วันพุธที่ 21 กรกฎาคม 2021 น.ลอเรนซ์ แห่งบรินดิซี พระสงฆ์และนักปราชญ์
- รายละเอียด
- หมวด: กรกฎาคม 2021
- เผยแพร่เมื่อ วันเสาร์, 08 พฤษภาคม 2564 04:29
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 874
บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 16:1-5,9-15
ในครั้งนั้น ชุมชนชาวอิสราเอลออกเดินทางจากเอลิมและมาถึงถิ่นทุรกันดารศิน ซึ่งอยู่ระหว่างเอลิมกับซีนาย ในวันที่สิบห้าเดือนที่สองหลังจากที่ออกจากแผ่นดินอียิปต์ ชุมชนชาวอิสราเอลต่างต่อว่าโมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร ชาวอิสราเอลพูดกับเขาทั้งสองว่า “พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าประหารพวกเราในแผ่นดินอียิปต์เมื่อนั่งอยู่รอบหม้อเนื้อและกินอิ่มยังดีกว่าที่ท่านพาพวกเราออกมาในถิ่นทุรกันดารนี้ เพื่อให้พวกเราทุกคนอดตาย”
องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสแก่โมเสสว่า “ดูซิ เราจะบันดาลให้มีอาหารตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนให้ท่านทั้งหลายกิน ทุกวันประชากรต้องออกไปเก็บอาหารให้พอกินในวันนั้น เราจะได้ทดลองดูว่าเขาปฏิบัติตามบัญญัติของเราหรือไม่ ในวันที่หก ให้เขาเก็บอาหารเป็นสองเท่าของวันธรรมดา”
โมเสสสั่งอาโรนว่า จงบอกชุมชนชาวอิสราเอลว่า “จงเข้ามาใกล้เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงได้ยินคำต่อว่าของท่านแล้ว” ขณะที่อาโรนกำลังพูดกับชุมชนชาวอิสราเอลนั้น เขาทั้งหลายหันหน้าไปดูทางถิ่นทุรกันดาร ทันใดนั้นพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏให้เห็นบนก้อนเมฆ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “เราได้ยินคำต่อว่าของชาวอิสราเอลแล้ว จงบอกเขาดังนี้ว่า เวลาพลบค่ำ ท่านทั้งหลายจะมีเนื้อกิน และเวลาเช้า ท่านจะมีอาหารกินจนอิ่ม แล้วท่านทั้งหลายจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน” เย็นวันนั้น ฝูงนกคุ่มบินมาจนเต็มค่าย ในเวลาเช้า มีน้ำค้างแผ่อยู่ทั่วไปรอบค่ายพัก เมื่อน้ำค้างระเหยแล้ว ก็เห็นมีเกล็ดเป็นเม็ดเล็ก ๆ บนผิวดินในถิ่นทุรกันดาร เหมือนน้ำค้างที่จับแข็ง เมื่อชาวอิสราเอลเห็น เขาไม่รู้ว่าเป็นอะไร จึงถามกันว่า “นี่เป็นอะไร” โมเสสบอกเขาว่า “นี่แหละอาหารที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ท่านกิน”
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:1-9
วันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากบ้านมาประทับที่ริมทะเลสาบ ประชาชนจำนวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในเรือ ส่วนประชาชนยืนอยู่บนฝั่ง พระองค์ตรัสสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา
พระองค์ตรัสว่า “จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกเผาและเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำให้เหี่ยวเฉาตายไป บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมีหู ก็จงฟังเถิด”
ข้อคิด
เพื่อให้คนฟังที่มีความหลากหลายในบริบท ในภูมิหลัง ในฐานะ ในความรู้...ได้เข้าถึงข่าวดีและคำสอนของพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงใช้วิธีการเล่าเป็นอุปมาโดยดึงมาจากสิ่งใกล้ตัวคนฟังเพื่อนำไปสู่ความจริงที่พระองค์ทรงประสงค์จะบอก พระองค์ทรงบอกถึงทีท่าของบุคคลที่ฟังข่าวดี มีที่ฟังข่าวดีแต่ใจยังไม่พร้อม ข่าวดีก็ไม่ได้เกิดผล มีที่ฟังแล้วตื่นเต้นกระตือรือร้น แต่แล้วสิ่งเลวร้ายทั้งในและนอกตนก็มาบดบังข่าวดี มีที่ฟังแล้วรับไว้ แต่พอมีความกังวน ก็ติดไปกับความกังวน จนลืมข่าวดี มีที่ฟังแล้วจิตใจพร้อมก็ได้รับข่าวดีสำหรับชีวิตความเป็นอยู่ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของข่าวดีไม่ได้อยู่ในผู้ประกาศ ไม่ได้อยู่ในตัวข่าวดี แต่อยู่ในท่าทีในการรับข่าวดีนั้น
วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม 2021 ฉลองนักบุญมารีย์ ชาวมักดาลา
- รายละเอียด
- หมวด: กรกฎาคม 2021
- เผยแพร่เมื่อ วันเสาร์, 08 พฤษภาคม 2564 04:28
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 837
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง 2 คร 5:14-17
พี่น้อง เพราะความรักของพระคริสตเจ้าผลักดันเรา เราแน่ใจว่า ถ้าคนหนึ่งตายเพื่อทุกคน ก็เหมือนกับว่าทุกคนได้ตายด้วย พระองค์สิ้นพระชนม์แทนทุกคน เพื่อผู้ที่มีชีวิตจะได้ไม่มีชีวิตเพื่อตนเองอีกต่อไป แต่มีชีวิตเพื่อพระองค์ผู้ได้สิ้นพระชนม์ และทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อเขา
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามมาตรฐานมนุษย์อีก แม้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยพิจารณาพระคริสตเจ้าตามมาตรฐานมนุษย์ แต่บัดนี้เราไม่พิจารณาพระองค์ตามมาตรฐานนี้อีกต่อไป ดังนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่ สภาพเก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:1,11-18
เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ ขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว
มารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมองในพระคูหา ก็เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท ทูตสวรรค์ทั้งสององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” นางตอบว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำพระองค์ไปไว้ที่ใด” เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า
พระองค์ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม กำลังเสาะหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำพระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่าท่านนำพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปนำพระองค์กลับมา”
พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไปทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์”
พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” มารีย์ ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง
ข้อคิด
นักบุญยอห์นบอกว่ามารีย์ชาวมักดาลาออกไปยังพระคูหาตอนยังมืด แต่ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว ดูแล้วจะขัดแย้งกัน ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ยอห์นต้องการจะบอกถึงจิตใจของมารีย์ในตอนที่ไปยังพระคูหา จิตใจของเธอยังอยู่ในความมืด เธอยังไม่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าจะทรงกลับคืนชีพ ความตั้งใจของเธอจึงไปเพื่อทำสิ่งที่พึงทำสำหรับศพของพระอาจารย์ที่มีการนำไปไว้ในคูหาด้วยความรีบเร่ง เธอจึงไปที่พระคูหาเพื่อพบคนตาย ไม่ได้ไปเพื่อพบคนเป็น เธอรู้สึกผิดหวังและเสียใจที่ไม่ได้พบพระศพ ซึ่งแทนที่เธอจะถือว่านั่นเป็นการยืนว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ได้เป็นความจริงแล้ว จนกระทั่งพระองค์ทรงเรียกชื่อเธอ พระองค์ยังทรงเรียกชื่อเราแต่ละคนทุกครั้งที่เราดำเนินชีวิตราวกับพระองค์ยังตายอยู่
วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2021 น.ชาร์เบล มาคลุฟ พระสงฆ์
- รายละเอียด
- หมวด: กรกฎาคม 2021
- เผยแพร่เมื่อ วันเสาร์, 08 พฤษภาคม 2564 04:25
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 820
บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 24:3-8
ในครั้งนั้น โมเสสไปบอกให้ประชากรรู้พระวาจาทุกคำและข้อกำหนดทั้งหมดขององค์พระผู้เป็นเจ้า ประชากรทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะปฏิบัติตามพระวาจาทุกคำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเรา”
โมเสสบันทึกพระวาจาทุกคำขององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เขาสร้างพระแท่นบูชาไว้ที่เชิงเขา และตั้งหินสิบสองก้อนไว้เป็นตัวแทนทั้งสิบสองเผ่าของอิสราเอล เขาให้ชายหนุ่มชาวอิสราเอลเป็นผู้ถวายเครื่องเผาบูชา และฆ่าโคถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นศานติบูชา
โมเสสรองเลือดครึ่งหนึ่งใส่ชามไว้ แล้วพรมเลือดอีกครึ่งหนึ่งบนพระแท่นบูชา เขาเอาหนังสือพันธสัญญาขึ้นมาอ่านให้ประชากรฟัง ประชากรตอบว่า “พวกเราจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส”
โมเสสนำเลือดในชามประพรมประชากรพูดว่า “นี่คือโลหิตแห่งพันธสัญญาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำกับท่าน ตามพระวาจาเหล่านี้ทั้งหมด”
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:24-30
เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟังว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับชายคนหนึ่งที่หว่านข้าวพันธุ์ดีในนาของตน ขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลีแล้วจากไป
เมื่อต้นข้าวงอกขึ้นจนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซมอยู่ด้วย บรรดาผู้รับใช้จึงไปหานายถามว่า ‘นายครับ นายหว่านข้าวพันธุ์ดีในนามิใช่หรือ แล้วข้าวละมานมาจากที่ใดเล่า’ นายตอบว่า ‘ศัตรูมาหว่านไว้’ ผู้รับใช้จึงถามว่า ‘นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม’ นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วฉันจะบอกคนเก็บเกี่ยวว่า จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อน เผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้ายุ้งของฉัน’”
ข้อคิด
พระเยซูเจ้าทรงพูดถึงพระอาณาจักรสวรรค์ เป็นอาณาจักรที่พระองค์ทรงนำมาและเสนอให้มนุษย์เลือก จึงเป็นอาณาจักรที่เริ่มต้นในชีวิตนี้และต่อเนื่องไปยังชีวิตหน้า นั่นหมายความว่าพระองค์ทรงประสงค์ให้เราเข้าอยู่ในสวรรค์ตั้งแต่ในโลกนี้แล้ว ไม่ใช่ต้องรอเข้าสวรรค์หลังจากที่ตายแล้ว ในเวลาเดียวกันก็ทรงบอกโดยนัยว่า การดำเนินชีวิตในโลกนี้ที่ทำให้ชีวิตแต่ละวันเป็นสวรรค์ ทั้งสำหรับตนเอง ทั้งสำหรับผู้อื่น เป็นเงื่อนไขของการเข้าสวรรค์นิรันดร การยืนหยัดให้ความรักเป็นที่ตั้งของการดำเนินชีวิตแต่ละวันจึงเหมือนข้าวพันธุ์ดี ในขณะที่รอบข้างอาจจะมีความเกลียดชัง ความเห็นแก่ตัว และกระแสสังคมเหมือนข้าวละมาน คนที่ดำเนินชีวิตโดยมีความรักเป็นที่ตั้งจึงต้องยืนหยัดหนักแน่นมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย
วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2021 น.บรียิต นักพรต
- รายละเอียด
- หมวด: กรกฎาคม 2021
- เผยแพร่เมื่อ วันเสาร์, 08 พฤษภาคม 2564 04:27
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 839
บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 20:1-17
พระเจ้าตรัสถ้อยคำทั้งสิ้นต่อไปนี้ว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เป็นผู้นำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ ให้พ้นจากการเป็นทาส ท่านต้องไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา
ท่านต้องไม่ทำรูปเคารพสำหรับตน ไม่ว่าจะเป็นรูปสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งอยู่ในท้องฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งอยู่ในแผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน
ท่านต้องไม่กราบไหว้รูปเคารพหรือนมัสการรูปเหล่านั้น เพราะเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เป็นพระเจ้าที่ไม่ยอมให้มีคู่แข่ง เป็นพระเจ้าที่ลงโทษความผิดบิดาที่เกลียดชังเรา ไปถึงลูกหลานจนถึงสามสี่ชั่วอายุคน แต่เราแสดงความรักมั่นคงต่อผู้ที่รักเราและปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา จนถึงพันชั่วอายุคน
ท่านต้องไม่กล่าวพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างไม่เหมาะสม เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงละเว้นโทษผู้ที่กล่าวพระนามของพระองค์อย่างไม่เหมาะสม
จงระลึกถึงวันสับบาโตว่าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะต้องออกแรงทำงานทั้งหมดในหกวัน แต่วันที่เจ็ดเป็นวันพักผ่อนที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ในวันนั้น ท่านต้องไม่ทำงานใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าน บุตรชาย บุตรหญิง บ่าวไพร่ชายหญิง สัตว์ใช้งานหรือคนต่างถิ่นที่อาศัยอยู่กับท่าน เพราะในหกวัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างฟ้า แผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านี้ แต่ในวันที่เจ็ด พระองค์ทรงพักผ่อน เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพระพรวันสับบาโต และทรงทำให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์
จงนับถือบิดามารดา เพื่อท่านจะได้มีอายุยืนอยู่ในแผ่นดินที่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านประทานให้ท่าน
อย่าฆ่าคน
อย่าล่วงประเวณี
อย่าลักขโมย
อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
อย่าโลภมักได้บ้านเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภมักได้ภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือบ่าวไพร่ชายหญิง โค ลา หรือทรัพย์สินใดที่เป็นของเพื่อนบ้าน”
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:18-23
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เพราะฉะนั้น จงฟังความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านเถิด เมื่อคนหนึ่งฟังพระวาจาเรื่องพระอาณาจักรและไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไปเสีย นั่นได้แก่ เมล็ดที่ตกริมทาง เมล็ดที่ตกบนหินคือผู้ฟังพระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ เข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดที่หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”
ข้อคิด
พระเยซูเจ้าทรงอธิบายเรื่องข่าวดีของพระเจ้า ทรงยืนยันว่าข่าวดีคือพระอาณาจักรพระเจ้า พร้อมทั้งแยกแยะท่าทีของคนที่ฟังข่าวดี ในเมื่อเป็นการประกาศพระอาณาจักรพระเจ้า ท่าทีของผู้ฟังจึงไม่หยุดอยู่แค่การฟัง แล้วเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หากแต่ต้องเป็นท่าทีของการเข้าไปในพระอาณาจักร ดังนั้นการฟังข่าวดีแต่ละครั้งต้องนำไปสู่การขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งความเด็ดขาด เข้าหรือไม่เข้า ไม่เช่นนั้นก็เป็นแค่ท่าที กระนั้นก็ดี ท่าทีเหล่านี้ไม่ใช่จะแยกกันเด็ดขาด แต่เป็นท่าทีคละปนกันในผู้ฟังแต่ละคน ขึ้นอยู่กับว่าตอนที่ฟังข่าวดีแห่งพระอาณาจักรนั้นจะให้ท่าทีไหน จำนวนร้อยเท่าหกสิบเท่าสามสิบเท่านั้นเป็นตัวบ่งบอกคุณภาพการเข้าอยู่ในพระอาณาจักร
วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2021 สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: กรกฎาคม 2021
- เผยแพร่เมื่อ วันเสาร์, 08 พฤษภาคม 2564 04:24
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 906
บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่สอง 2 พกษ 4:42-44
ชายคนหนึ่งมาจากเมืองบาอัล-ชาลิชา นำขนมปังยี่สิบก้อนทำจากข้าวบาร์เลย์ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวในปีนั้น และรวงข้าวที่เพิ่งเกี่ยวได้มาให้คนของพระเจ้า เอลีชาสั่งว่า “จงนำไปให้ทุกคนกินเถิด” แต่ผู้รับใช้ของเขาแย้งว่า “ข้าพเจ้าจะนำอาหารแค่นี้ไปเลี้ยงคนหนึ่งร้อยคนได้อย่างไร” เอลีชาตอบว่า “จงแจกให้ทุกคนกินเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ‘ท่านทั้งหลายจะได้กิน แล้วยังจะมีเหลืออีก’”
ผู้รับใช้จึงจัดอาหารให้ทุกคน ทุกคนกินและยังมีเหลืออยู่อีกตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 4:1-6
พี่น้อง ข้าพเจ้าผู้ถูกจองจำเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า ขออ้อนวอนท่านทั้งหลายให้ดำเนินชีวิตสมกับการที่ท่านได้รับเรียก จงถ่อมตนอยู่เสมอ จงมีความอ่อนโยน พากเพียรอดทนต่อกันด้วยความรัก พยายามรักษาเอกภาพแห่งพระจิตเจ้าด้วยสายสัมพันธ์แห่งสันติ มีกายเดียวและจิตเดียว ดังที่พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการเดียว มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อหนึ่งเดียว ศีลล้างบาปหนึ่งเดียว พระเจ้าหนึ่งเดียว ผู้ทรงเป็นพระบิดาของทุกคน พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน ทรงกระทำการผ่านทุกคน และทรงสถิตอยู่ในทุกคน
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 6:1-15
หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จข้ามทะเลสาบกาลิลี หรือทีเบเรียส ประชาชนจำนวนมากตามพระองค์ไป เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ได้ทรงกระทำแก่ผู้เจ็บป่วย พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขา ประทับที่นั่นพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะนั้นใกล้จะถึงวันฉลองปัสกาของชาวยิว
พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ ทอดพระเนตรเห็นประชาชนจำนวนมากที่มาเฝ้า จึงตรัสแก่ฟิลิปว่า ‘พวกเราจะซื้อขนมปังที่ไหนให้คนเหล่านี้กิน?’ พระองค์ตรัสดังนี้เพื่อทดลองใจเขา แต่พระองค์ทรงทราบแล้วว่าจะทรงทำประการใด ฟิลิปทูลตอบว่า ‘ขนมปังสองร้อยเหรียญแจกให้คนละนิดก็ไม่พอ’ ศิษย์อีกคนหนึ่งคือ อันดรูว์ น้องของซีโมน เปโตร ทูลว่า เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว ขนมปังและปลาเพียงเท่านี้จะพออะไรสำหรับคนจำนวนมากเช่นนี้?’ พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘จงบอกประชาชนให้นั่งลงเถิด’ ที่นั่น มีหญ้าขึ้นอยู่ทั่วไป เขาจึงนั่งลง นับจำนวนผู้ชายได้ถึงห้าพันคน พระเยซูเจ้าทรงหยิบขนมปังขึ้น ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่นั่งอยู่ พระองค์ทรงกระทำเช่นเดียวกันกับปลาตามที่เขาต้องการ เมื่อคนทั้งหลายอิ่มแล้ว พระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า ‘จงเก็บเศษขนมปังที่เหลือ อย่าให้สิ่งใดสูญไปเสียเปล่า’ บรรดาศิษย์จึงได้เก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือนั้น ได้สิบสองกระบุง เมื่อคนทั้งหลายได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ทรงกระทำ ก็กล่าวว่า ‘ท่านผู้นี้เป็นประกาศกที่แท้จริง ซึ่งจะต้องมาในโลก’ พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าคนเหล่านั้นจะมาใช้กำลังบังคับพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ จึงเสด็จไปบนภูเขาตามลำพัง อีกครั้งหนึ่ง
ข้อคิด
ต่อหน้าสถานการณ์ความจำเป็นด้านอาหารในขณะนั้น พระเยซูเจ้าทรงถือเป็นโอกาสเพื่อสอนการแก้ปัญหาที่ถูกต้องให้แก่ผู้เป็นศิษย์ของพระองค์ การจะใช้เงินเพื่อเป็นตัวแก้ปัญหาความหิวโหยและความอดอยากคงแก้ได้บ้างและชั่วครั้งชั่วคราว พระองค์จึงทรงเสนอวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพและคงผลสัมฤทธิ์ด้วยการนำสิ่งที่มีอยู่ ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงเริ่มแจกจ่าย อัศจรรย์ครั้งนี้จึงไม่ใช่การทวีขนมปัง หากแต่เป็นอัศจรรย์แห่งการแบ่งปัน การแบ่งปันจะเกิดขึ้นได้หากเริ่มต้นด้วยการขอบพระคุณพระเจ้า เป็นการสร้างความสำนึกว่าทุกอย่างที่แต่ละคนมีนั้นล้วนเป็นของประทานจากพระองค์ มีเพื่อใช้ มีเพื่อแบ่งปัน เมื่อใดที่มีการแบ่งปัน เมื่อนั้นไม่มีใครขาด แถมยังมีเหลือ...เป็นกระบุงๆ