มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2016 สัปดาห์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส      อฟ 4:1-6
     พี่น้อง ข้าพเจ้าผู้ถูกจองจำเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า วอนขอท่านทั้งหลายให้ดำเนินชีวิตสมกับการที่ท่านได้รับเรียก จงถ่อมตนอยู่เสมอ จงมีความอ่อนโยน พากเพียรอดทนต่อกันด้วยความรัก พยายามรักษาเอกภาพแห่งพระจิตเจ้าด้วยสายสัมพันธ์แห่งสันติ มีกายเดียวและจิตเดียว ดังที่พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการเดียว มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อหนึ่งเดียว ศีลล้างบาปหนึ่งเดียว พระเจ้าหนึ่งเดียว ผู้ทรงเป็นพระบิดาของทุกคน พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน ทรงกระทำการผ่านทุกคน และสถิตในทุกคน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                      ลก 12:54-59
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “เมื่อท่านเห็นเมฆก่อตัวขึ้นทางทิศตะวันตก ท่านก็กล่าวได้ทันทีว่าฝนจะตก และก็เป็นเช่นนั้น เมื่อลมทิศใต้พัดมา ท่านก็กล่าวว่าอากาศจะร้อน และก็เป็นเช่นนั้น คนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย ท่านรู้จักวินิจฉัยลักษณะดินฟ้าอากาศ แล้วทำไมจึงไม่วินิจฉัยเวลาปัจจุบันนี้เล่า
ทำไมท่านจึงไม่ตัดสินด้วยตนเองว่าสิ่งใดถูกต้อง ขณะที่ท่านกำลังไปศาลกับคู่ความของท่าน จงพยายามตกลงกันระหว่างทาง เพื่อมิให้คู่ความของท่านลากท่านไปต่อหน้าผู้พิพากษาและผู้พิพากษาจะมอบท่านให้แก่ผู้คุม และผู้คุมจะขังท่านไว้ในคุก เราบอกท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนถึงเศษสตางค์สุดท้าย”

 

ข้อคิด
      พระเยซูคริสตเจ้าให้บทเรียนกับประชาชนที่ห้อมล้อมพระองค์ว่า ขณะที่พวกเขามีความฉลาดฝ่ายโลกนั้น พวกเขาก็ควรมีความฉลาดด้านชีวิตฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณของพวกเขาด้วย พระเยซูเจ้าประณามชาวยิวว่าน่าซื่อใจคด เพราะพวกเขาคิดว่าเป็นคนฉลาด สามารถทำนายดินฟ้าอากาศได้ แต่พวกเขามองไม่เห็นเครื่องหมายแห่งการเสด็จมาของพระผู้ไถ่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้และยอมรับที่จะเชื่อในพระองค์ เป็นเรื่องเศร้าที่พวกเขาไม่ตระหนักถึงการเสด็จมาของพระเจ้า พระเยซูเจ้าตรัสสอนเป็นคำเปรียบเทียบต่อไปอีกว่า หากตระหนักได้ว่าเราทำบาปผิดต่อพระเจ้า เราต้องรีบกลับใจและคืนดีกับพระองค์

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2016 สัปดาห์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส       อฟ 4:7-16
     พี่น้อง เราแต่ละคนได้รับพระหรรษทานตามสัดส่วนที่พระคริสตเจ้าประทานให้ ดังนั้น จึงมีคำกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง พระองค์ทรงนำบรรดาเชลยไปด้วย
และทรงแจกจ่ายของประทานแก่บรรดามนุษย์”
     คำว่า “พระองค์เสด็จขึ้น” นั้นหมายความว่าอย่างไร ถ้ามิใช่หมายความว่า พระองค์ได้เสด็จลงไปยังแผ่นดินเบื้องล่างก่อนแล้ว และพระองค์ผู้เสด็จลงไปก็เป็นองค์เดียวกับผู้เสด็จขึ้นไปเหนือสวรรค์ทุกชั้น เพื่อจะทรงครอบครองทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์ พระองค์ประทานให้บางคนเป็นอัครสาวก บางคนเป็นประกาศก บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวดี บางคนเป็นผู้อภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ไว้สำหรับงานรับใช้ เสริมสร้างพระกายของพระคริสตเจ้า จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ ตามมาตรฐานความสมบูรณ์ของพระคริสตเจ้า เราจะได้ไม่เป็นเหมือนเด็ก ถูกคลื่นลมซัดโคลงเคลงล่องลอยไปตามกระแสคำสั่งสอนทุกอย่างที่เกิดจากเล่ห์กลของมนุษย์ด้วยอุบายชาญฉลาดที่คอยหลอกลวงให้หลงผิดอีกต่อไป แต่ให้เราดำเนินชีวิตในความจริงด้วยความรัก เจริญเติบโตขึ้นจนบรรลุถึงความสมบูรณ์ในพระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นพระเศียร พระองค์ทรงทำให้ร่างกายทุกส่วนประสานสัมพันธ์กันอย่างสนิทแน่นแฟ้น ทรงจัดให้ข้อต่อทุกข้อเสริมกำลังให้แต่ละส่วนทำหน้าที่ของตน ร่างกายจึงเจริญเติบโตและเสริมสร้างตนเองอย่างสมบูรณ์ขึ้นด้วยความรัก

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                        ลก 13:1-9
     ในเวลานั้น คนบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าถึงเรื่องชาวกาลิลีซึ่งถูกปีลาตสั่งประหารชีวิตในขณะที่เขากำลังถวายเครื่องบูชา พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า “ท่านคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านี้เป็นคนบาปมากกว่าชาวกาลิลีทุกคนหรือ จึงต้องถูกฆ่าเช่นนี้ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นกัน แล้วคนสิบแปดคนที่ถูกหอสิโลอัมพังทับเสียชีวิตเล่า ท่านคิดว่าคนเหล่านั้นมีความผิดมากกว่าคนอื่นทุกคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มหรือ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นเดียวกัน”
พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมาเรื่องนี้ว่า “ชายผู้หนึ่งปลูกต้นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งในสวนองุ่นของตน เขามามองหาผลที่ต้นนั้น แต่ไม่พบ จึงพูดกับคนสวนว่า ‘ดูซิ สามปีแล้วที่ฉันมองหาผลจากมะเดื่อเทศต้นนี้แต่ไม่พบ จงโค่นมันเถิด เสียที่เปล่าๆ’ แต่คนสวนตอบว่า ‘นายครับ ปล่อยมันไว้อีกสักปีหนึ่งเถิด ผมจะพรวนดินรอบต้น ใส่ปุ๋ย ดูซิว่าปีหน้ามันจะออกผลหรือไม่ ถ้าไม่ออกผล ท่านจะโค่นทิ้งเสียก็ได้’”


ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าเชิญชวนประชาชนที่ห้อมล้อมพระองค์และเราด้วยให้กลับใจ ละทิ้งบาป คืนดีกับพระเจ้า มิฉะนั้นแล้วชะตาชีวิตของเราก็จะเหมือนกับต้นมะเดื่อเทศที่ไร้ผล ย่อมถูกโค่นทิ้งได้เสมอ ฉะนั้นสิ่งจำเป็นที่คริสตชนแต่ละคนต้องแสวงหาคือคุณค่าอันสูงสุดแท้จริงของชีวิต การแสวงหาเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันเป็นสิ่งที่พระวรสารในวันนี้เรียกว่า “การกลับใจ” อันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น พระเป็นเจ้ารอคอยการกลับใจของเราด้วยความอดทน กระนั้นก็ตามพระองค์ไม่ทรงลำเอียง พระองค์ทรงมีความยุติธรรม รางวัลคนดี ลงโทษคนชั่ว

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2016 สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส      อฟ 4:32-5:8
     พี่น้อง จงมีใจโอบอ้อมอารี มีเมตตาต่อกัน ให้อภัยกันดังที่พระเจ้าทรงให้อภัยท่านในองค์พระคริสตเจ้าเถิด
ท่านทั้งหลายจงทำตามแบบฉบับของพระเจ้า ประดุจบุตรสุดที่รักของพระองค์ จงดำเนินชีวิตในความรักดังที่พระคริสตเจ้าทรงรักเราและทรงมอบพระองค์เพื่อเรา เป็นเครื่องบูชาที่มีกลิ่นหอมถวายแด่พระเจ้า
     ในหมู่ท่านทั้งหลาย อย่าให้มีการผิดประเวณี ความลามกโสมมต่างๆ หรือความโลภ อย่าให้มีแม้แต่การพูดถึง จึงจะเป็นการเหมาะสมกับผู้ศักดิ์สิทธิ์ อย่าให้มีทั้งการพูดหยาบคาย พูดไร้สาระและตลกหยาบโลนซึ่งไม่เป็นการสมควร แต่จงขอบพระคุณจะดีกว่า
     ท่านทั้งหลายจงรู้ไว้เถิดว่า คนผิดประเวณี คนลามกโสมม และคนโลภซึ่งเป็นเสมือนคนนับถือรูปเคารพ ไม่ได้รับมรดกในพระอาณาจักรของพระคริสตเจ้าและของพระเจ้าเลย อย่าให้ใครใช้คำพูดไร้สาระหลอกลวงท่าน ผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังและทำความผิดเหล่านี้สมควรจะได้รับโทษจากพระเจ้า จงอย่าสมาคมกับคนเหล่านี้เลย ในอดีตท่านเคยเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                        ลก 13:10-17
     ขณะนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนอยู่ในศาลาธรรมแห่งหนึ่งในวันสับบาโต สตรีคนหนึ่งถูกปีศาจสิง เจ็บป่วยมาสิบแปดปีแล้ว หลังค่อม ยืดตัวตรงไม่ได้เลย เมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็น จึงทรงเรียกนางเข้ามาและตรัสว่า “นางเอ๋ย เธอพ้นจากความพิการของเธอแล้ว” พระองค์ทรงปกพระหัตถ์เหนือนาง ทันใดนั้น นางก็ยืดตัวตรงและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
    แต่หัวหน้าศาลาธรรมรู้สึกขัดเคืองที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาโรคในวันสับบาโต จึงกล่าวแก่ประชาชนว่า “วันที่ทำงานได้มีถึงหกวัน จงมารับการรักษาโรคในวันเหล่านั้นเถิด อย่ามาในวันสับบาโตเลย” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสตอบว่า “เจ้าคนหน้าซื่อใจคด เจ้าแต่ละคนมิได้แก้โคหรือลาจากรางหญ้า พาไปกินน้ำในวันสับบาโตดอกหรือ หญิงผู้นี้เป็นบุตรหญิงของอับราฮัม ซึ่งซาตานล่ามไว้เป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว ไม่สมควรที่จะถูกแก้จากพันธนาการนี้ในวันสับบาโตด้วยหรือ” เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้แล้ว ผู้ต่อต้านทุกคนของพระองค์รู้สึกอับอาย ขณะที่ประชาชนต่างชื่นชมยินดีเมื่อเห็นการอัศจรรย์ทั้งหลายที่ทรงกระทำ

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้ารักษาสตรีซึ่งพิการมาสิบแปดปีแล้วหายจากโรค เป็นอีกหนึ่งอัศจรรย์ที่ทรงกระทำด้วยพระเมตตาของพระองค์เอง ไม่ผ่านใครและไม่มีผู้ใดวอนขอ แม้แต่หญิงคนนั้นเอง ทั้งๆที่วันนั้นเป็นวันต้องห้าม เพราะเป็นวันสับบาโต ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่าความเมตตาของพระเยซูเจ้านั้นมาก่อนกฎเกณฑ์ ด้วยความตื่นเต้นและรู้สึกซาบซึ้งเมื่อรู้ว่าตนเองหายจากโรค สตรีนั้น “ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” สิ่งดี ๆ ล้วนมาจากพระเจ้า เป็นการเหมาะสมที่จะโมทนาคุณพระองค์สำหรับสิ่งดี ๆ ในชีวิต นี่เป็นสิ่งดี คริสตชนควรจะทำ

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม 2016 สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือบุตรสิรา                                                บสร 35:12-14,16-18
     เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา พระองค์ไม่ทรงเลือกที่รักมักที่ชัง พระองค์ไม่ทรงลำเอียงทำให้ผู้ยากจนต้องได้รับความเสียหาย แต่ทรงฟังคำวอนขอของผู้ถูกข่มเหง พระองค์ไม่ทรงเมินเฉยต่อคำวอนขอของลูกกำพร้า และไม่ทรงเมินเฉยเมื่อหญิงม่ายระบายความทุกข์แด่พระองค์ ผู้ใดเต็มใจรับใช้พระเจ้า ย่อมเป็นที่ยอมรับของพระองค์ คำวอนขอของเขาจะขึ้นไปถึงเมฆ คำอธิษฐานของผู้ต่ำต้อยทะลุเมฆขึ้นไป และจะไม่หยุดจนกว่าเขาจะได้รับความบรรเทา จะไม่หยุดจนกว่าพระผู้สูงสุดจะเสด็จมาเยี่ยม และตัดสินประกาศความบริสุทธิ์ของผู้ชอบธรรม

 

เพลงสดุดี                                                                            สดด 34:1-2,16-18,19-20,22
     ก) ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดกาล
คำสรรเสริญพระองค์จะติดอยู่กับริมฝีปากของข้าพเจ้าเสมอ
จิตใจข้าพเจ้าจะภูมิใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า
บรรดาผู้ต่ำต้อยจงฟังและชื่นชมเถิด
     ข) พระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นอริกับผู้ทำความชั่ว
มิให้ใครในแผ่นดินระลึกถึงเขาอีกต่อไป
บรรดาผู้ชอบธรรมร้องขอความช่วยเหลือ องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงฟัง
ทรงช่วยเขาให้รอดพ้นจากความคับแค้นทั้งหลาย
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้ผู้ที่มีใจเป็นทุกข์
ทรงกอบกู้ผู้ที่มีจิตใจสำนึกผิด
     ค) แม้ผู้ชอบธรรมจะประสบความทุกข์ร้อนมากมาย
องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงช่วยเขาให้พ้นจนหมด
พระองค์ทรงดูแลกระดูกของเขาทุกชิ้น
มิให้แตกหักแม้เพียงชิ้นเดียว
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงไถ่กู้ชีวิตของผู้รับใช้พระองค์
ผู้ลี้ภัยมาพึ่งพระองค์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษ

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงทิโมธี ฉบับที่สอง       2 ทธ 4:6-8,16-18
     ลูกที่รักยิ่ง ชีวิตของข้าพเจ้ากำลังจะถูกถวายเป็นเครื่องบูชาอยู่แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะต้องจากไป ข้าพเจ้าต่อสู้มาอย่างดี วิ่งมาถึงเส้นชัย และรักษาความเชื่อไว้แล้ว ยังเหลืออยู่ก็เพียงมงกุฎแห่งความชอบธรรม ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรมจะประทานให้ข้าพเจ้าในวันนั้น และไม่ใช่เพียงให้ข้าพเจ้าเท่านั้น แต่จะประทานให้ทุกคนที่มีความรักเฝ้ารอคอยการสำแดงพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน
ในการสู้คดีครั้งแรกของข้าพเจ้า ไม่มีใครเป็นพยานให้ข้าพเจ้าเลย ทุกคนละทิ้งข้าพเจ้าไปหมด ขออย่าให้พวกเขาถูกลงโทษเลย มีแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงยืนอยู่เคียงข้างและประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า เพื่อการประกาศข่าวดีจะได้สำเร็จไปโดยทางข้าพเจ้า และคนต่างชาติทั้งหลายจะได้ฟังข่าวดี ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงถูกฉุดให้พ้นจากปากสิงโตมาได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากการประทุษร้ายทั้งสิ้น และจะทรงนำข้าพเจ้าไปสู่พระอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์อย่างปลอดภัย ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดรเทอญ อาเมน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                        ลก 18:9-14
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเล่าอุปมาเรื่องนี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่นฟังว่า “มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นชาวฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า’ ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ข้อน-อก พูดว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด’ เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รับความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสีไม่ได้รับ เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”

 

ข้อคิด
     สิ่งที่ชาวฟาริสีกล่าวในคำภาวนานั้นเป็นความจริง เป็นความจริงที่เขาไม่ใช่ขโมย เขาไม่ผิดประเวณี และก็ถวายเงินให้พระวิหาร แต่กิจการดีทั้งหลายนั้นทำให้เขาตาบอด หยิ่งจองหองและแข็งกระด้างต่อเพื่อนมนุษย์ เขาจึงเป็นบุคคลที่ไม่อยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า คนเก็บภาษีมองเห็นตัวเองในความจริงเช่นกัน เขายอมรับตัวเองว่าเป็นคนบาป ภาวนาว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด” พระเยซูเจ้าประกาศว่า บทภาวนานี้ไม่เพียงแต่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นบทภาวนาที่ชอบธรรมด้วย พระเจ้าพอพระทัยคำภาวนาของผู้วอนขอที่มีความสุภาพถ่อมตน

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม 2016 สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส          อฟ 5:21-33
      พี่น้อง จงยอมอยู่ใต้อำนาจของกันและกันด้วยความเคารพยำเกรงพระคริสตเจ้า ภรรยาจงยอมอยู่ใต้อำนาจของสามีเหมือนยอมอยู่ใต้อำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยาเหมือนพระคริสตเจ้าทรงเป็นพระเศียรของพระศาสนจักร พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยพระศาสนจักรซึ่งเป็นพระกายให้รอดพ้น พระศาสนจักรยอมอยู่ใต้อำนาจของพระคริสตเจ้าฉันใด ภรรยาก็ต้องยอมอยู่ใต้อำนาจของสามีทุกเรื่องฉันนั้น
     สามีก็จงรักภรรยาดังที่พระคริสตเจ้าทรงรักพระศาสนจักร และทรงพลีพระองค์เพื่อพระศาสนจักร ทรงบันดาลให้พระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ ทรงใช้น้ำและพระวาจาชำระพระศาสนจักรให้บริสุทธิ์ พระองค์จะได้ทรงพบว่าพระศาสนจักรนั้นรุ่งโรจน์ ศักดิ์สิทธิ์ ปราศจากมลทิน ปราศจากตำหนิริ้วรอยหรือสิ่งใดๆ ในลักษณะดังกล่าว เช่นเดียวกัน สามีต้องรักภรรยาเหมือนรักกายของตน ผู้ที่รักภรรยาก็รักตนเอง เพราะไม่มีใครเกลียดชังเนื้อหนังของตน แต่ย่อมเลี้ยงดูและทะนุถนอมอย่างดียิ่ง พระคริสตเจ้าทรงกระทำเช่นเดียวกันกับพระศาสนจักร เพราะเราเป็นส่วนแห่งพระกายของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า “เพราะเหตุนี้ ชายจะละบิดามารดาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน” ธรรมล้ำลึกประการนี้ยิ่งใหญ่นัก ข้าพเจ้าหมายถึงพระคริสตเจ้ากับพระศาสนจักร ดังนั้น แต่ละท่านจงรักภรรยาของตนเหมือนรักตนเอง และภรรยาก็จงเคารพยำเกรงสามี

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                         ลก 13:18-21
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า พระเยซูเจ้าตรัสต่อไปว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับสิ่งใด เราจะเปรียบพระอาณาจักรกับสิ่งใด พระอาณาจักรก็เหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งชายคนหนึ่งทิ้งไว้ในสวนของตน มันเติบโตขึ้นและกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งบรรดานกในอากาศมาทำรังอาศัยบนกิ่งได้”
     พระองค์ยังตรัสอีกว่า “เราจะเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้ากับสิ่งใด พระอาณาจักรก็เหมือนกับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำมาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งฟูขึ้นทั้งหมด”

 

ข้อคิด

     พระเยซูคริสตเจ้าพูดถึงพระอาณาจักรพระเจ้าในรูปแบบของคำเปรียบเทียบ ในแง่ของสัญลักษณ์แห่งความลึกลับ “เหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ด” ซึ่งเป็นเมล็ดที่เล็กที่สุดแต่มีพลังลึกลับในตัว เมื่อมันงอกขึ้นมาแล้วจะเติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ซึ่งนกในอากาศมาทำรัง และอาศัยอยู่ได้ อาณาจักรพระเจ้าก็จะเริ่มต้นเล็กๆเช่นนี้ ด้วยผู้ติดตามพระเยซูเจ้าไม่กี่คน แต่จะเติบโตขยายไปทั่วโลก มีลักษณะเป็นสากล มนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกเผ่าพันธุ์ จะพบที่อยู่อาศัยและอาหารในพระอาณาจักรที่เริ่มอย่างต่ำต้อยที่ทรงพลังลึกลับนี้บทเรียนคือ อย่ามองแต่ภายนอก

 

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown