มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม 2016 ฉลองนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู พรหมจารี

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                                    อสย 66:10-14
     ท่านทั้งหลายจงยินดีกับกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายที่รักกรุงเยรูซาเล็ม จงชื่นชมกับกรุงนี้เถิด ท่านทั้งหลายที่เคยไว้ทุกข์ให้กรุงเยรูซาเล็ม จงร่วมยินดีกับกรุงนี้ด้วยความชื่นบานเถิด
     ท่านจะได้รับการปลอบโยนอย่างเต็มเปี่ยมจากกรุงเยรูซาเล็ม ทารกมีความยินดีเมื่อดูดนมจากทรวงอกของมารดาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะมีความยินดีจากความอุดมสมบูรณ์ของกรุงนี้ฉันนั้น
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูซิ เราจะบันดาลให้สันติสุขหลั่งไหลมาสู่กรุงนี้เหมือนแม่น้ำ จะนำความมั่งคั่งของนานาชาติมายังกรุงนี้เหมือนสายน้ำที่กำลังล้นฝั่ง กรุงนี้จะอุ้มท่านทั้งหลายไว้ ให้ท่านดูดนม และหยอกล้อท่านบนตัก มารดาปลอบโยนบุตรฉันใด เราก็จะปลอบโยนท่านทั้งหลายฉันนั้น ท่านจะได้รับการปลอบโยนในกรุงเยรูซาเล็ม
     ท่านทั้งหลายจะเห็น และใจของท่านจะโลดเต้นยินดี กระดูกของท่านจะสดชื่นขึ้นเหมือนหญ้าอ่อน องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแสดงพระอานุภาพแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ แต่จะทรงพระพิโรธต่อบรรดาศัตรู

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                    มธ 18:1-4
     ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์”

 

ข้อคิด
     ประกาศกอิสยาห์ใช้ภาพของเด็กทารกมีความสุขปลอดภัยขณะดูดนมจากทรวงอกของแม่ และนางก็หยอกล้อเล่นกับลูกของตนเป็นภาพที่เราจะพบความสงบสันติในพระเป็นเจ้าแบบนั้น แต่เราต้องเป็นทารกของพระเป็นเจ้าผู้เป็นแม่ เราไม่อาจเป็นผู้ใหญ่ที่โตแล้วและคิดซับซ้อน วางแผน มีเล่ห์เหลี่ยม วางโครงการ บวกลบคูณหารหากำไรขาดทุนกับพระเป็นเจ้าผู้เป็นประดุจมารดาของเราแล้วยังมานอนบนตักของแม่แบบนั้น เด็กทารกมีแต่ความไว้วางใจในแม่ของตนเพียงประการเดียวเขาจึงมีความสุขและสามารถผ่านหนทางชีวิตเติบโตต่อไปได้

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม 2016 สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกฮาบากุก                                  ฮบก 1:2-3 และ 2:2-4
     ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องร้องขอความช่วยเหลือนานสักเท่าใด พระองค์จึงจะทรงฟัง ข้าพเจ้าจะร้องเสียงดังทูลพระองค์ว่า “ทารุณ” พระองค์ก็ไม่ทรงช่วยให้รอดพ้น ทำไมพระองค์ทรงให้ข้าพเจ้าเห็นการทำผิด และทรงนิ่งมองดูการกดขี่ข่มเหง ทั้งการปล้นและการใช้ความรุนแรงอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า การทะเลาะวิวาทและแตกสามัคคีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบข้าพเจ้าว่า “จงเขียนนิมิต และสลักไว้ให้ชัดเจนบนแผ่นกระดาน เพื่อให้อ่านได้ง่าย ยังไม่ถึงเวลาที่นิมิตนี้จะเป็นจริง แต่จะเป็นจริงในไม่ช้าตามที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน แม้นิมิตนี้จะล่าช้าไปบ้าง ก็จงคอยสักระยะหนึ่ง นิมิตนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนโดยไม่ชักช้า ดูซิ ผู้มีจิตใจไม่ซื่อตรงก็จะล้มลง แต่ผู้ชอบธรรมจะมีชีวิตเพราะความซื่อสัตย์”

 

เพลงสดุดี                                                                              สดด 95:1-11
     ก) มาเถิด เราจงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความยินดี
เราจงโห่ร้องสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงเป็นหลักศิลาที่ช่วยเราให้รอดพ้น
เราจงเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์เพื่อขอบพระคุณ
เราจงโห่ร้องเพลงสดุดีถวายพรพระองค์ด้วยความยินดี
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพเจ้าใดๆ
     ข) ส่วนลึกสุดของแผ่นดินอยู่ในพระหัตถ์พระองค์
ยอดภูเขาสูงสุดก็เป็นของพระองค์
ทะเลเป็นของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้าง
พระหัตถ์พระองค์ปั้นแผ่นดินแห้ง
มาเถิด เราจงกราบนมัสการพระองค์
เราจงคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างเรา
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา
และเราเป็นประชากรที่ทรงเลี้ยงดูดุจฝูงแกะที่ทรงนำไปยังทุ่งหญ้า
     ค) ท่านทั้งหลายจงฟังพระสุรเสียงของพระองค์ในวันนี้เถิด
“ท่านอย่าทำใจให้แข็งกระด้างเหมือนกับที่เกิดขึ้นที่เมรีบาห์
เหมือนในวันนั้นที่มัสสาห์ในถิ่นทุรกันดาร
เมื่อบรรพบุรุษของท่านทดลองเรา
เขาทดสอบเรา แม้ได้เห็นการกระทำของเราแล้ว"
เราเอือมระอาคนรุ่นนั้นเป็นเวลานานสี่สิบปี
และพูดว่า "เขาทั้งหลายเป็นประชาชนที่มีใจไม่เที่ยงตรง
เขาไม่ยอมรู้จักทางของเรา
ดังนั้น เราจึงปฏิญาณด้วยความโกรธ
ว่าเขาทั้งหลายจะไม่มีวันได้เข้าในที่พักผ่อนของเราเลย"

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงทิโมธี ฉบับที่สอง         2 ทธ 1:6-8,13-14
     ลูกที่รักยิ่ง ข้าพเจ้าจึงเตือนความจำของท่านเพื่อให้พระพรพิเศษของพระเจ้าเป็นไฟที่รุ่งโรจน์ขึ้นอีก ท่านได้รับพระพรนี้โดยการปกมือของข้าพเจ้า พระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่บันดาลความขลาดกลัว แต่ประทานจิตที่บันดาลความเข้มแข็ง ความรักและการควบคุมตนเองแก่เรา ดังนั้น ท่านอย่าอายที่จะเป็นพยานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรืออายที่ข้าพเจ้าต้องถูกจองจำเพราะพระองค์ แต่จงเข้ามามีส่วนร่วมทนทุกข์ทรมานกับข้าพเจ้าเพื่อข่าวดีโดยพระอานุภาพของพระเจ้า
     จงยึดถือคำสอนที่ถูกต้องซึ่งท่านได้ยินมาจากข้าพเจ้าไว้เป็นแบบอย่างด้วยความเชื่อและความรักในพระคริสตเยซู เดชะพระจิตเจ้าผู้สถิตในเรา จงรักษาของมีค่าที่ได้รับมอบไว้

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                      ลก 17:5-10
     เวลานั้น บรรดาอัครสาวกทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และพูดกับต้นหม่อนต้นนี้ว่า ‘จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเลเถิด’ ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน
     ท่านผู้ใดที่มีผู้รับใช้ออกไปไถนา หรือไปเลี้ยงแกะ เมื่อผู้รับใช้กลับจากทุ่งนา ผู้นั้นจะพูดกับผู้รับใช้หรือว่า ‘เร็วเข้า มานั่งโต๊ะเถิด’ แต่จะพูดมิใช่หรือว่า ‘จงเตรียมอาหารมาให้ฉันเถิด จงคาดสะเอว คอยรับใช้ฉันขณะที่ฉันกินและดื่ม หลังจากนั้นเจ้าจึงกินและดื่ม’ นายย่อมไม่ขอบใจผู้รับใช้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งมิใช่หรือ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ทำตามคำสั่งทุกประการแล้ว จงพูดว่า ‘ฉันเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉันทำตามหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น’”

 

ข้อคิด
     แผ่นกระดานในสมัยโบราณมีขนาดใหญ่กว่าแผ่นหนังที่ใช้เขียนหนังสืออย่างมากมาย ภาพนิมิตที่ว่าพระเจ้าจะทรงแทรกเข้ามาในกระแสปลาใหญ่กินปลาน้อยเพื่อช่วยเหลือผู้ถูกข่มเขงรังแกจากคนที่มีกำลังมากกว่าแม้ชัดเจนแต่บางทีความทุข์อย่างสาหัสทำให้เรารู้สึกว่านานจังกว่านิมิตนั้นจะเป็นจริง แต่พระเจ้าทรงขอให้เรามีความเชื่อ พระเยซูเจ้าจึงทรงสอนว่าจงเอาความเชื่อที่มีออกมาใช้ในเวลายากลำบากนี้ถ้ามีน้อยก็จงทูลขอความเชื่อจากพระเจ้า อย่าด่วนทวงเหมือนว่าพระเจ้าทรงติดหนี้สินเรา มีหรือเจ้านายต้องมาบริการคนใช้ ความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงต้องช่วยเหลือลูกของพระองค์เสมอมาชัดเจนอยู่แล้ว

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2016 ระลึกถึง น.ฟรังซิส ชาวอัสซีซี

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวกาลาเทีย             กท 1:13-24
     พี่น้อง ท่านทั้งหลายต้องเคยได้ยินเรื่องความประพฤติในอดีตของข้าพเจ้าเมื่อยังยึดถือลัทธิยิว ว่าข้าพเจ้าเคยเบียดเบียนพระศาสนจักรของพระเจ้าอย่างรุนแรง และพยายามทำลายด้วย ข้าพเจ้าเคร่งครัดในลัทธิยิวมากกว่าเพื่อนชาวยิวรุ่นเดียวกันหลายคน และมีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งในการรักษาประเพณีของบรรพบุรุษ แต่พระเจ้าผู้ทรงเลือกสรรข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา ก็ทรงเรียกข้าพเจ้าเดชะพระหรรษทานของพระองค์ และพอพระทัยที่จะสำแดงพระบุตรของพระองค์ในตัวข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้ประกาศข่าวดีถึงพระบุตรแก่บรรดาคนต่างศาสนา ข้าพเจ้าไม่ได้ปรึกษามนุษย์ผู้ใดเลย และไม่ได้ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อพบกับผู้เป็นอัครสาวกก่อนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าออกเดินทางไปยังอาราเบีย และกลับมายังเมืองดามัสกัสอีก สามปีต่อมา ข้าพเจ้าขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อทำความรู้จักกับเคฟาส และพักอยู่กับเขาเป็นเวลาสิบห้าวัน ข้าพเจ้าไม่พบอัครสาวกอื่นๆ นอกจากยากอบ ผู้เป็นน้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอสาบานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนนี้ มิใช่ความเท็จ หลังจากนั้น ข้าพเจ้าไปในดินแดนแคว้นซีเรียและซิลิเซีย พระศาสนจักรต่างๆ ในแคว้นยูเดียยังไม่เคยรู้จักหน้าข้าพเจ้าเลย เขาเหล่านั้นเคยแต่ได้ยินว่า “ผู้ที่เคยข่มเหงพวกเรา บัดนี้กลับมาประกาศความเชื่อที่เขาเคยพยายามจะทำลาย” เขาเหล่านั้นจึงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเพราะข้าพเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                        ลก 10:38-42
     เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งชื่อมารธารับเสด็จพระองค์ที่บ้าน นางมีน้องสาวชื่อมารีย์ซึ่งนั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้า คอยฟังพระวาจาของพระองค์ มารธากำลังยุ่งอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้จึงเข้ามาทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันคนเดียวให้ปรนนิบัติรับใช้ ขอพระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉันบ้าง” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก สิ่งที่จำเป็นมีเพียงสิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้”

 

ข้อคิด
     นักบุญเปาโลได้เล่าประวัติการกลับใจของท่านเอง เราจึงรู้ว่ามิใช่แปลว่าท่านเป็นคนชั่วช้าแล้วกลับมาเป็นคนดี ท่านซื่อสัตย์ต่อธรรมบัญญัติของโมเสสที่ชาวยิวถือว่าใครรักพระยาห์เวห์ก็ต้องรักธรรมบัญญัติ แต่พอท่านมารู้จักพระเยซูเจ้าแล้วท่านจึงรู้ว่าสิ่งที่ท่านเคยหวงแหนและรักมาตั้งแต่วัยเด็กนั้นไม่สมบูรณ์และไม่มีค่าเทียบได้เลยกับการได้รู้จักและรักพระเยซูเจ้า ท่านเคยกอดธรรมบัญญัติไว้แน่นจึงเริ่มคลายแขนออกมากอดองค์พระเยซูเจ้าแทน แม้ว่าการทำงานเป็นสิ่งดีแต่เมื่อถึงเวลาต้องเลือกสิ่งสำคัญมารีย์คลายแขนออกจากทุกสิ่งที่ตนชอบแล้วมานั่งฟังพระเยซูเจ้า การมีเวลาสวดภาวนาหรือไม่มีจึงเป็นเรื่องการเลือกสิ่งที่สำคัญได้สำเร็จต่างหาก

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม 2016 สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวกาลาเทีย           กท 1:6-12
     พี่น้อง ข้าพเจ้าประหลาดใจที่ท่านทั้งหลายหันเหอย่างรวดเร็วจากพระบิดาผู้ทรงเรียกท่านด้วยพระหรรษทานของพระคริสตเจ้า ไปเชื่อข่าวดีอื่น อันที่จริงแล้ว ข่าวดีอื่นนั้นไม่มี แต่มีบางคนก่อความวุ่นวายในหมู่ท่านทั้งหลาย และประสงค์จะบิดเบือนข่าวดีของพระคริสตเจ้า แต่ถ้าเรา หรือทูตสวรรค์ประกาศข่าวดีขัดแย้งกับที่เราเคยประกาศแก่ท่าน ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง เถิด บัดนี้ ข้าพเจ้าขอพูดย้ำสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยพูดไว้ก่อนอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าใครประกาศข่าวดีแก่ท่านขัดแย้งกับข่าวดีที่ท่านเคยรับไว้ ก็ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งเถิด บัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังเอาใจมนุษย์หรือพระเจ้า ข้าพเจ้าพยายามเอาใจมนุษย์กระนั้นหรือ หากข้าพเจ้ายังเอาใจมนุษย์ ข้าพเจ้าก็คงไม่เป็นผู้รับใช้ของพระคริสตเจ้า
     พี่น้อง ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า ข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศไปแล้วนั้น มิใช่ข่าวที่มาจากมนุษย์ เพราะข้าพเจ้าไม่ได้รับมาจากมนุษย์ มิได้เรียนรู้จากมนุษย์ แต่ได้รับจากการเปิดเผยของพระเยซูคริสตเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                        ลก 10:25-37
     ขณะนั้น นักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร” พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ในธรรมบัญญัติมีเขียนไว้อย่างไร ท่านอ่านว่าอย่างไร” เขาทูลตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลัง และสุดสติปัญญาของท่าน ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงทำเช่นนี้ แล้วจะได้ชีวิต”
ชายคนนั้นต้องการแสดงว่าตนถูกต้อง จึงทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “แล้วใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งกำลังเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค เขาถูกโจรปล้น พวกโจรปล้นทุกสิ่ง ทุบตีเขา แล้วก็จากไป ทิ้งเขาไว้อาการสาหัสเกือบสิ้นชีวิต สมณะผู้หนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง ชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมาทางนั้น เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้ๆ เห็นเขาก็รู้สึกสงสาร จึงเดินเข้าไปหา เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา วันรุ่งขึ้นชาวสะมาเรียผู้นั้นนำเงินสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้ กล่าวว่า ‘ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา’ ท่านคิดว่าในสามคนนี้ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น” เขาทูลตอบว่า “คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด”

 

ข้อคิด
     นิทานเปรียบเทียบของพระเยซูเจ้าทรงพลัง ชัดเจนจนไม่ต้องอธิบาย แต่ต้องการการเปิดใจของเราเพื่อจะได้ทูลขอพละกำลังจากพระองค์ในการออกไปลงมือปฏิบัติงานความรักให้ได้ในชีวิตจริง เราสวดภาวนาและอ่านพระคัมภีร์ทุกวันก็เพื่อจุดหมายปลายทางเดียวคือรักพระและออกไปลงมือทำงานความรักต่อเพื่อนพี่น้องให้ได้จริงๆ บัดนี้จงเงียบสักครู่หนึ่งและเปิดดวงใจทูลขอพระเจ้าให้เรามีโอกาสที่จะได้แสดงความรักต่อเพื่อนพี่น้องได้สำเร็จ ขอโอกาสนั้นผ่านมาในวันนี้และเราฉวยโอกาสนั้นแสดงความรักออกไปได้สำเร็จ

วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2016 สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวกาลาเทีย          กท 2:1-2,7-14
     พี่น้อง สิบสี่ปีต่อมา ข้าพเจ้าขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มอีกพร้อมกับบารนาบัส และพาทิตัสไปด้วย ข้าพเจ้าไปตามที่พระเจ้าทรงเปิดเผย ชี้แจงให้บรรดาพี่น้องที่นั่นรู้ข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศแก่คนต่างศาสนา เล่าให้คนสำคัญฟังเป็นการส่วนตัว เพื่อข้าพเจ้าจะไม่วิ่งโดยไร้ประโยชน์
      ยิ่งกว่านั้น บุคคลสำคัญเหล่านี้เห็นว่าข้าพเจ้าได้รับมอบหน้าที่ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต เช่นเดียวกับเปโตรได้รับมอบหน้าที่ให้ประกาศแก่ผู้ที่เข้าสุหนัตแล้ว เพราะพระเจ้าผู้ทรงบันดาลให้เปโตรเป็นธรรมทูตไปพบผู้ที่เข้าสุหนัตแล้ว ก็ทรงบันดาลให้ข้าพเจ้าไปพบคนต่างศาสนาเช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อยากอบ เคฟาสและยอห์น ซึ่งได้รับความนับถือว่าเป็นหลักรู้เรื่องพระหรรษทานที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วก็จับมือกับข้าพเจ้าและบารนาบัส แสดงความเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ตกลงกันว่า เราจะไปพบคนต่างศาสนา ส่วนพวกเขาจะไปพบผู้ที่เข้าสุหนัตแล้ว เขาเหล่านี้ขอเพียงแต่ไม่ให้เราลืมคนยากจน คำขอนี้เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะทำอยู่แล้ว
เมื่อเคฟาสมาที่เมืองอันทิโอก ข้าพเจ้าคัดค้านเขาซึ่งๆ หน้าเพราะเขาเป็นฝ่ายผิด ก่อนที่คนของยากอบจะมา เคฟาสกินอาหารร่วมกับคนต่างชาติ แต่ครั้นพวกนั้นมา เขาก็ปลีกตัว และแยกออกมาเพราะกลัวพวกที่เข้าสุหนัต ชาวยิวคนอื่นจึงแสร้งทำตามเขาบ้าง แม้กระทั่งบารนาบัสเองก็หลงแสร้งทำตามพวกเขาไปด้วย
เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าเขาเหล่านั้นประพฤติตนไม่ถูกต้องตามความหมายแท้จริงของข่าวดี ข้าพเจ้าจึงพูดกับเคฟาสต่อหน้าทุกคนว่า “ท่านเป็นชาวยิว ยังประพฤติตนอย่างคนต่างชาติ มิใช่อย่างชาวยิว แล้วเหตุไฉนท่านจึงบังคับคนต่างชาติให้ประพฤติตนอย่างชาวยิวเล่า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                        ลก 11:1-4
      วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อทรงอธิษฐานจบแล้ว ศิษย์คนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า โปรดสอนเราให้อธิษฐานภาวนาเหมือนกับที่ยอห์นสอนศิษย์ของเขาเถิด” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐานภาวนา จงพูดว่า
“ข้าแต่พระบิดา พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ
พระอาณาจักรจงมาถึง
โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายทุกวัน
โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
เหมือนข้าพเจ้าทั้งหลายให้อภัยแก่ผู้อื่น
โปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ให้แพ้การผจญ”

 

ข้อคิด
     ศาสนาคริสต์กำลังจะหลุดออกจากศาสนายิวอย่างเด็ดขาด มุ่งสู่ชนนานาชาติโดยมีนักบุญเปาโลเป็นเครื่องมือของพระเจ้าที่ทรงให้ท่านปรับศาสนาสามารถเข้าถึงคนต่างชาติโดยไม่ต้องอิงอยู่กับลัทธิยิวอีกต่อไปแม้ในเวลานั้นท่านอาจดูเหมือนพูดแรงกับบรรดาอัครสาวกอยู่บ้างแต่ท่านไม่ได้ขัดแย้งหรือทะเลาะกัน ท่านเพียงแต่ฟังกันและกัน เราทุกคนจึงสามารถเรียกพระเจ้าว่า “พ่อจ๋า” หรือ “อับบา” อย่างที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเวลาเริ่มต้นสวดภาวนาได้อย่างเท่าเทียมกันทุกชาติทุกสีผิว เราทุกคนจึงเป็นลูกของพระด้วยกันทุกคน เราต้องรู้จักฟังพระและฟังกันและกัน

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown