มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม 2021 สัปดาห์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                          อพย 16:2-4,12-15
     ชุมชนชาวอิสราเอลต่างต่อว่าโมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร ชาวอิสราเอลพูดกับเขาทั้งสองว่า “พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าประหารพวกเราในแผ่นดินอียิปต์เมื่อนั่งอยู่รอบหม้อเนื้อและกินอิ่มยังดีกว่าที่ท่านพาพวกเราออกมาในถิ่นทุรกันดารนี้ เพื่อให้พวกเราทุกคนอดตาย”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสแก่โมเสสว่า “ดูซิ เราจะบันดาลให้มีอาหารตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนให้ท่านทั้งหลายกิน ทุกวันประชากรต้องออกไปเก็บอาหารให้พอกินในวันนั้น เราจะได้ทดลองดูว่าเขาปฏิบัติตามบัญญัติของเราหรือไม่
เราได้ยินคำต่อว่าของชาวอิสราเอลแล้ว จงบอกเขาดังนี้ว่า เวลาพลบค่ำ ท่านทั้งหลายจะมีเนื้อกิน และเวลาเช้า ท่านจะมีอาหารกินจนอิ่ม แล้วท่านทั้งหลายจะรู้ว่า เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน” เย็นวันนั้น ฝูงนกคุ่มบินมาจนเต็มค่าย ในเวลาเช้า มีน้ำค้างแผ่อยู่ทั่วไปรอบค่ายพัก เมื่อน้ำค้างระเหยแล้ว ก็เห็นมีเกล็ดเป็นเม็ดเล็ก ๆ บนผิวดินในถิ่นทุรกันดาร เหมือนน้ำค้างที่จับแข็ง เมื่อชาวอิสราเอลเห็น เขาไม่รู้ว่าเป็นอะไร จึงถามกันว่า “นี่เป็นอะไร” โมเสสบอกเขาว่า “นี่แหละอาหารที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ท่านกิน”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส      อฟ 4:17,20-24
     พี่น้อง ข้าพเจ้าขอกล่าวและย้ำเตือนท่านทั้งหลายในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า จงอย่าดำเนินชีวิตโดยไร้ความคิดดังที่คนต่างศาสนากระทำกันอีกต่อไป
     แต่ท่านมิได้มารู้จักพระคริสตเจ้าเช่นนี้ ท่านได้ฟังเรื่องราวและได้รู้จักองค์พระคริสตเจ้าตามความจริงที่ปรากฏอยู่ในพระเยซูเจ้าแล้ว ท่านจงถอดสภาพมนุษย์เก่า เลิกประพฤติตนเลวทรามตามราคตัณหาที่หลอกให้หลงไป จงมีจิตใจและความรู้สึกนึกคิดอย่างใหม่ จงสวมใส่สภาพมนุษย์ใหม่ซึ่งพระเจ้าได้ทรงเนรมิตให้เหมือนพระองค์ มีความชอบธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากความจริง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 6:24-35
     เวลานั้น เมื่อประชาชนเห็นว่าทั้งพระเยซูเจ้า และบรรดาศิษย์ไม่ได้อยู่ที่นั่นอีก ก็พากันลงเรือเหล่านั้น มุ่งไปที่เมืองคาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซูเจ้า เมื่อได้พบพระองค์ที่ฟากโน้นแล้ว จึงทูลถามว่า ‘พระอาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไร?’ พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านแสวงหาเรา มิใช่เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป แต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้ อาหารนี้บุตรแห่งมนุษย์จะประทานให้แก่ท่าน เพราะพระเจ้าพระบิดาทรงประทับตรารับรองบุตรแห่งมนุษย์ไว้แล้ว”
      เขาเหล่านั้นจึงทูลว่า ‘พวกเราจะต้องทำอะไรเพื่อให้กิจการของพระเจ้าสำเร็จ?’ พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า ‘กิจการของพระเจ้าก็คือให้ท่านทั้งหลายเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา’ ประชาชนจึงทูลถามว่า ‘ท่านกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์อันใดเพื่อพวกเราจะได้เห็น และจะได้เชื่อในท่าน? ท่านทำอะไรเล่า? บรรพบุรุษของเราได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดาร ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ประทานขนมปังจากสวรรค์ให้เขากิน’
      พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้ขนมปังจากสวรรค์แก่ท่าน แต่เป็นพระบิดาของเราที่ประทานขนมปังแท้จากสวรรค์ให้ท่าน เพราะว่าขนมปังของพระเจ้า คือขนมปังซึ่งลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก”
     ประชาชนจึงทูลว่า ‘นายขอรับ โปรดให้ขนมปังนี้แก่พวกเราเสมอเถิด’
พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย

 

ข้อคิด
     “ท่านแสวงหาเรา มิใช่เพราะได้เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม” พระวาจานี้สื่อความหมายว่า มนุษย์มักสลวนสนใจแต่เพียงความพอใจฝ่ายโลก มนุษย์แสวงหาผลประโยชน์จากพระเจ้า และหากพระเจ้าไม่ให้ประโยชน์ฝ่ายโลกใดๆตามที่ตนต้องการ มนุษย์ก็คงไม่ต้องการพระเจ้าอีกต่อไป และอันที่จริงแล้ว มนุษย์ก็ไม่เคยพอกับผลประโยชน์ฝ่ายโลก นี่ช่างเป็นสิ่งที่น่ากลัว นักบุญออกัสตินบ่อยๆจะจบมิสซาของท่านด้วยคำพูดที่ว่า “จงเป็นสิ่งที่ท่านกิน” กล่าวคือ หากท่านกินแต่อาหารฝ่ายโลก ท่านก็จะเป็น”โลก”ที่จะพินาศไปสักวันหนึ่ง แต่หากท่านรับประทานองค์พระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท ถ้าท่านรับอาหารฝ่ายวิญญาณ ถ้าท่านรับประทานความรัก ท่านก็จะเป็นความรัก ท่านจะเป็นการประทับอยู่ของพระคริสตเจ้าในโลก ท่านจะเป็นตัวแทนของพระองค์ที่จะคอยดูแลเอาใจใส่ความต้องการของเพื่อนมนุษย์ ด้วยการแบ่งปัน ช่วยเหลือ

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2021 น.เอวเซบิโอ แห่งแวร์แชลลี พระสังฆราช น.เปโตร ยูเลียน ไรมาร์ด พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี                                     กดว 11:4ข-15
     ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลก็บ่นอีกว่า “พวกเราอยากจะได้เนื้อมากินเหลือเกิน จำได้ไหมว่า เมื่ออยู่ในประเทศอียิปต์ พวกเราเคยกินสิ่งใดบ้างเราเคยกินปลา แตงกวา แตงโม ต้นหอม หัวหอม และกระเทียม โดยไม่ต้องซื้อ มาบัดนี้ เรี่ยวแรงของเราหมดสิ้นไป เราไม่มีอะไรกินเลย ตาของเรามองเห็นแต่มานนาเท่านั้น”
     มานนามีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชีขาว มีสีเหลืองเหมือนยางไม้ตะคร้ำ ประชากรจะออกไปเก็บ นำมาโม่หรือใส่ครกตำให้ละเอียดเป็นแป้ง แล้วต้มในหม้อหรือทำเป็นขนมแผ่น มีรสเหมือนขนมปังเคล้าน้ำมันมะกอก มานนาตกลงมาเหนือค่ายพร้อมกับน้ำค้างในเวลากลางคืน
      โมเสสได้ยินประชากรบ่นและร้องไห้ ขณะที่แต่ละครอบครัวมายืนออกันอยู่ที่ทางเข้ากระโจมของตน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง และโมเสสรู้สึกกลุ้มใจด้วย เขาทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “เหตุไฉนพระองค์ทรงทำกับผู้รับใช้ของพระองค์เช่นนี้ ทำไมพระองค์ไม่พอพระทัยข้าพเจ้าเล่า ทำไมพระองค์จึงทรงให้ข้าพเจ้าต้องมารับแบกภาระดูแลประชากรทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าได้ตั้งครรภ์และคลอดประชากรทั้งหมดนี้ออกมาหรือ” พระองค์จึงตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “จงอุ้มเขาไว้ในอ้อมอกเหมือนแม่นมอุ้มทารกไว้ พาเขาไปจนถึงแผ่นดินที่เราสาบานไว้ว่าจะมอบให้แก่บรรพบุรุษของเขา” ข้าพเจ้าจะไปหาเนื้อที่ไหนมาให้ประชากรทั้งหมดนี้กินได้ เขาทั้งหลายมาร้องคร่ำครวญต่อข้าพเจ้าว่า “จงหาเนื้อมาให้พวกเรากินเถิด” ข้าพเจ้าคนเดียวไม่อาจแบกภาระดูแลประชากรทั้งหมดนี้ได้อีกแล้ว ภาระนี้หนักเกินไปสำหรับข้าพเจ้า ถ้าพระองค์ทรงประสงค์จะมอบภาระนี้แก่ข้าพเจ้า ขอทรงพระกรุณาประหารข้าพเจ้าเสียเถิด ข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ต่อไป”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                             มธ 14:13-21
     เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบข่าวความตายของยอห์น บัปติสตา ได้เสด็จออกจากที่นั่น ลงเรือไปยังที่สงัดตามลำพัง เมื่อประชาชนรู้ต่างก็เดินเท้าจากเมืองต่าง ๆ มาเฝ้าพระองค์ เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร และทรงรักษาผู้เจ็บป่วยให้หายจากโรค
      เมื่อถึงเวลาเย็น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลพระองค์ว่า “สถานที่นี้เป็นที่เปลี่ยว และเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนไปตามหมู่บ้านเพื่อซื้ออาหารเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด” เขาทูลตอบว่า “ที่นี่เรามีขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น” พระองค์จึงตรัสว่า “เอามาให้เราที่นี่เถิด” พระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้นหญ้า ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวขึ้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า ทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกแก่ประชาชน ทุกคนได้กินจนอิ่ม แล้วยังเก็บเศษที่เหลือได้ถึงสิบสองกระบุง จำนวนคนที่กินมีผู้ชายประมาณห้าพันคน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก

 

ข้อคิด
     อัศจรรย์การทวีขนมปังเลี้ยงห้าพันคนนี้ เป็นอัศจรรย์เดียวที่บันทึกไว้ในพระวรสารทั้งสี่เล่ม นี่เป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่า อัศจรรย์นี้ได้เกิดขึ้นจริงๆและมีความสำคัญต่อชีวิตคริสตชน สิ่งที่ควรได้รับความสนใจ มิใช่เพียงความยิ่งใหญ่ของกิจการที่เกิดขึ้นนี้เท่านั้น แต่เป็น “ความรู้สึกแห่งความเมตตาสงสาร” ของพระเยซูเจ้า ที่ทรงว่องไวในการรับรู้ความยากลำบากและความต้องการของเพื่อนมนุษย์ แม้เราจะเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆที่มีความสามารถจำกัด แต่เราก็ยังสามารถแบ่งปันช่วยเหลือไปตามความสามารถ ทำให้เรานึกถึงคำเตือนใจของท่านนักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตาที่ว่า “ท่านอาจไม่สามารถทำกิจการที่ยิ่งใหญ่ แต่ท่านสามารถทำกิจการเล็กๆด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ได้” อีกตอนหนึ่งท่านเตือนใจว่า “ถ้าท่านไม่สามารถเลี้ยงคนเป็นร้อยคนได้ ท่านก็เลี้ยงแค่คนเดียวก็ได้”

วันพุธที่ 4 สิงหาคม 2021 ระลึกถึง น.ยอห์น มารีย์ เวียนเนย์ พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี                                     กดว 13:1-2ก,25-14:1,26-30,34-35
     ในครั้งนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จงส่งคนไปสำรวจแผ่นดินคานาอันที่เรากำลังจะมอบให้แก่ชาวอิสราเอล”
หลังจากสำรวจดินแดนนั้นได้สี่สิบวัน เขาก็กลับมาหาโมเสส อาโรน และชุมชนชาวอิสราเอลที่คาเดช ในถิ่นทุรกันดารปาราน เขารายงานสิ่งที่ตนเห็นให้ทุกคนในที่ประชุมรู้ และนำผลิตผลของแผ่นดินมาให้ทุกคนดู เขาบอกโมเสสว่า “พวกเราได้สำรวจแผ่นดินนั้นตามที่ท่านให้ทำ แผ่นดินนั้นเป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ นี่คือผลิตผลของแผ่นดินนั้น แต่ประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นั่นมีกำลังเข้มแข็ง เมืองก็ใหญ่โตและมีป้อมปราการป้องกันอย่างดี พวกเรายังเห็นลูกหลานของยักษ์อานาคอยู่ที่นั่นด้วย ชนชาวอามาเลขอาศัยอยู่ในดินแดนเนเกบ ส่วนชาวฮิตไทต์ เยบุสและอาโมไรต์อาศัยอยู่ในดินแดนแถบภูเขา ชาวคานาอันอาศัยอยู่ตามชายทะเลและริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”
     คาเลบสั่งประชาชนที่อยู่กับโมเสสให้เงียบพูดว่า “พวกเราต้องรีบขึ้นไปยึดครองแผ่นดิน พวกเราสามารถทำได้อย่างแน่นอน” แต่ผู้ที่ไปสำรวจกับเขาพูดว่า “พวกเราไม่อาจเข้าโจมตีชนเหล่านี้ได้ เพราะเขาแข็งแรงกว่าพวกเรามาก” เขาจึงแพร่ข่าวเท็จไปในหมู่ชาวอิสราเอลถึงแผ่นดินที่เขาไปสำรวจมาว่า “แผ่นดินที่เราไปสำรวจมานั้นเป็นแผ่นดินที่กลืนกินผู้อาศัยของตน ผู้คนที่พวกเราไปเห็นมามีรูปร่างสูงมาก พวกเราเห็นยักษ์ที่นั่นด้วย เป็นลูกหลานของยักษ์อานาค เรารู้สึกตัวว่าเหมือนตั๊กแตน และเขาคงจะมองเราเช่นนั้นด้วย” ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดเริ่มตะโกนเสียงดังและร่ำไห้ตลอดทั้งคืน
      องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสและอาโรนอีกว่า “ชุมชนชั่วร้ายนี้จะบ่นว่าเราอีกนานเท่าไร เราได้ยินชาวอิสราเอลบ่นว่าเรามานานแล้ว จงบอกเขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราสาบานว่าจะกระทำกับท่านทั้งหลายตามที่เราได้ยินท่านพูด ท่านทุกคนจะต้องตายในถิ่นทุรกันดารนี้ ผู้ที่จดชื่อในทะเบียนจำนวนประชากรซึ่งได้บ่นว่าเราและจะต้องตายที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป เราสาบานว่า แผ่นดินที่เราสัญญาจะให้ท่านเข้าพำนักอยู่นั้น จะไม่มีท่านผู้ใดเข้าไปอาศัยอยู่ นอกจากคาเลบบุตรของเยฟุนเนห์ และโยชูวาบุตรของนูนเท่านั้น ท่านทั้งหลายใช้เวลาสี่สิบวันสำรวจแผ่นดิน ท่านจะต้องรับโทษเป็นเวลาสี่สิบปี โดยคิดหนึ่งวันเป็นหนึ่งปี แล้วท่านจะรู้ว่าการทรยศต่อเรานั้นหมายความว่าอย่างไร เรา องค์พระผู้เป็นเจ้าได้สาบานจะทำเช่นนี้กับชุมชนชั่วร้ายที่ได้รวมหัวกันต่อต้านเรา เขาทุกคนจะต้องตายในถิ่นทุรกันดารนี้”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                              มธ 15:21-28
      เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่น มุ่งไปเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน ทันใดนั้น หญิงชาวคานาอันคนหนึ่งจากเขตแดนนี้ ร้องว่า “โอรสกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วยเถิด บุตรสาวของข้าพเจ้าถูกปีศาจสิงต้องทรมานมาก” แต่พระองค์มิได้ตรัสตอบประการใด บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลพระองค์ว่า “โปรดประทานตามที่นางทูลขอเถิด เพราะนางร้องตะโกนตามหลังพวกเรามา” พระองค์ทรงตอบว่า “เราถูกส่งมาเพื่อแกะที่พลัดหลงของวงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น แต่นางเข้ามากราบพระองค์ทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด” พระองค์ทรงตอบว่า “ไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูก มาโยนให้ลูกสุนัขกิน” นางทูลว่า “ถูกแล้วพระเจ้าข้า แต่แม้แต่ลูกสุนัขก็ยังได้กินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนาย” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่ จงเป็นไปตามที่เจ้าปรารถนาเถิด” และบุตรหญิงของนางก็หายเป็นปรกติตั้งแต่บัดนั้น


ข้อคิด
      บางครั้งดูเหมือนพระเจ้าทรงนิ่งเงียบต่อคำภาวนาวอนขอของเรา หรือแม้กระทั่ง ทำให้เรารู้สึกว่าพระองค์ปฏิเสธคำวอนขอของเราอีกด้วย ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมากลับเป็นตรงข้ามกับสิ่งที่เราวอนขอเสียอีก แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ก็ดูจะบั่นทอนความเชื่อของเราอยู่ไม่น้อย หากเราพิจารณาดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นในพระวรสารวันนี้ หญิงชาวคานาอานพิสูจน์ให้เราเห็นว่า หากเรายืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ ด้วยความสุภาพถ่อมตนและวางใจในพระเจ้าแล้ว ความเชื่อนั้นจะมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่มาก บ่อยๆ การทดลองกลับทำให้ความเชื่อของเรายิ่งเข้มแข็ง ฉะนั้น เราจงอย่าหยุดวอนขอ อย่าหยุดพยายาม อย่าหยุดไว้วางใจ นักบุญยอห์น คริสซอสตอมเคยสอนว่า “ไม่ว่าเราจะได้รับสิ่งที่เราวอนขอหรือไม่ได้ เราจงพากเพียรในการภาวนา จงขอบคุณพระองค์ ไม่ใช่เพียงเมื่อเราได้รับ แต่ในเวลาที่เราผิดหวังด้วย เหตุว่าเมื่อพระเจ้าทรงปฏิเสธเราในเรื่องใดก็ตาม ก็เป็นการช่วยเหลือเราไม่น้อยไปกว่าเมื่อพระองค์ให้ตามที่เราขอ เราไม่รู้เหมือนกับที่พระองค์รู้ว่าสิ่งใดดีสำหรับเรา”

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม 2021 สัปดาห์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี                                      กดว 12:1-13
     ในครั้งนั้น โมเสสแต่งงานกับหญิงชาวคูช มีเรียมและอาโรนตำหนิโมเสสที่แต่งงานกับหญิงชาวคูชคนนั้น เขาทั้งสองพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสผ่านทางโมเสสแต่ผู้เดียวหรือ พระองค์มิได้ตรัสผ่านทางเราด้วยหรือ” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินเขาพูดเช่นนี้ โมเสสเป็นคนถ่อมตน เขาเป็นคนถ่อมตนมากกว่าใคร ๆ บนแผ่นดิน
      ทันใดนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสส อาโรนและมีเรียมว่า “ท่านทั้งสามคนจงออกมา และไปที่กระโจมนัดพบ” ทั้งสามคนก็ออกไป แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงในเสาเมฆประทับอยู่ที่ทางเข้ากระโจม ตรัสเรียกอาโรนและมีเรียม ทั้งสองก็เข้าไปใกล้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า จงฟังถ้อยคำของเราเถิด ถ้ามีประกาศกของเราในหมู่ท่าน เราจะสำแดงตนแก่เขาในนิมิต จะพูดกับเขาในความฝัน แต่กับโมเสส ผู้รับใช้ของเรา ไม่เป็นเช่นนั้น เขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ที่เราให้ดูแลบ้านของเราทั้งหมด เราพูดกับเขาโดยตรง เราพูดกับเขาอย่างชัดเจน ไม่พูดเป็นปริศนา เขาเห็นจนกระทั่งรูปสัณฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทำไมท่านจึงกล้าพูดตำหนิโมเสส ผู้รับใช้ของเราเล่า”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธเขาทั้งสองและเสด็จจากไป เมื่อเมฆลอยขึ้นไปจากกระโจมนัดพบ มีเรียมก็เป็นโรคผิวหนังที่ติดต่อได้ ผิวมีสีขาวเหมือนสำลี อาโรนมองดูมีเรียมก็เห็นว่านางเป็นโรคผิวหนังที่ติดต่อได้ อาโรนกล่าวแก่โมเสสว่า “เจ้านาย โปรดอย่าลงโทษเราเพราะบาปที่เราได้ทำไปเนื่องจากความโง่เขลาของเราเลย อย่าปล่อยให้นางต้องเป็นเหมือนทารกที่ตายในครรภ์ ซึ่งมีโรคที่กินเนื้อไปครึ่งหนึ่งแล้วก่อนจะคลอดออกมา” โมเสสจึงทูลอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงรักษานางให้หายเถิด”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                              มธ 14:22-36
       ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามทะเลสาบล่วงหน้าพระองค์ไปในขณะที่พระองค์ทรงจัดให้ประชาชนกลับ เมื่อทรงลาประชาชนแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานภาวนาตามลำพัง ครั้นเวลาค่ำ พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นเพียงพระองค์เดียว ส่วนเรืออยู่ห่างจากฝั่งหลายร้อยเมตร กำลังแล่นโต้คลื่นอย่างหนักเพราะทวนลม เมื่อถึงยามที่สี่ พระองค์ทรงดำเนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ เมื่อบรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงดำเนินอยู่บนทะเลดังนั้น ต่างตกใจมากกล่าวว่า “ผีมา” และส่งเสียงอื้ออึงด้วยความกลัว ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” เปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์ ก็จงสั่งให้ข้าพเจ้าเดินบนน้ำไปหาพระองค์เถิด” พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือ เดินบนน้ำไปหาพระเยซูเจ้า แต่เมื่อเห็นว่าลมแรง เขาก็กลัวและเริ่มจมลง แล้วร้องว่า “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย” ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า “ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยทำไมเล่า” เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นมาประทับในเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ คนที่อยู่ในเรือจึงเข้ามากราบนมัสการพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง”
พระเยซูเจ้าทรงข้ามฟากพร้อมกับบรรดาศิษย์มาขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเรท ผู้คนที่นั่นจำพระองค์ได้ จึงส่งข่าวต่อ ๆ กันไปทั่วบริเวณนั้น เขานำผู้เจ็บป่วยทุกคนมาเฝ้าพระองค์ ทูลขอสัมผัสเพียงฉลองพระองค์เท่านั้น และทุกคนที่สัมผัสแล้ว ก็หายจากโรค

 

ข้อคิด
      ภาษิตว่า “ความกลัวทำให้เสื่อม” เป็นความกลัวที่ทำให้เปโตรจมลงในทะเล ไม่สามารถเดินบนทะเลได้อีกต่อไป อันที่จริง ภาวะคลื่นลมแรง หรือความมืดมน ซึ่งหมายถึงอุปสรรคแห่งความยากลำบากในชีวิตนั้น เป็นสิ่งปกติวิสัยที่เรามนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ แต่สิ่งที่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นได้ คือสิ่งที่จิตใจของเราเชื่อมั่นและวางใจ เปโตรบังเกิดความกลัวเป็นเพราะมุ่งความสนใจไปยังพายุคลื่นลมและความมืดเท่านั้น แทนที่จะเชื่อมั่นและวางใจในองค์พระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าจึงทรงตำหนิว่า “ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง” อันที่จริง สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าสำหรับมนุษย์คือ การที่มนุษย์กลับไปมองเห็น “ความดี” กลายเป็น “สิ่งเลวร้าย” เหมือนบรรดาสาวกมองดู “พระเยซูเจ้า” แล้วเห็นพระองค์เป็น “ผี” ความคิดเช่นนี้จะทำให้มนุษย์ละทิ้งความดีที่ควรกระทำ ภาษิตสอนว่า “เมื่อชีวิตเปลี่ยนไปในแบบที่ยากลำบากขึ้น ก็จงเปลี่ยนตนเองให้เข้มแข็งขึ้น”

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม 2021 วันถวายพระวิหารแม่พระแห่งหิมะ

บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี                                      กดว 20:1-13
      ในครั้งนั้น เดือนแรก ชุมชนชาวอิสราเอลทั้งหมดมาถึงถิ่นทุรกันดารศิน และตั้งค่ายที่คาเดช มีเรียมสิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่นั่น
ชุมชนไม่มีน้ำดื่ม จึงมาชุมนุมกันประท้วงโมเสสและอาโรน บ่นว่า “ถ้าเราตายพร้อมกับพี่น้องของเราที่ตายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าก็คงจะดีกว่า ทำไมท่านจึงพาชุมชนขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาในถิ่นทุรกันดารนี้ เพื่อให้พวกเราและฝูงสัตว์ของเราต้องตายที่นี่ ทำไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากประเทศอียิปต์เข้ามาอยู่ในสถานที่เลวร้ายเช่นนี้ ที่นี่หว่านพืชไม่ได้ ไม่มีต้นมะเดื่อ ไม่มีต้นองุ่น ไม่มีต้นทับทิม ไม่มีแม้กระทั่งน้ำจะดื่ม”
      โมเสสและอาโรนออกจากชุมชนไปยืนที่ทางเข้ากระโจมนัดพบ กราบลงศีรษะจรดพื้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงพระสิริรุ่งโรจน์แก่เขาทั้งสอง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “ท่านจงไปหยิบไม้เท้า แล้วท่านกับอาโรนพี่ชาย จงเรียกชาวอิสราเอลทั้งหมดมาชุมนุมกัน จงพูดกับก้อนหินนี้ต่อหน้าคนทั้งหลาย แล้วน้ำจะไหลออกมา ท่านจะทำให้น้ำไหลออกมาจากก้อนหิน เพื่อชาวอิสราเอลทั้งหลายและฝูงสัตว์จะได้ดื่มได้กิน”
     โมเสสจึงเข้าไปหยิบไม้เท้าที่วางอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าตามพระบัญชา โมเสสและอาโรนเรียกชาวอิสราเอลทั้งหลายมาชุมนุมกันข้างหน้าก้อนหิน โมเสสพูดกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายที่เป็นกบฏ จงฟังเถิด เราทั้งสองจะทำให้น้ำไหลออกมาจากหินก้อนนี้เพื่อท่านทั้งหลายได้ไหม” แล้วโมเสสก็ยกมือขึ้นใช้ไม้เท้าตีก้อนหินนั้นสองครั้ง น้ำก็ไหลทะลักออกมามากมาย คนทั้งหลายและฝูงสัตว์ก็ได้ดื่มและได้กิน พระเจ้าทรงลงโทษโมเสสและอาโรน
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “เพราะท่านทั้งสองไม่มีความเชื่อพอจะประกาศความศักดิ์สิทธิ์ของเราต่อหน้าชาวอิสราเอล ท่านจะไม่ได้พาชุมชนนี้เข้าไปในแผ่นดินที่เราจะประทานให้เขา”
น้ำนี้ได้ชื่อว่าเมรีบาห์ มีความหมายว่า น้ำแห่งการวิวาทซึ่งเป็นที่ที่ชาวอิสราเอลได้วิวาทกับองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงสำแดงความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ในหมู่เขา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 16:13-23
       เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟิลิปและตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศก
เยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง”
     พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมน เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านคือศิลา และบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” แล้วพระองค์ทรงกำชับบรรดาศิษย์มิให้บอกใครว่าพระองค์คือพระคริสตเจ้า
     ตั้งแต่นั้นมาพระเยซูเจ้าทรงเริ่มแจ้งแก่บรรดาศิษย์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับการทรมานอย่างมากจากบรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ จะถูกประหารชีวิต แต่จะทรงกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม
     เปโตรนำพระองค์แยกออกไป ทูลทัดทานว่า “ขอเถิด พระเจ้าข้า เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์อย่างแน่นอน” แต่พระองค์ทรงหันมาตรัสแก่เปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเราเจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์”

 

ข้อคิด
     “ชื่อนั้นไม่สำคัญเท่ากับการแสดงออกที่คู่ควร” นานมาแล้วในช่วงวุ่นวายของสงคราม จิตรกรที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง จำเป็นต้องผ่านแดน แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตน ทหารรักษาด่านนำกระดาษและเครื่องเขียนมาให้ ขอให้เขาวาดภาพหนึ่ง ที่สุดเขาผ่านด่านไปได้เพราะสิ่งที่เขาทำคู่ควรกับชื่อของเขา มหาตมะ คานธีครั้งหนึ่งเคยกล่าวว่า “ถ้าคริสตชนทุกคนประพฤติเหมือนพระคริสต์ โลกทั้งโลกก็คงเป็นคริสตชน” การได้ชื่อว่า “คริสตชน” หมายถึงการเดินตามวิถีของพระคริสตเจ้า ในการยอมรับความทุกข์ทรมานและความตายเพื่อไถ่บาปมนุษย์ มิใช่เพื่อเกียรติรุ่งโรจน์ของตนเอง และการพิสูจน์ตนเองย่อมต้องสอดคล้องกับความจริงประการนี้อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ จงอย่าลืมคำสอนของท่านนักบุญยากอบที่สอนว่า “ความเชื่อที่ปราศจากกิจการก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว”(ยากอบ 2,17) คริสตชนมีบทบาทในการเผยแผ่พระอาณาจักรของพระเจ้าในโลก มิใช่ด้วยคำพูดเท่านั้น แต่ด้วยกิจการต่างๆอันเต็มเปี่ยมด้วยความรักของพระคริสตเจ้า

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown