- รายละเอียด
-
หมวด: Uncategorised
-
เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์, 14 มีนาคม 2557 03:32
-
ฮิต: 2805
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 4:32-37
กลุ่มผู้มีความเชื่อดำเนินชีวิตเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนมีเป็นกรรมสิทธิ์ของตน แต่ทุกสิ่งเป็นของส่วนรวมบรรดาอัครสาวกยังคงเป็นพยานยืนยันถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเครื่องหมายอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ และทุกคนได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง
ในกลุ่มของเขาไม่มีใครขัดสน ผู้ใดมีที่ดินหรือบ้านก็ขายและมอบเงินที่ได้ ให้บรรดาอัครสาวก เพื่อแจกจ่ายให้ผู้มีความเชื่อแต่ละคนตามความต้องการ
ชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ บรรดาอัครสาวกเรียกเขาว่า บารนาบัส ซึ่งแปลว่า บุตรแห่งการให้กำลังใจ เขาเป็นคนเผ่าเลวีชาวเกาะไซปรัส เขามีที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเขาขาย นำเงินมามอบให้บรรดาอัครสาวกด้วย
พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 3:7-15
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องเกิดใหม่จากเบื้องบน ลมย่อมพัดไปในที่ที่ลมต้องการ ท่านได้ยินเสียงลมพัดแต่ไม่รู้ว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้าก็เป็นเช่นนี้” นิโคเดมัสทูลถามพระองค์ว่า “เหตุการณ์เช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชาวอิสราเอล ท่านไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องที่เรารู้ และเป็นพยานถึงเรื่องที่เราเห็น แต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมรับคำยืนยันของเรา ถ้าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเมื่อเราพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับโลกนี้ ท่านจะเชื่อได้อย่างไรเมื่อเราจะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสวรรค์
ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์คือบุตรแห่งมนุษย์เท่านั้น โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร”
ข้อคิด
งูทองสัมฤทธิ์ที่โมเสสยกขึ้นในถิ่นทุรกันดารซึ่งทำให้ชาวอิสราเอลที่ถูกงูกัดและมองดูรอดชีวิตเป็นเครื่องหมายล่วงหน้าถึงกางเขนของพระคริสตเจ้าซึ่งปลดปล่อยมวลมนุษย์ให้รอดพ้นจากอำนาจของบาปและความตายและนำชีวิตนิรันดรมาสู่ผู้ที่เชื่อในพระองค์ โดยผ่านทางการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้เราเป็นอิสระจากบาปและอภัยความผิดของเราเท่านั้นแต่พระองค์ทรงทำให้เรามีชีวิตพระโดยทางพระจิตเจ้าเพื่อเราจะมีส่วนร่วมในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ด้วย พระจิตเจ้าองค์เดียวกันนี้ยังประทานพระพรแห่งความกล้าหาญแก่เราเพื่อเราจะสามารถประกาศและปกป้องข่าวดีแห่งความรอดพ้นด้วยคำพูดและกิจการ และไม่ละอายที่จะประกาศต่อหน้ามวลมนุษย์เรื่องกางเขนของพระคริสตเจ้าอีกต่อไป
- รายละเอียด
-
หมวด: Uncategorised
-
เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์, 14 มีนาคม 2557 03:33
-
ฮิต: 3029
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 5:17-26
ในครั้งนั้น มหาสมณะและทุกคนที่อยู่กับเขาคือกลุ่มชาวสะดูสี มีความอิจฉาอย่างยิ่ง จึงจับกุมบรรดาอัครสาวกและจองจำไว้ในคุกสาธารณะ
เวลากลางคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปิดประตูคุก นำบรรดาอัครสาวกออกไป สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงไปที่พระวิหาร ประกาศพระวาจาเกี่ยวกับวิถีชีวิตใหม่นี้ ให้ประชาชนฟังเถิด” เมื่อบรรดาอัครสาวกได้ฟังดังนั้น ก็เข้าไปในพระวิหารตั้งแต่เช้าตรู่และเริ่มสั่งสอนที่นั่น
เมื่อมหาสมณะและทุกคนที่อยู่กับเขามาถึง ก็เรียกประชุมสภาซันเฮดรินและบรรดาผู้อาวุโสทุกคนของอิสราเอล แล้วให้พนักงานไปที่คุกนำตัวบรรดาอัครสาวกออกมา แต่เมื่อพนักงานไปถึง ก็ไม่พบบรรดาอัครสาวกอยู่ในคุกแล้ว จึงกลับมารายงานว่า “พวกเราพบคุกปิดไว้อย่างแน่นหนาและคนเฝ้าก็ยืนรักษาการณ์อยู่ที่ประตู แต่เมื่อเราเปิดประตูเข้าไปก็ไม่พบผู้ใดเลยสักคน” เมื่อนายทหารรักษาพระวิหารและบรรดาหัวหน้าสมณะได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ต่างรู้สึกสับสนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะนั้นเอง มีคนหนึ่งมาบอกว่า “ดูซิ คนเหล่านั้นที่ท่านทั้งหลายจองจำไว้ในคุก กำลังยืนสั่งสอนประชาชนอยู่ในพระวิหาร” นายทหารรักษาพระวิหารพร้อมกับนายทหารยามจึงไปนำบรรดาอัครสาวกมาโดยไม่ใช้กำลัง เพราะเกรงประชาชนจะขว้างด้วยก้อนหิน
พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 3:16-21
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดรเพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้นผู้ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้มีความเชื่อในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คือความสว่างเข้ามาในโลกนี้แล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการกระทำของเขานั้นชั่วร้าย ทุกคนที่ทำความชั่วย่อมเกลียดความสว่างและไม่เข้าใกล้ความสว่าง เกรงว่าการกระทำของตนจะปรากฏชัดแจ้งแต่ผู้ที่ปฏิบัติตามความจริง ย่อมเข้าใกล้ความสว่าง เพื่อให้เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นได้ทำโดยพึ่งพระเจ้า”
ข้อคิด
พระเยซูเจ้าทรงเป็นของประทานที่ล้ำค่าที่สุดที่พระเจ้าทรงมอบแก่เราด้วยความรัก ดังนั้น ให้ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราเป็นพลังขับเคลื่อนให้เรารักซึ่งกันและกันเหมือนที่พระเจ้าทรงรักเราก่อนเราจึงควรเป็นคนแรกที่จะรักและบอกรัก เป็นคนแรกที่กลับมาคืนดี ถ้ามีเรื่องผิดข้องหมองใจกัน เป็นคนแรกที่มองเห็นความทุกข์ของคนอื่น ยิ่งกว่านั้นความรักของเราต้องเป็นความรักแบบให้เปล่าพระเจ้าทรงรักเราไม่ใช่เพราะว่าเราน่ารัก ดี เก่ง หรือมีความสามารถสูง แต่เพราะเราเป็นเราเท่านั้นเอง และที่สำคัญ ความรักของเราต้องเป็นความรักที่เสียสละและไม่เห็นแก่ตัว พร้อมที่จะให้อภัยและให้ทุกสิ่งแม้แต่ชีวิตสำหรับคนที่เรารัก จำไว้เสมอว่าความรักชนะทุกอย่าง