มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2017 สัปดาห์ที่ 34 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกดาเนียล                             ดนล 7:2-14
     ในครั้งนั้น ดาเนียลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นในนิมิตเวลากลางคืน ข้าพเจ้าเห็นลมทั้งสี่จากท้องฟ้าลงมาทำให้ทะเลใหญ่ปั่นป่วน สัตว์ร้ายมหึมาสี่ตัวมีลักษณะต่างกันขึ้นมาจากทะเล ตัวแรกเหมือนสิงโตมีปีกนกอินทรี ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่นั้น ขนปีกของมันถูกถอนออกไป มันถูกยกขึ้นจากแผ่นดินให้ยืนบนสองเท้าเหมือนมนุษย์ และได้รับจิตใจของมนุษย์ ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายตัวที่สองเหมือนหมี มันยืนเอียงตัวไปข้างหนึ่ง ใช้ฟันคาบกระดูกซี่โครงสามซี่อยู่ในปาก มีเสียงสั่งมันว่า “จงลุกขึ้นกินเนื้อให้มากๆ” ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังมองดูนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่ง เหมือนเสือดาว มีปีกนกสี่ปีกบนหลัง สัตว์ร้ายตัวนี้มีสี่หัว และได้รับอำนาจปกครอง ต่อจากนั้น ขณะที่ข้าพเจ้ายังเห็นนิมิตในเวลากลางคืน ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายตัวที่สี่ ร้ายกาจ น่ากลัวและแข็งแรงยิ่งนัก มีฟันเหล็กมหึมาเพื่อกินและบดขยี้เหยื่อ และใช้เท้าเหยียบสิ่งที่เหลือกินนั้นไว้ สัตว์ร้ายตัวนี้มีสิบเขาต่างจากสัตว์ร้ายอื่นๆ ทั้งหมดที่มาก่อน เมื่อข้าพเจ้ากำลังมองดูเขาสัตว์เหล่านี้ ข้าพเจ้าก็เห็นเขาสัตว์เล็กๆ อีกเขาหนึ่งงอกขึ้นมาในหมู่เขาสัตว์เหล่านั้น ทำให้เขาสัตว์ชุดแรกสามเขาถูกถอนออกไปเพื่อให้เขาเล็กๆ นั้นขึ้นมาแทน ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาเล็กๆ นั้นมีตาเหมือนตามนุษย์ มีปากพูดจาโอหัง
     ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังมองดูอยู่นั้น ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายองค์ถูกนำมาตั้งไว้ และผู้สูงด้วยวัยวุฒิท่านหนึ่งมานั่งบนบัลลังก์ สวมอาภรณ์ขาวอย่างหิมะ ผมบนศีรษะขาวเหมือนขนแกะ บัลลังก์ของเขาเหมือนเปลวเพลิง มีล้อเหมือนไฟลุกโพลง เบื้องหน้าเขามีธารไฟไหลออกมา ผู้รับใช้จำนวนมาก นับล้านนับโกฎิอสงไขย คอยเฝ้ารับใช้เขา การพิจารณาคดีเริ่มขึ้น และบรรดาหนังสือก็เปิดออก
     ข้าพเจ้าจ้องดูต่อไป เพราะเขาเล็กๆ นั้นพูดจาโอหัง แล้วข้าพเจ้าก็เห็นสัตว์ร้ายตัวนั้นถูกฆ่า และร่างของมันก็ถูกทำลายโยนทิ้งลงไปในกองไฟ สัตว์ร้ายตัวอื่นๆ ก็สูญเสียอำนาจปกครอง แต่ชีวิตของมันยังคงอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่งตามกำหนด
ข้าพเจ้ายังเห็นนิมิตเวลากลางคืนต่อไป ข้าพเจ้าเห็นท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรแห่งมนุษย์ มาพร้อมกับหมู่ก้อนเมฆในท้องฟ้า เขามาพบผู้สูงด้วยวัยวุฒิ และมีผู้แนะนำเขาแก่ท่านผู้นั้น เขาได้รับมอบอำนาจปกครอง สิริรุ่งโรจน์ และอาณาจักร ประชาชนทุกชาติทุกภาษารับใช้เขา อำนาจปกครองของเขาเป็นอำนาจที่คงอยู่ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด และอาณาจักรของเขาจะไม่มีวันถูกทำลายเลย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 21:29-33
      เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสคำอุปมาให้บรรดาศิษย์ฟังว่า “จงมองดูต้นมะเดื่อเทศและต้นไม้ทั้งหลายเถิด เมื่อมันแตกใบอ่อน ท่านย่อมรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว 31เช่นเดียวกันเมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าคนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่สูญสิ้นไปเลย”

 

ข้อคิด
     “คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น” เป็นคำทำนายถึงความพินาศของกรุงเยรูซาเล็มซึ่งเกิดขึ้นแล้วเมื่อปี ค.ศ. 70 โดยการทำลายล้างของกองทัพโรมัน
     ส่วนเรื่องวันสิ้นพิภพหรือวันที่บุตรแห่งมนุษย์ ผู้ทรงได้รับอำนาจปกครองตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้น “ไม่มีใครรู้เลย ทั้งบรรดาทูตสวรรค์ และแม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียว” (มก 13:32)
ในเมื่อพระองค์ตรัสว่าจะเสด็จกลับมาอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อใด เราจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ เพราะแม้ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของพระองค์จะไม่สูญสิ้นไปเลย

วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม 2017 สัปดาห์ที่ 34 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกดาเนียล                               ดนล 7:15-27
     ข้าพเจ้า ดาเนียลมีจิตใจเป็นทุกข์ เพราะนิมิตในความคิดทำให้ข้าพเจ้ากังวลใจ ข้าพเจ้าจึงเข้าไปใกล้ผู้หนึ่งที่อยู่ที่นั่นและถามเขาถึงความหมายของนิมิตที่ข้าพเจ้าได้เห็น ผู้นั้นก็ตอบข้าพเจ้าและอธิบายความหมายของนิมิตให้ฟังดังต่อไปนี้ “สัตว์ร้ายมหึมาทั้งสี่ตัวหมายถึงกษัตริย์สี่พระองค์ซึ่งเสด็จขึ้นมาจากแผ่นดิน แต่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผู้สูงสุดจะได้รับพระอาณาจักร และจะครอบครองพระอาณาจักรนั้นตลอดไปทุกยุคทุกสมัย” ข้าพเจ้าอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับสัตว์ร้ายตัวที่สี่ซึ่งต่างจากสัตว์ร้ายอื่นๆ ทุกตัว มันน่ากลัวอย่างยิ่ง มีฟันเหล็กและเล็บเท้าทองสัมฤทธิ์ มันกินและบดขยี้เหยื่อ และเหยียบสิ่งที่เหลือกินนั้นไว้ ข้าพเจ้ายังอยากรู้เรื่องเขาสิบเขาซึ่งอยู่บนหัวของมัน และเรื่องเขาเล็กๆ เขาสุดท้ายซึ่งงอกขึ้นมา ทำให้เขาชุดแรกสามเขาถูกถอนออกไป และทำไมเขานั้นจึงมีตามากมายและมีปากที่พูดจาโอหัง และทำไมเขานั้นจึงดูเหมือนจะใหญ่โตกว่าเขาอื่นๆ ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่นั้น เขานี้ก็ทำสงครามกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ และมีชัยชนะ จนกว่าผู้สูงด้วยวัยวุฒิมาถึงและให้ความยุติธรรมแก่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผู้สูงสุด แล้วเวลาก็มาถึง เมื่อบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้ครอบครองพระอาณาจักร ผู้นั้นตอบข้าพเจ้าว่า
     “สัตว์ร้ายตัวที่สี่หมายถึงราชอาณาจักรที่สี่ ที่จะเกิดขึ้นบนแผ่นดิน เป็นราชอาณาจักรที่ต่างจากราชอาณาจักรอื่นๆ ทั้งหมด ราชอาณาจักรนี้จะกิน บดขยี้ และเหยียบย่ำทั่วแผ่นดิน ส่วนเขาสิบเขาหมายถึงกษัตริย์สิบพระองค์ ซึ่งจะขึ้นมาปกครองราชอาณาจักรนั้น ต่อจากกษัตริย์เหล่านี้จะมีกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง ต่างจากกษัตริย์ทั้งหลายก่อนหน้านั้น กษัตริย์พระองค์นี้จะทรงพิชิตกษัตริย์สามพระองค์ จะตรัสลบหลู่พระเจ้าผู้สูงสุด จะทรงทำลายบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผู้สูงสุด จะทรงคิดเปลี่ยนแปลงวันฉลองและธรรมบัญญัติ บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะถูกมอบแก่พระองค์เป็นเวลาสามปีครึ่ง แต่เมื่อจะมีการพิจารณาคดี อำนาจปกครองของพระองค์จะถูกยกไป จะถูกทำลาย และจะพินาศจนสิ้นเชิง แล้วราชอาณาจักร อำนาจปกครอง และความยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทั้งหลายภายใต้ท้องฟ้า จะถูกมอบแก่ประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผู้สูงสุด อาณาจักรนี้จะเป็นอาณาจักรนิรันดร และอาณาจักรอื่นๆ ทั้งหมดจะรับใช้และอ่อนน้อมเชื่อฟังพระอาณาจักรนี้”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 21:34-36
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงระวังไว้ให้ดี อย่าปล่อยใจของท่านให้หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริง ความเมามายและความกังวลถึงชีวิตนี้ มิฉะนั้น วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างฉับพลัน เหมือนบ่วงแร้ว เพราะวันนั้นจะลงมาเหนือทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน ท่านทั้งหลายจงตื่นเฝ้าอธิษฐานภาวนาอยู่ตลอดเวลาเถิด เพื่อท่านจะมีกำลังหนีพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นนี้ไปยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์บุตรแห่งมนุษย์ได้”

 

ข้อคิด
     ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติกำลังมุ่งไปสู่เป้าหมายที่แน่นอน นั่นคือ “ประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่” (ลก 21:27)
เมื่อเวลานั้นมาถึง เราเหลือเพียง 2 สถานภาพให้เลือกคือ “เหมาะสม” หรือ “ไม่เหมาะสม” ที่จะปรากฏตนต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเยซูคริสตเจ้าผู้จะเสด็จมาเพื่อพิพากษาทั้งผู้เป็นและผู้ตาย
หากเป็นผู้ที่เหมาะสม “ท่านทั้งหลายจงยืนตรง เงยหน้าขึ้นเถิด เพราะในไม่ช้าท่านจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว” (ลก 21:28)
     ส่วนผู้ที่ไม่เหมาะสม “ปล่อยใจให้หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริง ความเมามายและความกังวลถึงชีวิตนี้ วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างฉับพลันเหมือนบ่วงแร้ว” (ลก 21:34-35)
     เราต้องเตรียมพร้อมต้อนรับการเสด็จมาของพระองค์ด้วยการ “อธิษฐานภาวนาอยู่ตลอดเวลา” และทำหน้าที่ของเราแต่ละวันให้ดีที่สุด เพื่อว่าเราจะสามารถ “ยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์บุตรแห่งมนุษย์ได้”

วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2017 น.ยอห์น ชาวดามัสกัส พระสงฆ์และนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                               อสย 2:1-5
     นิมิตที่ประกาศกอิสยาห์บุตรของอามอสเห็นเกี่ยวกับยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็มในยุคสุดท้าย ภูเขาแห่งพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะถูกตั้งขึ้นเหนือยอดภูเขาทั้งหลาย และจะสูงกว่าบรรดาเนินเขา นานาชาติจะหลั่งไหลมาที่ภูเขานี้
     ชนหลายชาติจะมาและกล่าวว่า “มาเถิด เราจงขึ้นไปยังภูเขาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไปยังพระวิหารพระเจ้าของยาโคบ แล้วพระองค์จะทรงสอนวิถีทางของพระองค์ให้เรา เราจะได้เดินตามมรรคาของพระองค์ เพราะว่าบทบัญญัติจะออกมาจากศิโยน และพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะออกมาจากกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์จะทรงพิพากษาบรรดาประชาชาติ และจะทรงวินิจฉัยประชากรจำนวนมาก เขาทั้งหลายจะตีดาบให้เป็นผาลไถนา ตีหอกให้เป็นเคียว ชาติต่างๆ จะไม่ยกดาบขึ้นต่อสู้กันอีก จะไม่ฝึกฝนยุทธวิธีอีกต่อไป พงศ์พันธุ์ของยาโคบเอ๋ย จงมาเถิด เราจงเดินในความสว่างขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 8:5-11
     เวลานั้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้าเมืองคาเปอรนาอุม นายร้อยคนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลอ้อนวอนว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าเป็นอัมพาตนอนอยู่ที่บ้าน ต้องทรมานอย่างสาหัส”
พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย” แต่นายร้อยทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียวเท่านั้น ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค ข้าพเจ้าเป็นคนอยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย ข้าพเจ้าสั่งทหารคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป สั่งอีกคนหนึ่งว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพเจ้าสั่งผู้รับใช้ว่า ‘ทำนี่’ เขาก็ทำ”
      เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยินเช่นนี้ ทรงประหลาดพระทัย จึงตรัสแก่บรรดาผู้ติดตามว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เรายังไม่เคยพบใครมีความเชื่อมากเช่นนี้ในอิสราเอลเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนจำนวนมากจะมาจากทิศตะวันออกและตะวันตก และจะนั่งร่วมโต๊ะกับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบในอาณาจักรสวรรค์”

 

ข้อคิด
     อริสโตเติลกล่าวว่า “ระหว่างนายกับทาสนั้น ไม่มีสิ่งใดไปด้วยกันได้เลย เหตุว่าทาสเป็นเพียงเครื่องมือที่มีชีวิต เหมือนกับเครื่องมือซึ่งเป็นทาสที่ไม่มีชีวิต”
      แต่นายร้อยคนนี้กลับรัก ห่วงใย และเอาใจใส่ดูแลผู้รับใช้ของตน ซึ่งก็เป็นเพียงทาสคนหนึ่ง
นอกจากรักและห่วงใยทาสผู้ต่ำต้อยแล้ว นายร้อยผู้นี้ยังมีความเชื่อแก่กล้าอย่างยิ่ง เขามั่นใจว่าพระเยซูเจ้าไม่จำเป็นต้องเสด็จไปปกพระหัตถ์เหนือผู้รับใช้ของเขา ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียวเท่านั้น ผู้รับใช้ของเขาก็จะหายจากโรค
กับคนเช่นนายร้อยนี้แหละที่ทำให้พระเยซูเจ้าประทับใจ และจะให้นั่งร่วมโต๊ะในอาณาจักรสวรรค์
มาเถิด ให้เราเดินในความสว่างขององค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับนายร้อยผู้นี้เถิด

วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2017 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                                อสย 63:16-17,64:2-7
     ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะอับราฮัมไม่รู้จักข้าพเจ้าทั้งหลายอีกแล้ว และอิสราเอลก็จำไม่ได้ แต่พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะพระนามของพระองค์ตลอดมาคือ “พระผู้ไถ่กู้ของเรา” ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เหตุไฉนจึงทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย หลงไปจากวิถีทางของพระองค์เล่า เหตุไฉนจึงทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายมีใจดื้อด้านจนไม่ยำเกรงพระองค์ โปรดทรงกลับมาเพราะเห็นแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ และเห็นแก่ตระกูลที่เป็นมรดกของพระองค์เถิด
     เมื่อพระองค์ทรงทำสิ่งน่าสะพรึงกลัวที่ข้าพเจ้าทั้งหลายคาดไม่ถึง พระองค์เสด็จลงมา ภูเขาทั้งหมดก็จะสั่นสะเทือนเฉพาะพระพักตร์ ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินเช่นนี้มาก่อนเลย หูไม่เคยได้ยิน ดวงตาไม่เคยเห็นว่าพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ เคยทำเช่นนี้สำหรับผู้ที่วางใจในพระองค์ พระองค์เสด็จมาพบผู้ที่ยินดีปฏิบัติความยุติธรรม และระลึกถึงพระองค์โดยเดินตามหนทางของพระองค์ แต่บัดนี้พระองค์กริ้ว เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาป ข้าพเจ้าทั้งหลายจะรอดพ้นโดยเดินตามหนทางที่เคยเดินนานมาแล้ว ข้าพเจ้าทุกคนเป็นเหมือนผู้มีมลทิน แม้แต่การกระทำที่ชอบธรรมของข้าพเจ้าทั้งหลายก็เป็นเหมือนผ้าสกปรกที่เปื้อนเลือด ข้าพเจ้าทุกคนเหี่ยวแห้งไป เหมือนใบไม้ ความผิดพัดพาข้าพเจ้าทั้งหลายไปเหมือนลม ไม่มีผู้ใดเรียกขานพระนามของพระองค์ ไม่มีผู้ใดกระตือรือร้นขอให้พระองค์ทรงช่วย เพราะทรงซ่อนพระพักตร์จากข้าพเจ้าทั้งหลาย ทรงปล่อยให้ความผิดมีอำนาจเหนือข้าพเจ้าทั้งหลาย บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นเหมือนดินเหนียว พระองค์ทรงเป็นผู้ปั้น ข้าพเจ้าทุกคนเป็นผลงานจากฝีพระหัตถ์

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 1:3-9
      ขอพระหรรษทานและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด
ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอเพื่อท่านทั้งหลาย เพราะพระหรรษทานซึ่งพระเจ้าประทานแก่ท่านเดชะพระคริสตเยซู ท่านได้รับพระพรทุกด้านและทุกประการเดชะพระองค์ คือการประกาศพระวาจาและความรู้ทุกอย่าง ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงพระคริสตเจ้าอย่างเข้มแข็งจนถึงที่สุด จนกระทั่งท่านไม่ขาดพระคุณใดในขณะที่รอคอยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์จะทรงค้ำจุนท่านให้มั่นคงจนถึงวาระสุดท้าย ไม่มีที่ติในวันที่พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมา พระเจ้าทรงเรียกท่านให้สนิทสัมพันธ์กับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว พระองค์ทรงมั่นคงในการรักษาคำสัญญา


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                                มก 13:33-37
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงระวัง จงตื่นเฝ้าเถิด เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าวันเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไร เหมือนกับชายคนหนึ่งที่ก่อนจะเดินทางออกจากบ้านได้มอบอำนาจให้กับผู้รับใช้ ให้แต่ละคนมีงานของตนและยังสั่งคนเฝ้าประตูให้คอยตื่นเฝ้าไว้ ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงตื่นเฝ้าเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะมาเมื่อไร อาจจะมาเวลาค่ำ เวลาเที่ยงคืน เวลาไก่ขัน หรือเวลารุ่งเช้า ถ้าเขากลับมาโดยไม่คาดคิด อย่าให้เขาพบท่านกำลังหลับอยู่ สิ่งที่เราบอกท่าน เราก็บอกทุกคนด้วยว่า จงตื่นเฝ้าเถิด”


ข้อคิด
     พระผู้ไถ่กู้ของเราจะเสด็จมาพบผู้ที่ปฏิบัติความยุติธรรมและเดินตามหนทางของพระองค์ พระองค์ทรงรักษาคำสัญญาเสมอ เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าวันเวลานั้นจะมาถึงเมื่อใด
     เมื่อไม่รู้วันและเวลา หนทางเดียวที่เราจะทำได้คือ ระวังและตื่นเฝ้า อย่าให้พระองค์พบเรากำลังหลับอยู่ นั่นคือ ไม่เอาใจใส่ดูแลวิญญาณของตนเอง หรือไม่เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเสด็จมาของพระองค์
และเพื่อจะ “ตื่น” อยู่เสมอ เราต้องทำเช่นเดียวกับผู้รับใช้ที่ได้รับมอบอำนาจและหน้าที่การงานจากเจ้าของบ้าน นั่นคือ ทำหน้าที่ประจำวันที่พระเจ้าทรงมอบหมายแก่เราให้สำเร็จและเหมาะสมสำหรับพระองค์จะได้ทอดพระเนตร ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จมาเวลาใดก็ตาม

วันอังคารที่ 5 ธันวาคม 2017 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                                อสย 11:1-10
     หน่อหนึ่งจะแตกออกจากตอของเจสซี กิ่งหนึ่งจะงอกขึ้นจากรากของเขา พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะพำนักอยู่เหนือเขา คือจิตแห่งปรีชาญาณและความเข้าใจ จิตแห่งความคิดอ่านและอานุภาพ จิตแห่งความรู้และความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะพอใจยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จะไม่พิพากษาตามที่ตาเห็น จะไม่ตัดสินตามที่หูได้ยิน แต่จะพิพากษาคนยากจนด้วยความชอบธรรม จะตัดสินอย่างเที่ยงธรรมเพื่อผู้ถูกข่มเหงในแผ่นดิน คำพูดของเขาจะเป็นเหมือนไม้เรียวที่เฆี่ยนตีผู้คนบนแผ่นดิน ลมปากของเขาจะประหารชีวิตคนอธรรม ความชอบธรรมจะเป็นดังผ้าคาดสะเอว ความซื่อสัตย์จะเป็นเหมือนเข็มขัดคาดบั้นเอวของเขา
สุนัขป่าจะอยู่กับลูกแกะ เสือดาวจะนอนอยู่กับลูกแพะ ลูกโคและลูกสิงโตจะหากินอยู่ด้วยกัน เด็กคนหนึ่งก็ยังนำมันไปได้ แม่โคกับหมีจะหากินด้วยกัน ลูกของมันจะนอนอยู่ด้วยกัน สิงโตจะกินฟางเหมือนโคเพศผู้ ทารกที่ยังไม่หย่านมจะเล่นอยู่ที่ปากรูงูเห่า เด็กที่หย่านมแล้วจะเอามือวางที่รังของงูพิษ จะไม่มีผู้ใดทำร้ายหรือทำลาย ทั่วภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา เพราะแผ่นดินจะรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสมบูรณ์ ดั่งน้ำปกคลุมทะเล
     วันนั้น รากของเจสซีจะตั้งขึ้นเป็นเครื่องหมายสำหรับประชาชนทั้งหลาย จะเป็นที่แสวงหาของนานาชาติ และจะมีที่พำนักอย่างรุ่งโรจน์

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 10:21-24
     ในเวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงปลาบปลื้มพระทัยเดชะพระจิตเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้ปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรทรงเป็นใครนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาทรงเป็นใครนอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรทรงเปิดเผยให้รู้”
     แล้วพระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปยังบรรดาศิษย์ ตรัสกับเขาโดยเฉพาะว่า “นัยน์ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ท่านเห็น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ประกาศกและกษัตริย์จำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นแต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านได้ฟังแต่ก็ไม่ได้ฟัง”

 

ข้อคิด
     ผู้ที่ประกาศกอิสยาห์ทำนายว่าจะสืบเชื้อสายมาจากเจสซี จะเปี่ยมล้นด้วยพระจิตของพระเจ้า และจะนำสันติสุขมาสู่มนุษยชาติ อีกทั้งกษัตริย์จำนวนมากต่างก็ปรารถนาจะได้เห็น จะได้ฟังพระองค์ท่านนั้น
บัดนี้ พระองค์เสด็จมาแล้ว และเรากำลังเตรียมจิตใจสมโภชระลึกถึงการเสด็จมาบังเกิดของพระองค์ท่าน
เพียงแต่ว่าผู้ที่มีจิตใจเย่อหยิ่ง ทำตนรอบรู้ไปหมดว่าพระเจ้าจะต้องเป็นเช่นนี้ จะต้องทำเช่นนั้น จะไม่มีโอกาสได้ประสบพบพระองค์เลย
ส่วนผู้ที่มีจิตใจสุภาพ พร้อมน้อมรับการเปิดเผยของพระเจ้า และปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์นั่นแหละ ที่นัยน์ตาจะเป็นสุข

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown