห็นว่าพระองค์ไม่ต้องการให้คนบาปตาย แต่ต้องการให้เขากลับใจและได้รับความรอด แทนที่เราจะโกรธแค้น เราควรภาวนาให้ผู้ที่ทำผิดกลับใจและกลับมาหาพระเป็นเจ้า

วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2016 สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่สอง                           2 พกษ 2:1,6-14
     เมื่อถึงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้พายุหมุนหอบเอลียาห์ขึ้นไปบนฟ้า เอลียาห์และเอลีชาออกเดินทางจากเมืองกิลกาล
     เอลียาห์สั่งเขาว่า “จงอยู่ที่นี่ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งข้าพเจ้าไปที่แม่น้ำจอร์แดน” เอลีชาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์และท่านมีชีวิตอยู่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่ยอมละทิ้งท่านท่านต้องการให้ข้าพเจ้าทำอะไรให้ท่านก่อนที่ข้าพเจ้าจะถูกรับตัวไป” เอลีชาตอบว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้รับจิตของท่านสองส่วนเถิด” เอลียาห์ตอบว่า “ท่านขอสิ่งที่ทำได้ยาก แต่ถ้าท่านเห็นข้าพเจ้าเมื่อจะถูกรับไปจากท่าน ท่านก็จะได้รับตามที่ขอ ถ้าท่านไม่เห็น ท่านก็จะไม่ได้รับ” ขณะที่เขาทั้งสองคนกำลังเดินสนทนากันอยู่นั้น รถม้าเพลิงคันหนึ่งเทียมม้าเพลิงปรากฏขึ้น แยกคนทั้งสองออกจากกัน เอลียาห์ถูกยกขึ้นไปบนฟ้าในพายุหมุน เอลีชาเห็นปรากฏการณ์ ก็ร้องเรียกว่า “บิดาของข้าพเจ้า บิดาของข้าพเจ้า รถศึกและสารถีของอิสราเอล” แล้วเขาก็ไม่เห็นเอลียาห์อีก เอลีชาจับเสื้อของตนฉีกออกเป็นสองส่วน แล้วหยิบเสื้อคลุมที่ตกลงมาจากเอลียาห์ขึ้นมา เดินกลับไปยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน
เขาใช้เสื้อคลุมที่ตกลงมาจากเอลียาห์ฟาดน้ำ กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเอลียาห์อยู่ที่ไหน” เมื่อเขาฟาดน้ำ น้ำก็แยกออกเป็นสองฟาก เอลีชาก็ข้ามแม่น้ำไป

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                     มธ 6:1-6,16-18
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงระวัง อย่าปฏิบัติศาสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่ออวดคนอื่น มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ดังนั้น เมื่อท่านให้ทาน จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนที่บรรดาคนหน้าซื่อใจคดมักทำในศาลาธรรมและตามถนนเพื่อจะได้รับคำสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำลังทำสิ่งใด เพื่อทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่เปิดเผย แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำเหน็จให้ท่าน
     เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนาในศาลาธรรม และตามมุมลานเพื่อให้ใครๆ เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตทั่วทุกแห่ง แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบำเหน็จให้ท่าน
     เมื่อท่านทั้งหลายจำศีลอดอาหาร จงอย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาทำหน้าหมองคล้ำ เพื่อแสดงให้ผู้คนรู้ว่าเขากำลังจำศีลอดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อจำศีลอดอาหาร จงล้างหน้า ใช้น้ำมันหอมใส่ศีรษะ เพื่อไม่แสดงให้ผู้คนรู้ว่าท่านกำลังจำศีล อดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่านผู้สถิตทั่วทุกแห่งทรงทราบ และพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง ก็จะประทานบำเหน็จให้ท่าน”

 

ข้อคิด
     พระเป็นเจ้าสามารถเลือกวิธีต่าง ๆ มากมายที่จะติดต่อกับมนุษย์ พระองค์มักจะเลือกติดต่อผ่านทางมนุษย์ที่พระองค์เลือกสรร เวลามิสซา เราเห็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนเรา ที่พระองค์ได้เลือกให้เป็นพระสงฆ์แทนพระองค์ เราทุกคนจึงสามารถเป็นเครื่องมือของพระองค์ได้เช่นกัน โดยศีลล้างบาป เราเป็นประกาศกที่จะเป็นพยานของพระเป็นเจ้าเช่นเดียวกับประกาศกทั้งหลายในพระธรรมเก่า

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown