มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม 2021 สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                       ปฐก 22:1-19
     ต่อมาไม่นาน พระเจ้าทรงลองใจอับราฮัม พระองค์ตรัสเรียกเขาว่า “อับราฮัมเอ๋ย” อับราฮัมทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” พระเจ้าตรัสว่า “จงพาอิสอัคบุตรของท่าน บุตรคนเดียวที่ท่านรักไปยังดินแดนโมริยาห์ แล้วถวายเขาเป็นเครื่องเผาบูชาบนภูเขาที่เราจะบอกให้ท่านรู้”
     เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อับราฮัมใส่อานบนหลังลา พาผู้รับใช้สองคนและอิสอัคบุตรชายไปด้วย เขาผ่าฟืนสำหรับใช้เผาบูชา แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่ที่พระเจ้าทรงบอกให้รู้ ในวันที่สาม อับราฮัมเงยหน้าแลเห็นที่นั้นแต่ไกล อับราฮัมจึงพูดกับผู้รับใช้ว่า “จงอยู่ที่นี่เฝ้าลาไว้ด้วย ส่วนเรากับลูกจะไปนมัสการพระเจ้าที่โน่นแล้วจะกลับมา”
     อับราฮัมให้อิสอัคแบกฟืนสำหรับใช้เผาบูชา ส่วนตนถือไฟและมีด แล้วทั้งสองเดินทางไปด้วยกัน อิสอัคพูดกับอับราฮัม บิดาของตนว่า “พ่อครับ” อับราฮัมถามว่า “อะไรหรือลูก” อิสอัคพูดต่อไปว่า “ดูซิ ที่นี่มีไฟและฟืน แต่ลูกแกะที่จะใช้เผาบูชาอยู่ที่ไหน” อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับเผาบูชาให้เอง” แล้วทั้งสองก็เดินทางต่อไป
     เมื่อทั้งสองคนมาถึงสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกให้รู้แล้วอับราฮัมก่อแท่นบูชาขึ้น จัดเรียงฟืนไว้บนนั้น แล้วมัดอิสอัคนำมาวางไว้บนกองฟืนบนแท่นบูชา อับราฮัมยื่นมือออกไป เงื้อมีดจะฆ่าบุตร แต่ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าร้องเรียกจากสวรรค์ว่า “อับราฮัมเอ๋ย อับราฮัม” อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” ทูตสวรรค์กล่าวว่า “อย่าลงมือฆ่าเด็กหรือทำร้ายเขาเลย บัดนี้ เรารู้แล้วว่า ท่านยำเกรงพระเจ้า และมิได้หวงบุตรคนเดียวของท่านไว้ ไม่ถวายแก่เรา” อับราฮัมเงยหน้าขึ้น แลเห็นแกะตัวผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ อับราฮัมจึงไปจับมันมาฆ่าเผาถวายบูชาแทนบุตรชาย อับราฮัมเรียกสถานที่นั้นว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดเตรียมไว้” แม้กระทั่งทุกวันนี้คนทั้งหลายก็ยังพูดกันว่า “บนภูเขาองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดเตรียมไว้”
     ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าจากสวรรค์เรียกอับราฮัมเป็นครั้งที่สองว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เพราะท่านได้ทำดังนี้ คือมิได้หวงบุตรชายคนเดียวของท่านไว้ เราสาบานต่อเราเองว่า เราอวยพรให้ท่านอย่างมาก จะให้ลูกหลานของท่านทวีจำนวนมากเท่ากับดวงดาวบนท้องฟ้า และเม็ดทรายตามชายทะเล ลูกหลานของท่านจะได้เมืองของศัตรูเป็นกรรมสิทธิ์ ชนทุกชาติบนแผ่นดินจะได้รับพระพรเพราะลูกหลานของท่าน ทั้งนี้ เพราะท่านเชื่อฟังคำสั่งของเรา”
อับราฮัมจึงกลับไปหาผู้รับใช้ แล้วพากันเดินทางกลับไปเบเออร์เชบา อับราฮัมอาศัยอยู่ที่เบเออร์เชบานั้น

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                              มธ 9:1-8
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฝั่งกลับมายังเมืองของพระองค์ ทันใดนั้น มีผู้หามคนอัมพาตคนหนึ่งนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของเขา จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ทำใจดี ๆ ไว้เถิด ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” ธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า “คนนี้กล่าวดูหมิ่นพระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า “ท่านคิดร้ายในใจทำไม อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ หรือบอกว่า ‘ลุกขึ้น เดินไปเถิด’ แต่เพื่อให้ท่านทราบว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้”พระองค์จึงตรัสสั่งคนอัมพาตว่า “จงลุกขึ้น แบกแคร่ กลับบ้านเถิด” เขาก็ลุกขึ้นกลับไปบ้าน เมื่อประชาชนเห็นดังนี้ ต่างมีความกลัว ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ผู้ประทานอำนาจเช่นนี้ให้แก่มนุษย์

 

ข้อคิด
     พระเป็นเจ้าทรงทดลองใจอับราฮัม พระองค์ทรงพบว่า อับราฮัมยำเกรงพระเจ้า ท่านมิได้หวงบุตรคนเดียวของท่าน ท่านพร้อมจะถวายแด่พระเจ้า ท่านพร้อมจะกระทำทุกสิ่งตามที่พระเจ้าตรัสสั่งแก่ท่าน ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของคนอัมพาตคนนั้นเช่นกัน เขาเชื่อและวางใจในพระเจ้า โดยไม่สงสัยเลย พระเจ้าจึงโปรดประทานแก่เขา ตามที่เขาเชื่อและวางใจ เขาหายจากโรค และยังได้รับการอภัยบาปจากพระองค์อีกด้วย ด้วยพระเจ้าทรงพลานุภาพ และทรงอำนาจอภัยบาปแก่เราทุกคนอีกด้วย ฉะนั้น ขอให้เราทุกคนจงมีความเชื่อ และมั่นใจในพระเจ้า เหมือนกับอับราฮัมและชายอัมพาตนั้นเถิด

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2021 สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                       ปฐก 23:1-4,19 และ 24:1-8,62-67
     นางซาราห์มีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดปี นางถึงแก่กรรมที่เมืองคีริยาท อารบา คือเฮโบรน ในแผ่นดินคานาอัน อับราฮัมไว้ทุกข์ให้นางตามประเพณี
     อับราฮัมลุกขึ้นจากศพนางไปพูดกับชาวฮิตไทต์ว่า ข้าพเจ้าเป็นคนต่างถิ่นมาอาศัยอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลาย โปรดขายที่ดินให้ข้าพเจ้าทำที่ฝังศพที่นี่เถิด ข้าพเจ้าจะได้ฝังผู้ตายของข้าพเจ้า”
     แล้วอับราฮัมฝังศพนางซาราห์ ภรรยาของตนในถ้ำซึ่งอยู่ในนาที่มัคเปลาห์ ตรงข้ามมัมเร คือเฮโบรน ในแผ่นดินคานาอัน
ขณะนั้น อับราฮัมชรามากแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมทุกด้าน อับราฮัมบอกผู้รับใช้อาวุโสที่สุดในบ้าน ผู้ดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาว่า “จงวางมือที่โคนขาของฉันเถิด ฉันจะให้ท่านสาบานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งสวรรค์และแผ่นดินว่า แม้ฉันจะอาศัยในหมู่ชาวคานาอัน ท่านก็อย่าเลือกลูกสาวของเขาเป็นภรรยาลูกชายของฉัน ท่านจงไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของฉัน ไปพบญาติของฉัน เพื่อเลือกภรรยาให้อิสอัค ลูกชายของฉัน” ผู้รับใช้จึงถามว่า “ถ้าหญิงคนนั้นไม่ยอมตามข้าพเจ้ามายังแผ่นดินนี้เล่า ข้าพเจ้าจะต้องพาบุตรชายของท่านกลับไปยังแผ่นดินที่ท่านจากมาหรือไม่” อับราฮัม ตอบว่า “ท่านอย่านำลูกชายของฉันกลับไปที่นั่นเป็นอันขาด” องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งสวรรค์และแผ่นดิน ทรงนำฉันออกจากบ้านของบิดาและจากแผ่นดินของญาติพี่น้องของฉัน ทรงสัญญากับฉันโดยทรงปฏิญาณไว้ว่า “จะประทานแผ่นดินนี้ให้แก่ลูกหลานของฉัน” พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์นำหน้าท่านไป เพื่อท่านจะสามารถหาภรรยาจากที่นั่นให้ลูกชายของฉันได้ แต่ถ้าหญิงคนนั้นไม่ยอมตามท่านมา ท่านก็พ้นจากคำสาบานที่ให้ไว้กับฉัน แต่ท่านอย่าพาลูกชายของฉันกลับไปที่นั่นเป็นอันขาด”
     ขณะนั้น อิสอัคกลับจากบ่อน้ำลาไฮ โรอี เขาอาศัยอยู่ในดินแดนเนเกบ เย็นวันหนึ่ง อิสอัคออกไปเดินเล่นในทุ่งนา เขาเงยหน้าขึ้นเห็นอูฐหลายตัวกำลังเดินตรงมา เรเบคาห์เงยหน้าขึ้นเห็นอิสอัค จึงลงจากหลังอูฐ และถามผู้รับใช้ว่า “ชายที่กำลังเดินอยู่ในทุ่งนา ตรงมาหาเราเป็นใครคะ” ผู้รับใช้ตอบว่า “เขาคือนายของข้าพเจ้า” เธอจึงเอาผ้าคลุมหน้าไว้ ผู้รับใช้เล่าให้อิสอัครู้ทุกสิ่งที่เขาได้ทำ อิสอัคจึงพาเรเบคาห์เข้าไปในกระโจมที่เคยเป็นของนางซาราห์มารดาของตน เขาแต่งงานกับเรเบคาห์ และรักนางมาก อิสอัคจึงได้รับการปลอบใจหลังจากมารดาตาย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 9:9-13
     เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินไปจากที่นั่น ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว กำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
     ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของมัทธิว คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคน มาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เมื่อเห็นดังนี้ ชาวฟาริสีจึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงกินอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า” พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้น จึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ จงไปเรียนรู้ความหมายของพระวาจาที่ว่า ‘เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา’ เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป”

 

ข้อคิด
     จากหนังสือปฐมกาล เรายังพบว่า อับราฮัม และอิสอัค บุตรชาย ยังคงซื่อสัตย์ และเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น และวางใจในพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ท่านปฏิบัติตามที่พระ-เจ้าทรงตรัสแก่ท่านทุกประการ วันนี้ พระเจ้าทรงเรียกมัทธิว มัทธิวก็ละทิ้งทุกสิ่งและติดตามพระองค์ แม้หลายคนจะมองดูว่ามัทธิวเป็นคนบาป พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ...” พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกนี้ เพื่อเรียกคนบาปให้กลับใจ เราทุกคนจะต้องระลึกเสมอเถิดว่า เราทุกคนเป็นคนบาป เราต้องการการกลับใจ และบัดนี้ พระองค์ทรงเรียกเรา... เรียกเราให้กลับใจ... เรียกเราให้ติดตามพระองค์ และเมื่อเราติดตามพระองค์ เราจะพบหนทางแห่งความรอดอย่างแน่นอน

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม 2021 สมโภชนักบุญเปโตรและเปาโล อัครสาวก

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                            กจ 12:1-11
     เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเริ่มเบียดเบียนสมาชิกบางคนของพระศาสนจักร พระองค์ทรงประหารยากอบพี่ชายของยอห์นโดยตัดศีรษะ เมื่อทรงเห็นว่าชาวยิวพอใจ จึงทรงจับกุมเปโตรด้วย ขณะนั้น อยู่ในระหว่างเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เมื่อทรงจับกุมเปโตรแล้ว ก็ทรงจองจำเขาไว้ในคุก ให้ทหารสี่หมู่ หมู่ละสี่คนควบคุมไว้ ตั้งพระทัยว่าเมื่อสิ้นเทศกาลปัสกาแล้วจะทรงนำไปพิจารณาคดีต่อหน้าประชาชน
     ขณะที่เปโตรถูกจองจำอยู่ในคุก พระศาสนจักรอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าเพื่อเขาตลอดเวลา
คืนก่อนที่กษัตริย์เฮโรดจะทรงนำเปโตรไปพิจารณาคดี เปโตรนอนหลับอยู่ระหว่างทหารสองคน มีโซ่สองเส้นล่ามไว้ และมีทหารยามเฝ้าหน้าประตูคุก ทันใดนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้ามาใกล้ มีแสงสว่างจ้าในห้องขัง ทูตสวรรค์สะกิดข้างกายเปโตรปลุกให้ตื่นขึ้น แล้วสั่งว่า “เร็วเข้า ลุกขึ้นเถอะ” โซ่ก็หลุดไปจากมือของเปโตร
ทูตสวรรค์สั่งเปโตรว่า “จงคาดสะเอวและสวมรองเท้า” เปโตรก็ทำตาม ทูตสวรรค์สั่ง
อีกว่า “จงสวมเสื้อคลุม แล้วตามข้าพเจ้ามาเถิด” เปโตรจึงตามทูตสวรรค์ออกไป ไม่รู้สึกตัวว่าสิ่งที่ทูตสวรรค์กำลังทำให้ตนนั้นเกิดขึ้นจริง คิดว่ากำลังเห็นนิมิต ทูตสวรรค์และเปโตรผ่านยามชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง มาถึงประตูเหล็กที่เป็นทางผ่านเข้าไปในเมือง ประตูนั้นก็เปิดได้เอง ทูตสวรรค์และเปโตรจึงออกไปเดินตามถนนสายหนึ่ง แล้วทูตสวรรค์ก็หายไปในทันที
เปโตรรู้สึกตัว พูดว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้ารู้แน่แล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์มาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของกษัตริย์เฮโรดและจากความมุ่งร้ายทั้งหลายของประชาชนชาวยิว”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง      2 ทธ 4:6-8,17-18
     พี่น้อง ชีวิตของข้าพเจ้ากำลังจะถูกถวายเป็นเครื่องบูชาอยู่แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะต้องจากไป ข้าพเจ้าต่อสู้มาอย่างดี วิ่งมาถึงเส้นชัย และรักษาความเชื่อไว้แล้ว ยังเหลืออยู่ก็เพียงมงกุฎแห่งความชอบธรรม ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรมจะประทานให้ข้าพเจ้าในวันนั้น และไม่ใช่เพียงให้ข้าพเจ้าเท่านั้น แต่จะประทานให้ทุกคนที่มีความรักเฝ้ารอคอยการแสดงพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน
     มีแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงยืนอยู่เคียงข้างและประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า เพื่อการประกาศข่าวดีจะได้สำเร็จไปโดยทางข้าพเจ้า และคนต่างชาติทั้งหลายจะได้ฟังข่าวดี ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงถูกฉุดให้พ้นจากปากสิงโตมาได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากการประทุษร้ายทั้งสิ้น และจะทรงนำข้าพเจ้าไปสู่พระอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์อย่างปลอดภัย ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดรเทอญ อาเมน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 16:13-19
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟิลิปและตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศก
เยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง”
     พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมน เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านคือศิลาและบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”


ข้อคิด
     พระศาสนจักรถือว่า ท่านนักบุญเปโตร และนักบุญเปาโล เป็นเสาหลักของพระ-ศาสนจักร เพราะนักบุญเปโตร เป็นหลักมั่นคงแห่งความเชื่อที่จะต้องยึดถือ นักบุญเปาโลเป็นผู้ป้องกันความเชื่อที่จะต้องเรียนรู้ นักบุญเปโตรเป็นผู้นำความชอบธรรมแห่งชนชาติอิสราแอล เป็นผู้ก่อตั้งพระศาสนจักรแรกเริ่ม เป็นผู้รับมอบอำนาจแต่งตั้งพระศาสนจักรจากองค์พระเยซูเจ้า นักบุญเปาโล เป็นอาจารย์ และนักปราชญ์ สั่งสอนนานาชาติที่ทรงเรียกให้เข้ามาอยู่ในพระศาสนจักร ท่านทั้งสองจึงเป็นเสาหลักที่มั่นคงของพระศาสนจักรคาทอลิก นักบุญเปโตรอยู่กับพระเยซูเจ้า ได้รับการสั่งสอนได้เห็นการเทศน์สอน ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพระองค์ แม้จะทรยศปฏิเสธพระองค์ แต่เมื่อท่านรู้ว่าพระเยซูเจ้าเป็นใคร ท่านก็กลับใจอย่างแท้จริง และเปลี่ยนชีวิตอุทิศตนเพื่อพระเยซูเจ้าทั้งชีวิต จนยอมตายเพื่อพระองค์ ท่านทั้งสองจึงเป็นแบบอย่างแห่งความเชื่อของพวกเราทุกคน ที่เราต้องพยายามเดินตามรอยของท่าน ขอท่านทั้งสองวิงวอนพระเจ้าเพื่อพวกเราทุกคนเทอญ

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม 2021 ฉลองนักบุญโทมัส อัครสาวก

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกชาวเอเฟซัส     อฟ 2:19-22
     พี่น้อง ท่านจึงไม่เป็นคนต่างด้าวหรือผู้อาศัยอีกต่อไป แต่เป็นเพื่อนร่วมชาติกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ถูกสร้างขึ้นเป็นอาคารโดยมีบรรดาอัครสาวกและประกาศกเป็นรากฐาน มีพระคริสตเยซูทรงเป็นศิลาหัวมุม พระคริสตเจ้าทรงทำให้อาคารทุกส่วนต่อกันสนิทเจริญขึ้นเป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระคริสตเจ้า ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันกำลังถูกก่อสร้างร่วมกันขึ้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าเดชะพระจิตเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 20:24-29
     เวลานั้น โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ไม่ได้อยู่กับอัครสาวกคนอื่นๆ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา ศิษย์คนอื่นบอกเขาว่า “พวกเราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่เขาตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกาย ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก โทมัสก็อยู่กับเขาด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลางทั้งๆ ที่ประตูปิดอยู่ ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชื่อเถิด” โทมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข”

 

ข้อคิด
     ความเชื่อ มิได้เกิดมาจาก การที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง เท่านั้น บางคนแม้ได้เห็น... ได้ยิน... ได้ฟังแล้วก็หาเชื่อไม่ แท้จริงความเชื่อมาจากพระเจ้า หากปราศจากพระองค์แล้ว ก็ไม่มีอะไรเลย เป็นพระคุณของพระเจ้าที่โปรดให้เราเชื่อในพระองค์ นักบุญโทมัสที่เราฉลองในวันนี้ ท่านมีความเชื่อ เพราะท่านได้เห็นรอยตะปู ท่านได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู ท่านได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกายที่ถูกแทงของพระเยซูเจ้า แต่พวกเราไม่ได้มีโอกาสเช่นนักบุญโทมัส เราเชื่อเพราะพระเจ้าโปรดประทานความเชื่อนั้นให้แก่เรา จงโมทนาคุณพระเจ้าเถิด ด้วยพระเจ้าทรงรักและเมตตาเราอย่างมากมาย

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม 2021 น.อันตน มารีย์ ซักกาเรีย พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                      ปฐก 28:10-22ก
     ในครั้งนั้น ยาโคบออกจากเบเออร์เชบา เดินทางมุ่งหน้าไปฮาราน เขามาถึงที่แห่งหนึ่ง ก็หยุดพักแรมที่นั่น เพราะดวงอาทิตย์ตกแล้ว เขาเอาหินก้อนหนึ่งมาหนุนศีรษะ แล้วนอนที่นั่น เขาฝันเห็นบันไดอันหนึ่งทอดจากพื้นดินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า และทูตสวรรค์ของพระเจ้าเดินขึ้นลงบนบันไดนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนอยู่ข้างเขา ตรัสว่า “เราคือ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม บิดาของท่าน พระเจ้าของอิสอัค แผ่นดินที่ท่านนอนอยู่นี้เราจะให้ท่านและลูกหลานของท่าน ลูกหลานของท่านจะมีมากมายเหมือนฝุ่นผงบนแผ่นดิน ท่านจะแผ่ขยายออกไปทางทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ทิศเหนือและทิศใต้ บรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นทั่วแผ่นดินจะได้รับพรเพราะท่านและเพราะลูกหลานของท่าน เราอยู่กับท่าน เราจะพิทักษ์รักษาท่านทุกแห่งที่ท่านไปและจะนำท่านกลับมายังแผ่นดินนี้ เราจะไม่ทอดทิ้งท่าน จนกว่าเราจะได้ทำสิ่งที่เราสัญญาไว้กับท่าน” ยาโคบตื่นขึ้น แล้วพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่ ณ ที่นี้แน่ แต่ข้าพเจ้าไม่รู้” เขากลัวมาก พูดว่า “สถานที่แห่งนี้น่าเกรงขาม จะต้องเป็นที่ประทับของพระเจ้าและเป็นประตูสวรรค์แน่ทีเดียว” ยาโคบลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เอาก้อนหินที่ใช้หนุนศีรษะมาตั้งเป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ แล้วเทน้ำมันบนยอดเสานั้นเพื่อถวายแด่พระเจ้า เขาเรียกสถานที่นั้นว่าเบธเอล ก่อนหน้านี้เมืองนั้นชื่อลูส
แล้วยาโคบกล่าวปฏิญาณว่า “ถ้าพระเจ้าทรงอยู่กับข้าพเจ้า และทรงพิทักษ์รักษาข้าพเจ้าในการเดินทางครั้งนี้ ประทานอาหารให้กิน และเสื้อผ้าให้สวมใส่ จนข้าพเจ้ากลับถึงบ้านของบิดาอย่างปลอดภัย องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า หินก้อนนี้ซึ่งข้าพเจ้าตั้งเป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นที่ประทับของพระเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                             มธ 9:18-26
     ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสอยู่นั้น หัวหน้าคนหนึ่งเข้ามากราบพระบาท ทูลว่า “บุตรหญิงของข้าพเจ้าเพิ่งสิ้นใจ เชิญพระองค์เสด็จไปปกพระหัตถ์เหนือเขาเถิด เขาจะได้มีชีวิต” พระเยซูเจ้าทรงลุกขึ้นเสด็จตามเขาไปพร้อมกับบรรดาศิษย์
     ขณะนั้น หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกเลือดมาสิบสองปีแล้ว เข้ามาข้างหลังสัมผัสฉลองพระองค์ นางคิดว่า “ถ้าฉันเพียงสัมผัสฉลองพระองค์เท่านั้น ฉันก็จะหายจากโรค” พระเยซูเจ้าทรงหันมาเห็นเข้า จึงตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ทำใจดี ๆ ไว้ ความเชื่อของท่าน ช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” หญิงนั้นก็หายจากโรคนับแต่เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงบ้านของหัวหน้าคนนั้น ทรงเห็นคนเป่าขลุ่ย และผู้คนกำลังชุลมุนวุ่นวาย จึงตรัสว่า “ออกไปเถิด เด็กหญิงคนนี้ยังไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้น” พวกนั้นต่างหัวเราะเยาะพระองค์ เมื่อคนกลุ่มนั้นถูกไล่ออกไปข้างนอกแล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไป ทรงจับมือเด็กหญิง เด็กนั้นก็ลุกขึ้น ข่าวเรื่องนี้จึงแพร่ออกไปทั่วแคว้นนั้น

 

ข้อคิด
     ยาโคบ ตระหนักแน่แก่ใจว่า พระเจ้าทรงอยู่กับท่าน ทรงพิทักษ์รักษาท่าน ประทานอาหารและทุกสิ่งให้ท่าน ท่านจึงยำเกรงพระเจ้า และปฏิญาณจะนมัสการพระ-เจ้าตลอดชีวิตของท่าน หัวหน้าโรงธรรมคนนั้นก็มีความเชื่อและมั่นใจในองค์พระเยซูเจ้า และหญิงที่เป็นโรคตกเลือดคนนั้น ก็เต็มไปด้วยความเชื่อและมั่นใจในพระองค์ บุตรหญิงของหัวหน้าโรงธรรมได้รับการปลุกให้กลับมีชีวิตใหม่เพียงเพราะเขาได้สัมผัสฉลองพระองค์ของพระเยซูเจ้า นี่แหละ ความเชื่อในพระเจ้า ย่อมทำให้ผู้ยำเกรงพระองค์ได้รับความรอดพ้นจากพยันตรายทั้งมวล ข้าแต่พระเจ้าโปรดประทานความเชื่ออันมั่นคงแก่ข้าพเจ้าเทอญ

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown