มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2019 ฉลองนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู พรหมจารี

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                             อสย 66:10-14
     ท่านทั้งหลายจงยินดีกับกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายที่รักกรุงเยรูซาเล็ม จงชื่นชมกับกรุงนี้เถิด ท่านทั้งหลายที่เคยไว้ทุกข์ให้กรุงเยรูซาเล็ม จงร่วมยินดีกับกรุงนี้ด้วยความชื่นบานเถิด ท่านจะได้รับการปลอบโยนอย่างเต็มเปี่ยมจากกรุงเยรูซาเล็ม ทารกมีความยินดีเมื่อดูดนมจากทรวงอกของมารดาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะมีความยินดีจากความอุดมสมบูรณ์ของกรุงนี้ฉันนั้น
     เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูซิ เราจะบันดาลให้สันติสุขหลั่งไหลมาสู่กรุงนี้เหมือนแม่น้ำ จะนำความมั่งคั่งของนานาชาติมายังกรุงนี้เหมือนสายน้ำที่กำลังล้นฝั่ง กรุงนี้จะอุ้มท่านทั้งหลายไว้ ให้ท่านดูดนม และหยอกล้อท่านบนตัก มารดาปลอบโยนบุตรฉันใด เราก็จะปลอบโยนท่านทั้งหลายฉันนั้น ท่านจะได้รับการปลอบโยนในกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายจะเห็น และใจของท่านจะโลดเต้นยินดี กระดูกของท่านจะสดชื่นขึ้นเหมือนหญ้าอ่อน องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแสดงพระอานุภาพแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ แต่จะทรงพระพิโรธต่อบรรดาศัตรู”

 

สดด 131:1,2-3

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 18:1-5
      ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์
ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา”

 

ข้อคิด

     เมื่อพูดถึงเด็ก คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงความน่ารัก ความร่าเริงแจ่มใส และความไร้เดียงสาของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ยังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้คำพูดและการกระทำของเด็กมีพลังมาก สิ่งนั้นคือ “ความเชื่อมั่น” ในความรักและความเอาใจใส่ของพ่อแม่ที่มีต่อพวกเขา ไม่ว่าพ่อแม่จะเป็นใครมาจากไหน ยากดีมีจนเพียงใด พวกเขาเป็นวีรบุรุษหรือวีรสตรีสำหรับเด็กเสมอ ในความคิดของเด็กไม่มีสิ่งใดที่พ่อแม่จะทำเพื่อพวกเขาไม่ได้ นี่แหละคือลักษณะของ “ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” (มธ 18:1) ตามทรรศนะของพระเยซูเจ้า พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ใครก็ตามที่อยากเข้าอาณาจักรสวรรค์เขาคนนั้นต้องมี “ความเชื่อมั่น” ในความรักและพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระเจ้าอย่างไร้ข้อสงสัย แม้ว่าหลายครั้งเขาอาจมองไม่เห็นความจริงประการนี้ เพราะเหตุการณ์เลวร้ายหรือมรสุมชีวิตกำลังประดังเข้ามาหาเขาอย่างไม่ขาดสาย

วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2019 ระลึกถึงทูตสวรรค์ผู้อารักขา

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                           อพย 23:20-23ก
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ “เราจะส่งทูตสวรรค์ไปข้างหน้าท่าน เพื่อป้องกันท่านตามทาง และนำท่านไปถึงสถานที่ที่เราจัดเตรียมไว้ จงเคารพทูตสวรรค์และเชื่อฟังถ้อยคำของเขา อย่าต่อต้าน เพราะเขาทำไปในนามของเรา และจะไม่ยอมอภัยความผิดของท่านเลย แต่ถ้าท่านเชื่อฟังเขาและทำตามที่เราสั่งทุกประการ เราจะเป็นศัตรูกับศัตรูของท่าน เป็นปฏิปักษ์กับปฏิปักษ์ของท่าน ทูตสวรรค์ของเราจะเดินข้างหน้าและนำท่าน”

 

สดด 91:1-2,3-5,6,9-11

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 18:1-5,10
     ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์”
      “ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดาๆ เหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์”

 

ข้อคิด

     ในพระคัมภีร์มีการอ้างถึง “ทูตสวรรค์” ของพระเจ้ามากกว่าสามร้อยครั้ง และมีการบรรยายถึงภารกิจของท่านไว้ในหลายรูปแบบ พวกท่านเป็นสิ่งสร้างที่มีจำนวนมหาศาลนับไม่ถ้วนซึ่งอยู่ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า พระศาสนจักรสอนเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ตั้งแต่เริ่มต้นจนจากโลกนี้ไป ชีวิตมนุษย์ได้รับการพิทักษ์รักษาและการเสนอวิงวอนแทนจากเหล่าทูตสวรรค์ สัตบุรุษแต่ละคนมีทูตสวรรค์อยู่เคียงข้าง เป็นผู้พิทักษ์และผู้อภิบาลเพื่อนำตัวเขาไปสู่ชีวิต” (คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ข้อ 336) เห็นได้ว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้ามีบทบาทสำคัญมากในชีวิตเราแต่ละคนและในพระศาสนจักรโดยรวมด้วย ทูตสวรรค์ของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ทรงส่งพวกท่านมาคอยปกป้องคุ้มครองเราผู้เป็นลูกๆของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เราเป็นทุกข์เดือดร้อนและถูกประจญล่อลวง เหมือนที่รับใช้พระเจ้าบนสวรรค์ พวกท่านจะช่วยเหลือและปกป้องคุ้มครองเราบนโลกนี้

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2019 ระลึกถึง น.ฟรังซิส แห่งอัสซีซี

บทอ่านจากหนังสือประกาศกบารุค                               บรค 1:15-22
     ท่านทั้งหลายต้องอธิษฐานภาวนาดังนี้ “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงความเที่ยงธรรม ส่วนเราต้องอับอายดังที่เห็นได้ในวันนี้ ชาวยูดาห์และชาวกรุงเยรูซาเล็มก็ต้องอับอาย รวมทั้งบรรดากษัตริย์ บรรดาผู้ปกครอง บรรดาสมณะ บรรดาประกาศกและบรรพบุรุษของเราด้วย เพราะเราได้ทำบาปผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่เชื่อฟังพระองค์ ไม่ฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา และไม่เดินตามบทบัญญัติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เรา ตั้งแต่วันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำบรรพบุรุษของเราออกจากแผ่นดินอียิปต์จนถึงทุกวันนี้ เราไม่เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา เราละเลยไม่ยอมฟังพระสุรเสียงของพระองค์ เหตุร้ายและคำสาปแช่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสำทับไว้กับโมเสสผู้รับใช้พระองค์ เมื่อทรงนำบรรพบุรุษของเราออกจากแผ่นดินอียิปต์เพื่อประทานแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลอย่างบริบูรณ์ ยังอยู่กับเราแม้ในวันนี้ เราทั้งหลายไม่ฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ซึ่งตรัสไว้โดยทางประกาศกที่ทรงส่งมาพบเรา เราแต่ละคนกลับทำตามความคิดจากใจชั่วร้ายของเรา ไปนับถือเทพเจ้าอื่นๆ และทำความชั่วเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                ลก 10:13-16
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองเบธไซดา ถ้าอัศจรรย์ที่ได้เกิดขึ้นในเจ้าได้เกิดขึ้นที่เมืองไทระและเมืองไซดอนแล้ว เขาเหล่านั้นคงได้นุ่งกระสอบนั่งบนกองขี้เถ้ากลับใจเสียนานแล้ว ดังนั้น เมืองไทระและเมืองไซดอนจะรับโทษเบากว่าเจ้าในวันพิพากษา ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะยกตนขึ้นถึงฟ้าเทียวหรือ เจ้าจะตกลงไปถึงแดนผู้ตาย
     ผู้ใดฟังท่าน ผู้นั้นฟังเรา ผู้ใดสบประมาทท่าน ผู้นั้นสบประมาทเรา ผู้ที่สบประมาทเรา ก็สบประมาทผู้ที่ทรงส่งเรามา”

 

ข้อคิด

     เมื่อพูดถึงพระเยซูเจ้า เรามักจะนึกถึงบุรุษผู้มีใจเมตตาและอ่อนโยน เป็นผู้เลี้ยงที่ดีที่คอยดูแลเอาใจใส่ฝูงแกะด้วยความรักและห่วงใย พร้อมที่จะปกป้องให้พ้นจากอันตรายด้วยชีวิต เนื่องด้วยหน้าที่ในการปกป้องเยี่ยงผู้เลี้ยงที่ดีนี่เอง ทำให้พระองค์เป็นเสมือนคุณหมอสำหรับเราด้วย ดังนั้น จึงไม่ควรแปลกใจที่บางครั้งอาจได้ยินคำเตือนที่ค่อนข้างแข็งกร้าวและเด็ดขาดจากพระองค์ เพราะโรคฝ่ายจิตบางอย่างจำเป็นต้องใช้ยาแรง สำหรับพระเยซูเจ้าชาวเมืองโคราซิน ชาวเมืองเบธไซดา และชาวเมืองคาเปอร์นาอุม ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจาก กลับใจจึงจะได้รับความรอดพ้น พวกเขาต้องละทิ้งกิจการและพฤติกรรมที่ไม่ดีทั้งหลาย แล้วกลับมาหาพระเจ้าและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ โดยเฉพาะบทบัญญัติแห่งความรัก แต่ตราบใดที่พวกเขายังหยิ่งจองหองและคิดว่าตนเองดีและชอบธรรมอยู่แล้ว ไม่ต้องการพระหรรษทานและความช่วยเหลือจากพระเจ้า พวกเขาจะต้องพบกับความวิบัติอย่างแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2019 สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือเนหะมีย์                                        นหม 8:1-4ก,5-6,7ข-12
     ประชาชนทั้งปวงมาชุมนุมพร้อมกันที่ลานหน้าประตูน้ำ ขอให้เอสราธรรมาจารย์นำหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสส ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่อิสราเอลมาด้วย วันที่หนึ่งเดือนเจ็ด เอสราสมณะนำธรรมบัญญัติออกมาต่อหน้าชุมชนทั้งชายหญิงและเด็กที่มีวัยพอจะฟังเข้าใจได้ เอสราอ่านหนังสือที่ลานหน้าประตูน้ำตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเที่ยง ต่อหน้าชายหญิงและเด็กที่มีวัยพอจะฟังเข้าใจได้ ประชากรทั้งปวงตั้งใจฟังข้อความที่อ่านจากหนังสือธรรมบัญญัติ
     เอสราธรรมาจารย์ยืนอยู่บนยกพื้นไม้ที่ทำขึ้นเพื่อการนี้ เอสรายืนอยู่สูงกว่าประชากรทั้งปวง ทุกคนจึงเห็นเขาได้ เมื่อเขาเปิดหนังสือ ประชากรทุกคนก็ยืนขึ้น เอสราถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ประชากรทั้งปวงก็ชูมือขึ้นพูดว่า “อาเมน อาเมน” และก้มลงหน้าจรดพื้นนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า
     ชนเลวีคือ เยชูอา บานี เชเรบิยาห์ ยามีน อักขูบ ชับเบธัย โฮดียาห์ มาอาเสอาห์ เคลิทา อาซาริยาห์ โยซาบาด คานัน เปไลยาห์ ช่วยอธิบายธรรมบัญญัติให้ประชากรเข้าใจ เขาทั้งหลายแปลข้อความจากหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นตอนๆ และอธิบายความหมายให้ประชากรเข้าใจ
     ประชากรทุกคนที่ฟังถ้อยคำของธรรมบัญญัติก็ร้องไห้ เนหะมีย์ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการ เอสราซึ่งเป็นสมณะและธรรมาจารย์ และชนเลวีผู้สอนประชากรจึงพูดกับประชากรทั้งปวงว่า “วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน อย่าเป็นทุกข์โศกเศร้าหรือร่ำไห้เลย จงกลับไปบ้าน เลี้ยงอาหารเลิศรส ดื่มเหล้าองุ่นอย่างดี และแบ่งปันอาหารให้คนที่ไม่มี เพราะวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา อย่าเศร้าใจเลย เพราะความยินดีจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพละกำลังของท่าน” บรรดาชนเลวีจึงให้ประชากรทั้งปวงสงบลง พูดว่า “อย่าร่ำไห้เลย เพราะวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ อย่าโศกเศร้าไปเลย” ประชากรทุกคนจึงกลับบ้านไป กินและดื่ม แล้วแบ่งปันอาหารแก่ผู้อื่น เขาทั้งหลายมีความยินดีเพราะเข้าใจความหมายของถ้อยคำที่ได้ฟัง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 10:1-12
     ต่อจากนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งศิษย์อีกเจ็ดสิบสองคนและทรงส่งเขาล่วงหน้าพระองค์ เป็นคู่ๆ ไปทุกตำบลทุกเมืองที่พระองค์จะเสด็จ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ข้าวที่จะเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด จงไปเถิด เราส่งท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะในฝูงสุนัขป่า อย่านำถุงเงิน ย่ามหรือรองเท้าไปด้วย อย่าเสียเวลาทักทายผู้ใดตามทาง เมื่อท่านเข้าบ้านใด จงกล่าวก่อนว่า ‘สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้เถิด’ ถ้ามีผู้สมควรจะรับสันติสุขอยู่ที่นั่น สันติสุขของท่านจะอยู่กับเขา มิฉะนั้น สันติสุขของท่านจะกลับมาอยู่กับท่านอีก จงพักอาศัยในบ้านนั้น กินและดื่มของที่เขาจะนำมาให้ เพราะว่าคนงานสมควรที่จะได้รับค่าจ้างของตน อย่าเข้าบ้านนี้ออกบ้านโน้น เมื่อท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาต้อนรับท่าน จงกินของที่เขาจะนำมาตั้งให้ จงรักษาผู้เจ็บป่วยในเมืองนั้นและบอกเขาว่า ‘พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว’ แต่ถ้าท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาไม่ต้อนรับ ก็จงออกไปกลางลานสาธารณะ และกล่าวว่า ‘แม้แต่ฝุ่นจากเมืองของท่านที่ติดเท้าของเรา เราจะสลัดทิ้งไว้กล่าวโทษท่าน จงรู้เถิดว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว’ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา ชาวเมืองโสโดมจะรับโทษเบากว่าชาวเมืองนั้น”

 

ข้อคิด

     ศิษย์ที่แท้จริงของพระเยซูเจ้าต้องไม่ยึดติดหรือให้ความสำคัญกับสิ่งของภายนอกมากเกินไป “อย่านำถุงเงิน ย่าม หรือรองเท้าไปด้วย” (ลก 10:4) แต่ยึดมั่นในความรัก การดูแลเอาใจ และการปกป้องคุ้มครองจากพระองค์แต่เพียงผู้เดียว เมื่อพระองค์ทรงส่งพวกเขาออกไปประกาศข่าวดี พวกเขาต้องมั่นใจในความดูแลเอาใจใส่ของพระองค์ ความสำเร็จของพันธกิจที่ได้รับมอบหมายไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถ หรือสิ่งที่พวกเขามีเป็นหลัก แต่ขึ้นอยู่กับพระองค์ พวกเขาเป็นเพียงคนงานกลุ่มหนึ่งที่พระองค์ทรงส่งไป พวกเขาต้องเชื่อและไว้วางใจในความรักและพระอานุภาพของพระองค์ ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเจออุปสรรคและปัญหาเลวร้ายแค่ไหน บุคคลแรกที่พวกเขาจะต้องนึกถึงคือพระองค์ สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืมคือ ในฐานะคนงานของพระองค์ พวกเขาเป็นผู้นำ “สันติสุข” ไปให้กับคนอื่น เป็นการทำให้คนอื่นเป็นอิสระและมีความสุข วันนี้ขอให้บ้านทุกหลังได้ยินคำทักทายของพระเยซูเจ้าที่ว่า “สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้เถิด” (ลก 10:5)

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2019 ระลึกถึง น.โฟสตินี โควัลสกา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกบารุค                               บรค 4:5-12,27-29
     ประชากรของข้าพเจ้าเอ๋ย จงทำใจดีๆ ไว้ ท่านทั้งหลายซึ่งทำให้ทุกคนยังคงระลึกถึงอิสราเอล พระเจ้าทรงขายท่านทั้งหลายให้แก่ชนต่างชาติ มิใช่เพื่อให้ท่านต้องพินาศ แต่พระองค์ทรงมอบท่านให้ศัตรู เพราะท่านทำให้พระองค์กริ้ว ท่านถวายบูชาแก่ปีศาจ ไม่ใช่ถวายแด่พระเจ้า ท่านจึงทำให้พระผู้สร้างทรงพระพิโรธ ท่านลืมพระเจ้านิรันดรผู้ประทานอาหารแก่ท่าน ท่านทำให้กรุงเยรูซาเล็มที่เลี้ยงดูท่านต้องโศกเศร้า นครนี้จึงเห็นพระพิโรธจากพระเจ้าลงมาเหนือท่าน และพูดว่า
“บรรดาเมืองรอบๆ ศิโยนเอ๋ย จงฟังเถิด พระเจ้าทรงส่งความทุกข์ยิ่งใหญ่ให้ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้านิรันดร ทรงนำบุตรชายหญิงของข้าพเจ้าไปเป็นเชลย ข้าพเจ้าเคยเลี้ยงดูเขามาด้วยความยินดี แต่ต้องร้องไห้เป็นทุกข์เมื่อเขาต้องจากไป อย่าให้ผู้ใดยินดีเมื่อเห็นข้าพเจ้าต้องเป็นม่าย ถูกทุกคนทอดทิ้ง ข้าพเจ้าต้องอยู่โดดเดี่ยวเพราะบาปของบรรดาบุตร ที่หันหลังให้ธรรมบัญญัติของพระเจ้า
     ลูกเอ๋ย จงทำใจให้ดี จงร้องหาพระเจ้าเถิด เพราะพระองค์ผู้ทรงทดลองท่านจะทรงระลึกถึงท่าน ใจของท่านเคยออกห่างจากพระเจ้าฉันใด จงกลับมาแสวงหาพระองค์เป็นสิบเท่าฉันนั้นเถิด เพราะพระองค์ผู้ทรงนำความชั่วร้ายมาเหนือท่าน จะประทานความรอดพ้นและความยินดีแก่ท่านตลอดไป”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                ลก 10:17-24
       เวลานั้น ศิษย์ทั้งเจ็ดสิบสองคนกลับมาด้วยความชื่นชมยินดี ทูลว่า “พระเจ้าข้า แม้แต่ปีศาจก็ยังอ่อนน้อมต่อเราเดชะพระนามพระองค์” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ จงฟังเถิด เราให้อำนาจแก่ท่านที่จะเหยียบงูและแมงป่อง มีอำนาจเหนือกำลังทุกอย่างของศัตรู ไม่มีอะไรจะทำร้ายท่านได้ อย่าชื่นชมยินดีที่ปีศาจอ่อนน้อมต่อท่าน แต่จงชื่นชมยินดีมากกว่าที่ชื่อของท่านจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว”
      ในเวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงปลาบปลื้มพระทัยเดชะพระจิตเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้ปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรทรงเป็นใครนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาทรงเป็นใครนอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรทรงเปิดเผยให้รู้”
       แล้วพระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปยังบรรดาศิษย์ ตรัสกับเขาโดยเฉพาะว่า “นัยน์ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ท่านเห็น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ประกาศกและกษัตริย์จำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็น แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านได้ฟัง แต่ก็ไม่ได้ฟัง”


ข้อคิด

     ถ้อยคำของประกาศกบารุคสะท้อนให้เห็นถึงความซาบซึ้งในความกระหายที่จะให้อภัยของพระเจ้า ชาวอิสราเอลได้ทำผิดโดยการละทิ้งพระองค์ ประกาศกบอกพวกเขาว่า “ลูกเอ๋ย จงทำใจให้ดี จงร้องหาพระเจ้าเถิด” (บรค 4:27) การเชื้อเชิญชาวอิสราเอลให้กลับใจที่ท่านทำ ไม่ได้ออกมาจากความหวาดกลัวพระเจ้า แต่ออกมาจากความเชื่อที่ลึกซึ้งในความดีอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ “ใจของท่านเคยออกห่างจากพระเจ้าฉันใด จงกลับมาแสวงหาพระองค์เป็นสิบเท่าฉันนั้นเถิด” (บรค 4:28) พระเจ้าแห่งการให้อภัยสมควรได้รับการขอบพระคุณและสรรเสริญ จึงเป็นการเหมาะสมและถูกต้องที่เราจะยกจิตใจขึ้นหาพระองค์ด้วยความสำนึกว่า ในการให้อภัยของพระองค์ เราสัมผัสตัวตนที่แท้จริงของพระเจ้า พระเจ้าทรงให้อภัยแก่เรา เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ซึ่งการให้อภัยเป็นพระธรรมชาติอย่างหนึ่งของพระองค์

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown