มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม 2021 ฉลองนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู พรหมจารี

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                            อสย 66:10-14
     ท่านทั้งหลายจงยินดีกับกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายที่รักกรุงเยรูซาเล็ม จงชื่นชมกับกรุงนี้เถิด ท่านทั้งหลายที่เคยไว้ทุกข์ให้กรุงเยรูซาเล็ม จงร่วมยินดีกับกรุงนี้ด้วยความชื่นบานเถิด ท่านจะได้รับการปลอบโยนอย่างเต็มเปี่ยมจากกรุงเยรูซาเล็ม ทารกมีความยินดีเมื่อดูดนมจากทรวงอกของมารดาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะมีความยินดีจากความอุดมสมบูรณ์ของกรุงนี้ฉันนั้น
     เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูซิ เราจะบันดาลให้สันติสุขหลั่งไหลมาสู่กรุงนี้เหมือนแม่น้ำ จะนำความมั่งคั่งของนานาชาติมายังกรุงนี้เหมือนสายน้ำที่กำลังล้นฝั่ง กรุงนี้จะอุ้มท่านทั้งหลายไว้ ให้ท่านดูดนม และหยอกล้อท่านบนตัก มารดาปลอบโยนบุตรฉันใด เราก็จะปลอบโยนท่านทั้งหลายฉันนั้น ท่านจะได้รับการปลอบโยนในกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายจะเห็น และใจของท่านจะโลดเต้นยินดี กระดูกของท่านจะสดชื่นขึ้นเหมือนหญ้าอ่อน องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแสดงพระอานุภาพแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ แต่จะทรงพระพิโรธต่อบรรดาศัตรู

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 18:1-4
     ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์
ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา”

 

ข้อคิด
     เพื่อจะเข้าพระอาณาจักรสวรรค์ พระเยซูเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้เราทำกิจการที่ยิ่งใหญ่ใดๆ แต่ให้เราถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ต้องพึ่งพาบิดามารดาในการดำรงชีวิต เช่นเดียวกัน ขอให้ชีวิตของเราทั้งครบขึ้นอยู่กับพระเป็นเจ้า ดังที่ท่านนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซูได้ดำเนินชีวิตในอารามอย่างสุภาพ ถ่อมตน และบัดนี้ ท่านได้เป็นหนึ่งในนักบุญที่ยิ่งใหญ่ในสวรรค์แล้ว

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม 2021 ระลึกถึงอารักขเทวดา

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                           อพย 23:20-23ก
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ “เราจะส่งทูตสวรรค์ไปข้างหน้าท่าน เพื่อป้องกันท่านตามทาง และนำท่านไปถึงสถานที่ที่เราจัดเตรียมไว้ จงเคารพเชื่อฟังถ้อยคำของทูตสวรรค์นั้น อย่าต่อต้าน เพราะเขาทำไปในนามของเรา และจะไม่ยอมอภัยความผิดของท่านเลย แต่ถ้าท่านเชื่อฟังเขาและทำตามที่เราสั่งทุกประการ เราจะเป็นศัตรูกับศัตรูของท่าน เป็นปฏิปักษ์กับปฏิปักษ์ของท่าน ทูตสวรรค์ของเราจะเดินข้างหน้าและนำท่าน”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 18:1-5,10
     ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์
ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา
     จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดาๆ เหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์”


ข้อคิด
     พระศาสนจักรสอนว่า “ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงวันตาย ชีวิตมนุษย์แวดล้อมอยู่ด้วยการพิทักษ์รักษา และการวิงวอนแทนของเหล่าทูตสวรรค์” (คำสอนพระศาสนจักรฯ ข้อ 336) “สัตบุรุษแต่ละคนมีทูตสวรรค์อยู่เคียงข้าง เป็นผู้พิทักษ์และผู้อภิบาลเพื่อนำตัวเขาไปสู่ชีวิต” (นักบุญบาซิล) ดังนั้น ขอให้เราเคารพเชื่อฟังถ้อยคำของทูตสวรรค์ที่กระซิบเตือนเราโดยผ่านทางมโนธรรมในจิตใจของเราอยู่เสมอ และขอท่านช่วยปกป้องคุ้มครองเราทั้งทางด้านร่างกายและจิตวิญญาณด้วย

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2021 ระลึกถึง น.ฟรังซิส แห่งอัสซีซี

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยนาห์                              ยนา 1:1-7 และ 2:1,11
     พระวจนะของพระเจ้ามาถึงโยนาห์บุตรอามิททัยว่า “จงลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์นครใหญ่ และร้องกล่าวโทษชาวเมืองนั้นว่าความชั่วของเขาทั้งหลายได้ขึ้นมาถึงเราแล้ว” แต่โยนาห์ได้ลุกขึ้นหนีไปยังเมืองทารชิช จากพระพักตร์พระเจ้า ท่านได้ลงไปยังเมืองยัฟฟา และพบเรือลำหนึ่งกำลังจะไปเมืองทารชิช ท่านจึงชำระค่าโดยสารและขึ้นเรือเดินทางร่วมกับเขาทั้งหลายไปยังเมืองทารชิช ให้พ้นจากพระพักตร์พระเจ้า
     แต่พระเจ้าทรงขับกระแสลมแรงขึ้นเหนือทะเล จึงเกิดพายุใหญ่ในทะเลนั้นจนน่ากลัวว่าเรือจะอับปาง บรรดาลูกเรือมีความกลัว ต่างก็ร้องขอต่อพระของตน และเอาสินค้าในเรือโยนลงทะเลเพื่อให้เรือเบาขึ้น ส่วนโยนาห์ได้ลงไปด้านในสุดของเรือ นอนลงและหลับสนิท นายเรือจึงมาหาท่านและกล่าวแก่ท่านว่า “ทำไมเจ้าจึงขี้เซาอย่างนี้นะ ลุกขึ้นซิ จงขอร้องขอพระเจ้าของเจ้า บางทีพระองค์จะทรงระลึกถึงพวกเราบ้าง เราจะได้ไม่พินาศ”
     แล้วพวกเขาได้พูดกันว่า “มาเถอะ ให้เราจับฉลากกัน เพื่อจะได้รู้ว่าใครเป็นต้นเหตุให้ภัยพิบัตินี้เกิดขึ้นแก่เรา” เขาจึงจับฉลากกัน ฉลากตกเป็นของโยนาห์ เขาจึงถามท่านว่า “จงบอกเรามาเถิดว่า ภัยพิบัติซึ่งเกิดขึ้นแก่เรานี้ใครเป็นต้นเหตุ ท่านมีอาชีพอะไร มาจากไหน ประเทศของท่านชื่ออะไร ท่านเป็นคนชาติไหน” โยนาห์จึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวฮีบรู และข้าพเจ้านับถือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งสวรรค์ผู้ทรงสร้างทะเลและแผ่นดิน” คนเหล่านั้นก็กลัวยิ่งนัก จึงถามท่านว่า “ท่านได้ทำอะไรไปเล่า” คนเหล่านั้นทราบแล้วว่าท่านหลบหนีจากพระพักตร์พระเจ้า เพราะท่านได้เล่าให้เขาฟังเช่นนั้น
     พวกเขาจึงกล่าวแก่ท่านว่า “เราควรจะทำอย่างไรกับท่าน เพื่อทะเลจะได้สงบลงสำหรับเรา” เพราะทะเลยิ่งกำเริบมากขึ้นทุกที ท่านจึงตอบพวกเขาว่า “จงจับตัวข้าพเจ้าโยนลงไปในทะเลเถิด และทะเลก็จะสงบลงสำหรับท่าน เพราะข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าที่พายุใหญ่เกิดขึ้นแก่ท่านเช่นนี้ก็เนื่องจากตัวข้าพเจ้า” แต่พวกลูกเรือก็ยังช่วยกันตีกรรเชียงอย่างแข็งขันเพื่อจะนำเรือกลับเข้าฝั่ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะว่าทะเลยิ่งกำเริบมากขึ้นต้านเขาไว้ พวกเขาจึงร้องทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายวอนขอพระองค์ อย่าให้ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องพินาศเพราะชีวิตของชายผู้นี้เลย ขออย่าให้การหลั่งโลหิตที่ไร้ความผิดนี้ตกเป็นโทษเหนือข้าพเจ้าทั้งหลายเลย ข้าแต่พระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงกระทำตามที่ทรงพอพระทัย”
     เขาจึงจับโยนาห์ทิ้งลงไปในทะเล ความปั่นป่วนในทะเลก็สงบลง คนเหล่านั้นมีความยำเกรงพระเจ้ายิ่งนัก จึงถวายบูชาแด่พระเจ้าและทำการบนบานไว้
      พระเจ้าทรงจัดให้ปลามหึมาตัวหนึ่งกลืนโยนาห์เข้าไป โยนาห์อยู่ในท้องปลานั้นสามวันสามคืน แล้วพระเจ้าตรัสสั่งปลานั้น มันก็สำรอกโยนาห์ออกไว้บนแผ่นดินแห้ง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                ลก 10:25-37
      ขณะนั้น นักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร” พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ในธรรมบัญญัติมีเขียนไว้อย่างไร ท่านอ่านว่าอย่างไร”
เขาทูลตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลัง และสุดสติปัญญาของท่าน ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง”
      พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงทำเช่นนี้ แล้วจะได้ชีวิต” ชายคนนั้นต้องการแสดงว่าตนถูกต้อง จึงทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “แล้วใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า”
      พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งกำลังเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค เขาถูกโจรปล้น พวกโจรปล้นทุกสิ่ง ทุบตีเขา แล้วก็จากไป ทิ้งเขาไว้อาการสาหัสเกือบสิ้นชีวิต สมณะผู้หนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง ชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมาทางนั้น เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้ ๆ เห็นเขาก็รู้สึกสงสาร จึงเดินเข้าไปหา เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา
      วันรุ่งขึ้นชาวสะมาเรียผู้นั้นนำเงินสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้กล่าวว่า “ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา” ท่านคิดว่าในสามคนนี้ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น” เขาทูลตอบว่า “คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด”

 

ข้อคิด
     น.ออกัสตินสอนว่า คำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดีนี้หมายถึงมนุษย์ที่ถูกซาตานโจมตี ถูกปล้นทุกสิ่งทุกอย่างไป และถูกทิ้งไว้ให้ตายในบาป โดยสมณะและชาวเลวีเป็นตัวแทนของพันธสัญญาเดิมซึ่งไม่สามารถช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นได้ แต่พระเยซูเจ้าผู้เป็นเสมือนชาวสะมาเรียผู้ใจดี ได้ช่วยมนุษย์จากความตายโดยพาไปพำนักในโรงแรม ซึ่งก็คือพระศาสนจักร และทำการรักษาโดยผ่านทางศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ (De Quaest. Evang. 2,19) ดังนั้น ขอให้เรามีเมตตาต่อกัน และทำเช่นเดียวกันกับที่พระเยซูเจ้าได้ทรงแสดงความเมตตาต่อเราด้วย

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม 2021 สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                       ปฐก 2:18-24
      องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าตรัสว่า “มนุษย์อยู่เพียงคนเดียวนั้น ไม่ดีเลย เราจะสร้างผู้ช่วยที่เหมาะกับเขาให้” องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจึงทรงเอาดินมาปั้นสัตว์ป่าทุกชนิดและนกทุกชนิดในท้องฟ้า ทรงนำสัตว์เหล่านี้มาให้มนุษย์ เพื่อดูว่าเขาจะตั้งชื่อมันว่าอย่างไร สัตว์แต่ละตัวจะมีชื่อตามที่มนุษย์ตั้งให้ มนุษย์จึงตั้งชื่อให้สัตว์เลี้ยง นกในอากาศ และสัตว์ป่าทั้งหมด แต่มนุษย์ยังไม่พบผู้ช่วยที่เหมาะกับตน ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์หลับสนิท และขณะที่เขากำลังนอนหลับ ก็ทรงเอากระดูกซี่โครงของเขาออกมาหนึ่งซี่ และทรงบันดาลให้เนื้อปิดสนิท องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าทรงเอาซี่โครงนั้นมาสร้างหญิง แล้วทรงนำมาให้มนุษย์ มนุษย์จึงพูดว่า “นี่คือกระดูกจากกระดูกของฉัน และเนื้อจากเนื้อของฉัน นางจะมีชื่อว่าหญิง เพราะนางมาจากชาย”
เพราะฉะนั้น ชายจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันกับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน

 

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู                                  ฮบ 2:9-11
      พี่น้อง แต่เราก็เห็นว่า พระเยซูเจ้าผู้ถูกลดฐานะลงต่ำกว่าทูตสวรรค์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ทรงได้รับสิริรุ่งโรจน์และเกียรติยศเป็นมงกุฎ เพราะทรงยอมรับความตาย ดังนี้ โดยอาศัยพระหรรษทาน ของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงลิ้มรสความตายเพื่อมนุษย์ทุกคน
พระเจ้าผู้ทรงสร้างและค้ำจุนทุกสิ่ง มีพระประสงค์จะนำบุตรจำนวนมากเข้ามารับพระสิริรุ่งโรจน์ จึงเป็นการเหมาะสมแล้วที่พระองค์จะทรงทำให้ผู้ที่นำมนุษย์ให้รอดพ้นนั้นสมบูรณ์โดยผ่านการทนทุกข์ทรมาน เพราะว่าทั้งผู้ประทานความศักดิ์สิทธิ์และผู้รับความศักดิ์สิทธิ์ต่างก็มาจากแหล่งเดียวกัน พระองค์จึงไม่ทรงอายที่จะเรียกคนเหล่านั้นว่าพี่น้อง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                          มก 10:2-16
     เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนทูลถามหวังจะจับผิดพระองค์ว่า ‘เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่ชายจะหย่ากับภรรยา?’ พระองค์ทรงตอบเขาว่า ‘โมเสสได้บัญญัติไว้ว่าอย่างไร? เขาทูลตอบว่า ‘โมเสสอนุญาตให้ทำหนังสือหย่าร้างและหย่ากันได้’ พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า ‘เพราะใจดื้อหยาบกระด้างของท่าน โมเสสจึงได้เขียนบัญญัติข้อนี้ไว้ แต่เมื่อแรกสร้างโลกนั้นพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง เพราะฉะนั้น ชายจะละบิดามารดา และชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน ดังนี้ เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย’ เมื่อกลับเข้าไปในบ้านแล้ว บรรดาศิษย์ทูลถามถึงเรื่องนี้อีก พระองค์จึงตรัสตอบว่า ‘ผู้ใดหย่าร้างภรรยา และแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง ก็ทำผิดประเวณีต่อภรรยาคนเดิม และถ้าหญิงคนหนึ่งหย่ากับสามีไปแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง ก็ทำผิดประเวณีเช่นเดียวกัน’
     มีผู้นำเด็กเล็กๆมาเฝ้าพระเยซูเจ้าเพื่อทรงสัมผัสอวยพร แต่บรรดาศิษย์กลับดุว่าคนเหล่านั้น เมื่อทรงเห็นเช่นนี้ พระองค์ทรงรู้สึกกริ้ว ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า ‘ปล่อยให้เด็กเล็กๆมาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ใดไม่รับพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างเด็กเล็กๆ เขาจะไม่เข้าสู่พระอาณาจักรนั้นเลย’ แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กเหล่านั้นไว้ ปกพระหัตถ์ และประทานพระพร


ข้อคิด
     เมื่อพระเยซูเจ้าทรงอวยพระพรเด็กเล็กๆ ก็เป็นการยืนยันถึงความสำคัญของการหย่าร้างไม่ได้ของการแต่งงานซึ่งพระองค์ได้ตรัสสอนก่อนหน้านี้ เพราะว่า เด็กเล็กๆ ซึ่งเป็นของขวัญจากพระเจ้าสำหรับคู่รักนั้น จะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการหย่าร้างของบิดามารดามากที่สุด พระเป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เด็กเล็กๆ ได้เติบโตขึ้นในครอบครัวที่มั่นคงและอบอุ่น ดังนั้น ให้เราวอนขอพระเป็นเจ้าโปรดให้เรามีจิตใจอ่อนโยนและถ่อมตน ยอมอยู่ภายใต้พระบัญญัติแห่งความรักของพระเจ้าซึ่งจะปกป้องคุ้มครองเราในครอบครัวใหญ่ของพระองค์

วันอังคารที่ 5 ตุลาคม 2021 ระลึกถึง น.โฟสตินา โควัลสกา พรหมจารี

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยนาห์                            ยนา 3:1-10
      พระดำรัสของพระเจ้ามาถึงโยนาห์เป็นคำรบสองว่า "จงลุกขึ้นไปยังนะนะเวห์นครใหญ่ และประกาศข่าวแก่ชาวนีนะเวห์ตามที่เราบอกเจ้า" โยนาห์จึงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ตามพระวจนะของพระเจ้า
นีนะเวห์นั้นเป็นนครใหญ่โตมากทีเดียว ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองนั้นเป็นระยะทางเดินหนึ่งวัน และร้องประกาศว่า "อีกสี่สิบวันนีนะเวห์จะถูกทำลายสิ้น" ฝ่ายผู้คนชาวเมืองนีนะเวห์ได้เชื่อฟังพระเป็นเจ้า เขาประกาศให้ถือศีลอดอาหารและสวมผ้ากระสอบ นับตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดลงมาถึงผู้น้อยที่สุด
     ข่าวนี้แพร่ไปถึงกษัตริย์นครนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง ทรงเปลื้องฉลองพระองค์ออก ทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า ทรงออกพระราชกฤษฎีกาประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ โดยอาศัยอำนาจกษัตริย์และขุนนางทั้งหลายว่า"คนหรือสัตว์ ไม่ว่าสัตว์ใหญ่หรือสัตว์เล็ก ห้ามลิ้มรสสิ่งใดทั้งสิ้น อย่าให้กินอาหาร อย่าให้ดื่มน้ำ ให้ทั้งคนและสัตว์นุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ตั้งจิตตั้งใจร้องทูลต่อพระเจ้า ให้แต่ละคนเลิกประพฤติชั่วช้า และทิ้งการทารุณที่ได้กระทำเสีย. ใครจะรู้ได้ บางทีพระเป็นเจ้าจะทรงเปลี่ยนพระทัย และทรงพระกรุณาคลายจากพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์ เพื่อเราจะไม่ต้องพินาศไป"
พระเป็นเจ้าทรงทอดพระเนตรการกระทำของเขาว่าได้กลับใจไม่ประพฤติชั่วต่อไป ก็ทรงพระกรุณามิได้ทรงลงโทษตามที่ทรงขู่ไว้

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 10:38-42
      เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งชื่อมารธารับเสด็จพระองค์ที่บ้าน นางมีน้องสาวชื่อมารีย์ซึ่งนั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้าคอยฟังพระวาจาของพระองค์ มารธากำลังยุ่งอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้จึงเข้ามาทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันคนเดียวให้ปรนนิบัติรับใช้ ขอพระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉันบ้าง”
      แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก สิ่งที่จำเป็นมีเพียงสิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้”

 

ข้อคิด
     ในพระวรสารวันนี้ ทั้งมาร์ธาและมารีย์ได้ให้การต้อนรับพระเยซูเจ้าในรูปแบบที่แตกต่างกัน มาร์ธายุ่งอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้ ส่วนมารีย์นั่งอยู่แทบพระบาท พระเยซูเจ้าสอนว่าสิ่งที่สำคัญกว่าการปฺฎิบัติกิจการภายนอกคือความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การทำงานภายนอกนั้นคนอื่นสามารถทำแทนได้ แต่ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั้น ไม่มีใครทดแทนได้ ดังนั้น ขอให้เรารับใช้กันและกันด้วยความรัก ซึ่งจะช่วยเสริมให้กิจการภายนอก มีคุณค่าและมีความหมายมากยิ่งขึ้น

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown