มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2019 น.ยอห์นที่ 23 พระสันตะปาปา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยเอล                             ยอล 1:13-15,2:1-2
     บรรดาสมณะเอ๋ย จงใช้ผ้ากระสอบคาดสะเอว และร้องโอดครวญเถิด ท่านทั้งหลายผู้รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าที่พระแท่นบูชา จงร้องคร่ำครวญ ท่านผู้รับใช้พระเจ้าของข้าพเจ้า จงมาเถิด จงสวมผ้ากระสอบตื่นเฝ้าทั้งคืน เพราะธัญบูชาและการเทเหล้าองุ่นถวาย หายไปจากพระวิหารของพระเจ้าของท่าน จงประกาศให้มีการจำศีลอดอาหาร จงเรียกประชาชนมาชุมนุมกัน จงรวบรวมบรรดาผู้อาวุโสและผู้อาศัยทุกคนในแผ่นดิน ให้มายังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน และจงร้องขอความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “อนิจจาเอ๋ย วันนั้น วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ใกล้แล้ว วันนั้นจะมาถึง เป็นการทำลายจากพระผู้ทรงสรรพานุภาพ จงเป่าแตรเขาสัตว์ในศิโยน จงส่งสัญญาณเตือนบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา ให้ทุกคนที่อาศัยในแผ่นดินตัวสั่น เพราะวันขององค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะมา วันนั้นอยู่ใกล้แล้ว
     เป็นวันแห่งความมืดและความมืดมิด เป็นวันที่มีเมฆและความมืดทึบ ประชาชนจำนวนมากและทรงพลัง แผ่กระจายอยู่บนภูเขาต่างๆ เหมือนรุ่งอรุณ อย่างที่ไม่เคยมีมาในอดีต และจะไม่มีอีกในอนาคต จากชั่วอายุคนหนึ่งถึงอีกชั่วอายุคนหนึ่ง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                ลก 11:15-26
      เวลานั้น พระเยซูเจ้ากำลังทรงขับไล่ปีศาจซึ่งทำให้คนเป็นใบ้ เมื่อปีศาจออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ แต่บางคนกล่าวว่า “เขาขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” บางคนต้องการจับผิดพระองค์ จึงขอให้พระองค์ทรงแสดงเครื่องหมายจากสวรรค์ พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกภายใน อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ บ้านเรือนย่อมพังทลายทับกัน ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่า เราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านขับไล่มันด้วยอำนาจของใคร พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินลงโทษท่าน แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว เมื่อคนแข็งแรงมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านของตน ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย แต่ถ้าผู้ใดแข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมริบอาวุธที่เขามั่นใจนั้น และแบ่งปันข้าวของที่ปล้นได้”
      “ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ใครไม่รวบรวมสิ่งต่างๆ ไว้กับเรา ย่อมทำให้สิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป”
“เมื่อปีศาจออกไปจากมนุษย์แล้ว มันท่องเที่ยวไปในที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พัก เมื่อไม่พบ มันจึงคิดว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าจากมา’ เมื่อกลับมาถึง มันพบว่าบ้านนั้นปัดกวาดตกแต่งไว้เรียบร้อย มันจึงไปพาปีศาจอีกเจ็ดตนที่ชั่วร้ายยิ่งกว่ามันเข้ามาอาศัยที่นั่น สภาพสุดท้ายของมนุษย์ผู้นั้นจึงเลวร้ายกว่าเดิม”

 

ข้อคิด

     ภูมิหลังของบทอ่านแรกคือฝูงตั๊กแตนจำนวนมหึมาได้ทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหารของชาวอิสราเอล ประชาชนต้องอดอยากหิวโหย ไม่มีอาหารเพียงพอ ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น บรรดาฝูงสัตว์ต้องล้มตายเพราะขาดอาหารเช่นกัน ประกาศกโยเอลมองภัยพิบัติครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการลงโทษเพราะบาปที่ประชาชนได้กระทำผิดต่อพระเจ้า แต่เป็นการเตือนว่าสักวันหนึ่งพระเจ้าจะเสด็จมาพิพากษา ในวันนั้นสิ่งชั่วช้าทั้งหลายจะถูกทำลายจนหมดสิ้น ในท่ามกลางความอดอยากหิวโหย ประกาศกเตือนชาวอิสราเอลให้มีมุมมองที่กว้างมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเผชิญ ท่านพยายามทำให้พวกเขาเข้าใจว่าความอดอยากหิวโหยไม่ใช่ความชั่วร้ายที่ใหญ่ที่สุด ยังมีความชั่วร้ายที่ใหญ่กว่านี้ คือการต่อต้านและเป็นปรปักษ์กับพระเจ้าด้วยการกระทำผิดต่อพระองค์ นี่คือเหตุผลที่ท่านเรียกร้องพวกเขาให้กลับใจ หันกลับมาหาพระองค์และเป็นประชากรที่ซื่อสัตย์ของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2019 สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยเอล                               ยอล 4:12-21
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “นานาชาติจงรีบขึ้นมายังหุบเขาเยโฮชาฟัทเถิด เพราะที่นั่นเราจะนั่งพิพากษานานาชาติที่อยู่โดยรอบ จงใช้เคียวเกี่ยวเถิด เพราะข้าวที่จะต้องเกี่ยวสุกแล้ว จงมาเถิด จงเหยียบย่ำ เพราะบ่อย่ำองุ่นเต็มแล้ว ถังเก็บน้ำองุ่นล้นแล้ว เพราะความชั่วของเขาทั้งหลายมีมาก ชนจำนวนมาก ชนจำนวนมาก อยู่ในหุบเขาการตัดสิน เพราะวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว ในหุบเขาการตัดสิน
     ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดไป ดวงดาวก็อับแสง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปล่งพระสุรเสียงจากศิโยน ทรงร้องตะโกนจากกรุงเยรูซาเล็ม ท้องฟ้าและแผ่นดินสั่นสะเทือน แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยสำหรับประชากรของพระองค์ ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งสำหรับชาวอิสราเอล แล้วท่านทั้งหลายจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน เราพำนักอยู่ในศิโยน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา กรุงเยรูซาเล็มจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จะไม่มีคนต่างด้าวยึดครองเมืองนี้อีกเลย
      เมื่อวันนั้นมาถึง ภูเขาจะหลั่งเหล้าองุ่นใหม่ น้ำนมจะไหลตามเนินเขา ห้วยต่างๆ ของยูดาห์จะมีน้ำไหล น้ำจะไหลออกมาจากพุน้ำในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า และจะรดหุบเขาชิทธีม อียิปต์จะกลายเป็นที่รกร้าง เอโดมจะกลายเป็นถิ่นทุรกันดารแห้งแล้ง เพราะความทารุณที่เขาทั้งหลายเคยทำแก่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ เขาได้หลั่งโลหิตของผู้บริสุทธิ์ในแผ่นดินของตน แต่ยูดาห์จะมีผู้อาศัยอยู่ตลอดไป กรุงเยรูซาเล็มจะมีผู้อาศัยอยู่ทุกชั่วอายุคน เราจะแก้แค้นแทนโลหิตของเขา จะไม่ปล่อยผู้ทำผิดให้พ้นโทษ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพำนักในศิโยน”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                               ลก 11:27-28
     เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสอยู่นั้น สตรีผู้หนึ่งร้องขึ้นในหมู่ประชาชนว่า “หญิงที่ให้กำเนิดและให้นมเลี้ยงท่านช่างเป็นสุขจริง” แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “คนทั้งหลายที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติตามย่อมเป็นสุขกว่านั้นอีก”

 

ข้อคิด

     ในตัวพระนางมารีย์มีบางสิ่งที่สำคัญมากกว่าการเป็นมารดาของพระเยซูเจ้า อันที่จริง พระนางทรงเป็นมากกว่ามารดาของพระองค์ พระนางทรงเป็นศิษย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของพระองค์เท่าที่โลกเคยมีและแบบอย่างที่คริสตชนทั้งหลายควรเป็น ถ้าเราต้องการรู้ว่าอะไรคือความหมายที่แท้จริงของการเป็นศิษย์พระเยซูเจ้า เราควรมองไปที่พระนางมารีย์ ความเชื่อและความไว้วางใจในพระเยซูเจ้า ความรักยิ่งใหญ่ของพระนางที่มีต่อพระองค์ ความสุภาพถ่อมตนและความกระหายของพระนางที่จะรับใช้พระองค์และเพื่อนมนุษย์ เหนือสิ่งอื่นใดพระเยซูเจ้าทรงเป็นที่หนึ่งและศูนย์กลางชีวิตของพระนาง สิ่งเหล่านี้เป็นคุณธรรมที่เราต้องเลียนแบบเพื่อเป็นศิษย์ที่แท้จริงของพระเยซูเจ้า

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2019 น.กัลลิสตัสที่ 1 พระสันตะปาปาและมรณสักขี

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม      รม 1:1-7

จากเปาโล ผู้รับใช้ของพระคริสตเยซู ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกมาเป็นอัครสาวก และทรงมอบหมายให้ประกาศข่าวดีซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาไว้ทางประกาศกในพระคัมภีร์
     ข่าวดีนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ซึ่งโดยธรรมชาติมนุษย์ ทรงบังเกิดในราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด และโดยทางพระจิตเจ้าผู้บันดาลความศักดิ์สิทธิ์ ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระบุตรผู้ทรงอำนาจของพระเจ้าโดยการกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย พระองค์คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ด้วยเดชะพระเยซูคริสตเจ้านี้ เราได้รับพระหรรษทาน และภารกิจการเป็นอัครสาวกเพื่อนำประชาชาติทั้งหลายให้มาปฏิบัติตามความเชื่อ ทั้งนี้เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระนามพระองค์ และท่านทั้งหลายก็อยู่ในบรรดาบุคคลเหล่านี้ ท่านเป็นของพระเยซูคริสตเจ้าแล้วเพราะพระองค์ทรงเรียก
ถึงทุกท่านในกรุงโรมผู้ที่พระเจ้าทรงรักและทรงเรียกให้เป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
      ขอพระหรรษทานและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา สถิตกับท่านทั้งหลายเถิด

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 11:29-32
     เวลานั้น เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันมากขึ้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย อยากเห็นเครื่องหมาย แต่จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็นนอกจากเครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น โยนาห์เป็นเครื่องหมายสำหรับชาวนีนะเวห์ฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเป็นเครื่องหมายสำหรับคนยุคนี้ฉันนั้น ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก ในวันพิพากษา ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำเทศน์ของประกาศกโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก”

 

ข้อคิด

     พระเยซูเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าบรรดาประกาศกหรือผู้มีชื่อเสียงทุกคนในพันธสัญญาเดิม ไม่ว่าจะเป็นประกาษกโยนาห์หรือกษัตริย์ซาโลมอน พระองค์ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความรอดพ้น ซึ่งเป็นของประทานล้ำค่าที่สุดเท่าที่มนุษย์จะมีได้ ของประทานนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกิจการดีที่เราทำ เราไม่ได้รับการช่วยให้รอดพ้นโดยการถือตามบทบัญญัติหรือข้อบังคับทุกอย่างของพระศาสนจักร พระเยซูเจ้าประทานความรอดพ้นหรือชีวิตนิรันดรแก่เราแบบให้เปล่า เราไม่สามารถซื้อความรอดพ้น เพราะไม่มีสิ่งใดหรือกิจการดีใดที่มีค่าคู่ควรกับของประทานยิ่งใหญ่นี้ เมื่อได้รับแบบให้เปล่า เราควรตระหนักว่าของประทานล้ำค่านี้เป็นเครื่องหมายแห่งความยิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้าและความรักไร้ขอบเขตที่พระองค์ทรงมีต่อเรา ความรักควรตอบแทนด้วยความรัก ให้เราพยายามรักพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจและสติปัญญา และให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเราเป็นการสรรเสริญและขอบพระคุณพระองค์

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2019 สัปดาห์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือพงษ์กษัตริย์ ฉบับที่สอง                     2 พกษ 5:14-17
     นาอามานจึงลงไปจุ่มตัวในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้งตามที่คนของพระเจ้าบอก แล้วเนื้อหนังของเขาก็หายจากโรค สะอาดเหมือนผิวของเด็กเล็กๆ
     นาอามานกับผู้ติดตามทุกคนกลับไปหาคนของพระเจ้า มายืนต่อหน้าเขา กล่าวว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดทั่วแผ่นดิน นอกจากพระเจ้าของอิสราเอลเท่านั้น ขอท่านกรุณารับของกำนัลจากผู้รับใช้ของท่านเถิด” เอลีชาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งข้าพเจ้ารับใช้ทรงพระชนม์อยู่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่รับสิ่งใดจากท่านฉันนั้น” นาอามานยังรบเร้าให้เอลีชารับ แต่เขาปฏิเสธไม่ยอมรับ นาอามานจึงขอร้องว่า “ถ้าท่านไม่ยอมรับ ขอให้ข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของท่านนำล่อสองตัวบรรทุกดินจากที่นี่กลับบ้าน เพราะผู้รับใช้ของท่านจะไม่ถวายเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องบูชาใดๆ แด่พระเจ้าอื่น นอกจากแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น

 

เพลงสดุดี                                                              สดด 68:1,2-3,4-6
     ก) พระเจ้าทรงลุกขึ้น ศัตรูของพระองค์ก็กระจัดกระจาย
ผู้ที่เกลียดชังพระองค์หลบหนีไปจากพระพักตร์พระองค์
     ข) พระองค์ทรงไล่เขากระจัดกระจายเหมือนควันที่จางหายไป
ขี้ผึ้งย่อมละลายยามต้องไฟฉันใด
คนชั่วย่อมพินาศไปเมื่อพระเจ้าเสด็จมาฉันนั้น
ผู้ชอบธรรมจะยินดีร่าเริงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
และจะร้องเพลงด้วยความปรีดา
     ค) จงร้องเพลงถวายพระเจ้าเถิด จงร้องเพลงสดุดีสรรเสริญพระนามพระองค์
จงเตรียมทางแด่พระองค์ผู้เสด็จมาโดยมีเมฆเป็นพาหนะ
พระนามพระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงมีความสุขเฉพาะพระพักตร์เถิด
พระเจ้าในที่ประทับศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
ทรงเป็นบิดาของลูกกำพร้า ทรงปกป้องหญิงม่าย
พระองค์ประทานบ้านเรือนให้คนเดียวดายพำนักอยู่
ทรงนำผู้ต้องขังออกมารับความรุ่งเรือง
แต่ทรงทิ้งคนกบฏให้อยู่ในที่แห้งแล้ง

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง     2 ทธ 2:8-13
     ลูกที่รักยิ่ง จงระลึกถึง “พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด” ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศ เพราะข่าวดีนี้เอง ข้าพเจ้าจึงต้องทนทุกข์จนต้องถูกจองจำเหมือนเป็นอาชญากร แต่พระวาจาของพระเจ้าจะถูกจองจำไม่ได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงทนทุกสิ่งเพื่อเห็นแก่ผู้ที่ได้รับเลือกสรร เพื่อพวกเขาจะได้รับความรอดพ้นซึ่งอยู่ในพระคริสตเยซู พร้อมกับชีวิตในสิริรุ่งโรจน์ตลอดนิรันดรด้วย
ต่อไปนี้คือถ้อยคำที่เชื่อถือได้
     ถ้าเราตายพร้อมกับพระองค์ เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์
ถ้าเราอดทนมั่นคง เราย่อมจะครองราชย์พร้อมกับพระองค์
ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ย่อมจะทรงปฏิเสธเรา
ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ พระองค์ก็ยังทรงซื่อสัตย์ต่อไป
เพราะจะทรงปฏิเสธพระองค์ไม่ได้

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 17:11-19
     ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มนั้น พระองค์เสด็จผ่านแคว้นสะมาเรียและกาลิลี เมื่อเสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนโรคเรื้อนสิบคนเข้ามาเฝ้าพระองค์ ยืนอยู่ห่างๆ ร้องตะโกนว่า “พระเยซู พระอาจารย์ โปรดสงสารพวกเราเถิด” พระองค์ทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสกับเขาว่า “จงไปแสดงตนแก่บรรดาสมณะเถิด” ขณะที่เขากำลังไป เขาก็หายจากโรค คนหนึ่งในสิบคนนี้ เมื่อพบว่าตนหายจากโรคแล้ว ก็กลับมา พลางร้องตะโกนสรรเสริญพระเจ้า ซบหน้าลงแทบพระบาท ขอบพระคุณพระองค์ เขาผู้นี้เป็นชาวสะมาเรีย พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ทั้งสิบคนหายจากโรคมิใช่หรือ อีกเก้าคนอยู่ที่ใด ไม่มีใครกลับมาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้านอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว”

ข้อคิด

     การกระทำของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ดูเหมือนว่าเป็นการไม่เคารพบทบัญญัติของชาวยิว ที่ห้ามไม่ให้ติดต่อสัมพันธ์กับคนโรคเรื้อน เพราะจะทำให้มีมลทิน เราต้องเข้าใจว่าพระเยซูเจ้าไม่ใช่คนประเภทต่อต้านกฎเกณฑ์ของสังคมหรือพวกเสรีนิยมแบบสุดโต่ง แต่ที่ทรงกระทำเช่นนั้นเพราะพระองค์ทรงต้องการชี้ให้เราเห็นว่า กฎแห่งความรักมีความสำคัญและคุณค่าสูงส่งกว่ากฎเกณฑ์ทางสังคมหรือทางพิธีกรรมใดๆทั้งสิ้น ชีวิตและความรอดพ้นของมนุษย์ต้องมาก่อนกฎเกณฑ์ที่สังคมเป็นคนกำหนดขึ้น ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงต้องการเปลี่ยนท่าทีของเราต่อคนที่สังคมรังเกียจ เราต้องยอมรับการท้าทายนี้จากพระองค์ ไม่ใช่ในเรื่องของคนโรคเรื้อนที่เราหลายคนไม่เคยเห็นด้วยซ้ำเท่านั้น แต่ในเรื่องของผู้คนมากมายที่ได้รับการดูถูกเหยียดหยามและถูกทอดทิ้งจากเพื่อนร่วมสมัยของเรา โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเอดส์ และแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2019 ระลึกถึง น.เทเรซาแห่งอาวีลา พรหมจารีและนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม      รม 1:16-25
     พี่น้อง ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องละอายต่อข่าวดี เพราะนี่คืออานุภาพของพระเจ้าซึ่งนำความรอดพ้นให้แก่ทุกคนที่มีความเชื่อ ให้แก่ชาวยิวก่อน และให้แก่คนต่างชาติด้วยเช่นเดียวกัน เพราะความเที่ยงธรรมที่พระเจ้าช่วยให้รอดพ้นถูกเปิดเผยในข่าวดีนี้ ความเที่ยงธรรมดังกล่าวขึ้นอยู่กับความเชื่อ และนำไปสู่ความเชื่อดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ผู้ชอบธรรมจะมีชีวิตโดยอาศัยความเชื่อ
     พระเจ้าจากสวรรค์ทรงแสดงให้มนุษย์เห็นการลงโทษ ความไม่เคารพนับถือพระเจ้าและความอธรรมทุกชนิดของพวกเขาที่ปิดบังความจริงในความอธรรมของตน ทั้งๆ ที่พระเจ้าทรงทำให้สิ่งที่รู้ได้เกี่ยวกับพระองค์ปรากฏชัดอยู่แล้ว กล่าวคือ ตั้งแต่เมื่อทรงสร้างโลก คุณลักษณะที่ไม่อาจแลเห็นได้ของพระเจ้า คือพระอานุภาพนิรันดรและเทวภาพของพระองค์ปรากฏอย่างชัดเจนแก่ปัญญามนุษย์ในสิ่งที่ทรงสร้าง ดังนั้น คนเหล่านี้จึงไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ พวกเขารู้จักพระเจ้า แต่ไม่ได้เคารพบูชาพระองค์เป็นพระเจ้าหรือขอบพระคุณพระองค์ ความคิดหาเหตุผลของเขากลับใช้การไม่ได้ และจิตใจที่ไม่ยอมเข้าใจกลับมืดบอดลง เขาคิดว่าตนเป็นคนฉลาด แต่ในความเป็นจริง เขากลับโง่จนถึงกับ นำพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าผู้ทรงเป็นอมตะมาแลกกับภาพเลียนแบบ คือภาพมนุษย์ที่ไม่เป็นอมตะ ภาพสัตว์ปีก ภาพสัตว์สี่เท้า หรือภาพสัตว์เลื้อยคลาน
      ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงทอดทิ้งเขาให้ตกอยู่ในความปรารถนาฝ่ายต่ำของจิตใจที่จะประพฤติชั่ว ล่วงเกินร่างกายของกันและกัน เนื่องจากเขาแลกความจริงของพระเจ้ากับความเท็จ หันไปนมัสการสิ่งสร้างแทนพระผู้สร้างผู้สมควรได้รับการถวายพระพรตลอดนิรันดร อาเมน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                ลก 11:37-41
     เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสจบแล้ว ชาวฟาริสีคนหนึ่งทูลเชิญพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารที่บ้าน พระองค์จึงเสด็จเข้าไปประทับที่โต๊ะ ชาวฟาริสีคนนั้นประหลาดใจเมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่ทรงล้างพระหัตถ์ตามธรรมเนียมก่อนเสวยพระกระยาหาร องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “ชาวฟาริสีเอ๋ย ท่านล้างถ้วยชามด้านนอก แต่ใจของท่านเต็มไปด้วยของที่ขโมยมาและความชั่วร้าย คนโง่เอ๋ย พระเจ้าผู้ทรงสร้างภายนอก มิได้ทรงสร้างภายในด้วยหรือ ถ้าจะให้ดีแล้ว จงให้สิ่งที่อยู่ภายในเป็นทานเถิด แล้วทุกสิ่งก็จะสะอาดสำหรับท่าน”

 

ข้อคิด

      เราสามารถเรียนรู้บางสิ่งเกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งจากผลงานของเขา ความจริงนี้สามารถประยุกต์ใช้กับศิลปิน จิตรกร พ่อครัว หรือช่างฝีมือทั้งหลาย รวมทั้งพระเจ้าด้วย นักบุญเปาโลบอกว่าเราสามารถรู้จักพระเจ้าได้จากสิ่งสร้างของพระองค์ “พระอานุภาพนิรันดรและเทวภาพของพระองค์ปรากฏอย่างชัดเจนแก่ปัญญามนุษย์ในสิ่งที่ทรงสร้าง” (รม 1:20) ทุกสิ่งในจักรวาลล้วนเป็นผลงานจากฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า พระองค์ทรงสรรค์สร้างสรรพสิ่งต่างๆเพื่อเรามนุษย์ ทุกสิ่งที่เรามีบนโลกนี้จึงเป็นของประทานจากพระองค์ ให้เราพยายามเรียนรู้ความดี ความยิ่งใหญ่ พระอานุภาพ และปรีชาญาณของพระเจ้าจากธรรมชาติที่อยู่รอบข้างเรา และให้เราตอบสนองต่อของประทานเหล่านี้ด้วยการถวายพระพร สรรเสริญ และขอบพระคุณพระองค์

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown