มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันพุธที่ 11 สิงหาคม 2021 ระลึกถึง น.กลารา พรหมจารี

บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ                            ฉธบ 34:1-12
     ในครั้งนั้น โมเสสขึ้นจากที่ราบโมอับไปบนภูเขาเนโบ ยอดของเทือกเขาปิสกาห์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเมืองเยรีโค องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้เขาเห็นแผ่นดินทั้งหมด คือแคว้นกิเลอาดจนถึงเมืองดาน แคว้นนัฟทาลี แผ่นดินเอฟราอิมและมนัสเสห์ แผ่นดินทั้งหมดของยูดาห์จนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ดินแดนเนเกบ และที่ราบเยรีโค เมืองต้นอินทผลัมไปจนถึงเมืองโศอาร์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “นี่คือแผ่นดินที่เราสาบานแก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบว่า จะยกให้แก่บุตรหลานของเขา เราให้ท่านเห็นกับตาของท่าน แต่ท่านจะไม่ได้เข้าไป”
     โมเสส ผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า สิ้นชีวิตที่นั่นในแผ่นดินโมอับตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา พระองค์ทรงฝังเขาไว้ในหุบเขาของแผ่นดินโมอับ ตรงข้ามกับเบธเปโอร์ แต่จนถึงวันนี้ ยังไม่มีผู้ใดรู้ว่าหลุมศพของเขาอยู่ที่ใด เมื่อโมเสสสิ้นชีวิต เขามีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปี ตาของเขายังเห็นชัดเจน กำลังยังไม่ลดลง ชาวอิสราเอลไว้ทุกข์ให้โมเสส ณ ที่ราบโมอับเป็นเวลาสามสิบวัน จนสิ้นกำหนดไว้ทุกข์ โยชูวาบุตรของนูนมีจิตแห่งปรีชาญาณเต็มเปี่ยม เพราะโมเสสได้ปกมือเหนือเขา ชาวอิสราเอลจึงเชื่อฟังเขา และปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาแก่โมเสส
     ตั้งแต่นั้นมา ไม่เคยมีประกาศกคนใดเกิดขึ้นในอิสราเอลเหมือนโมเสส ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักเป็นการส่วนตัว ไม่มีผู้ใดทำเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์เหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้โมเสสกระทำในแผ่นดินอียิปต์เฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ฟาโรห์ ต่อหน้าข้าราชบริพารของพระองค์ และประชาชนทั่วประเทศ ไม่มีผู้ใดสามารถทำการยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวดังที่โมเสสทำต่อหน้าชาวอิสราเอล

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                              มธ 18:15-20
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ถ้าพี่น้องของท่านทำผิด จงไปตักเตือนเขาตามลำพัง ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้พี่น้องกลับคืนมา ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย คำพูดของพยานสองคนหรือสามคนจะได้จัดเรื่องราวให้เรียบร้อย ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยาน จงแจ้งให้หมู่คณะทราบ ถ้าเขาไม่ยอมฟังหมู่คณะอีก จงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นคนต่างศาสนา หรือคนเก็บภาษีเถิด
     “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกในโลก จะผูกไว้ในสวรรค์ และทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในโลก ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”
     “เราบอกความจริงแก่ท่านอีกว่า ถ้าท่านสองคนในโลกนี้พร้อมใจกันอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะประทานให้ เพราะว่า ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา”

 

ข้อคิด
      “ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้พี่น้องกลับคืนมา” นี่คือจุดประสงค์ของการตักเตือนเพื่อนมนุษย์ เมื่อเขากระทำผิด นั่นคือเพื่อเขาจะกลับใจ กลับเข้ามาหาพระเจ้าและอยู่ร่วมกับสังคมและพระศาสนจักรอย่างดีงาม การตักเตือนจึงมีความละเอียดอ่อน มิใช่เป็นการเอาชนะการโต้เถียง มิใช่การแสดงตนว่าดีหรืออยู่เหนือคนอื่นๆ เพราะหากเป็นเช่นนี้ ย่อมเกิดการยอมรับคำตักเตือนได้ยากยิ่ง และการตักเตือนจำเป็นต้องมีความพากเพียรและอดทนจึงจะเกิดผลได้ เป็นเรื่องไม่ง่ายที่มนุษย์จะยอมรับความผิดของตนเอง แต่ง่ายกว่าที่จะมองเห็นความผิดของคนอื่น แม้พระศาสนจักรจะมีอำนาจในการ”ผูกและแก้” กระนั้น “การปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นคนต่างศาสนา” หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ “โทษการนำเอาออกจากพระศาสนจักร”(excomminication) ข้อนี้ก็ยังมีจุดประสงค์เดียวกัน คือเพื่อให้เขาสำนึกผิดและกลับมาในพระศาสนจักรในที่สุด มิใช่การขับไล่ไสส่งด้วยความรังเกียจ หากเรามีจุดประสงค์ของการตักเตือนหรือการลงโทษที่ผิดแล้ว จะพูดอะไรหรือทำอะไร ก็ไม่เกิดผล นักบุญอิกญาซีโอ แห่งอันติโอก เคยเตือนสอนว่า “จงอย่ามีพระเยซูคริสตเจ้าบนริมฝีปาก แต่มีโลกอยู่ในหัวใจ”

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม 2021 น.ฌาน ฟรังซัวส์ เดอ ชังตาล นักบวช

บทอ่านจากหนังสือโยชูวา                                          ยชว 3:7-10ก,11,13-17
      ในครั้งนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โยชูวาว่า ‘วันนี้เอง เราจะทำให้ท่านยิ่งใหญ่ในสายตาของอิสราเอล เพื่อพวกเขาจะรู้ว่า เหมือนกับที่เราได้อยู่กับโมเสส เราจะอยู่กับท่าน เวลานี้ จงสั่งพวกสมณะที่แบกหีบพันธสัญญาว่า “เมื่อพวกท่านถึงริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน พวกท่านจะต้องหยุดอยู่ในแม่น้ำ”’ แล้วโยชูวากล่าวกับชาวอิสราเอลว่า ‘จงเข้ามาใกล้ และฟังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่าน’ โยชูวากล่าวว่า ‘ด้วยสิ่งนี้ พวกท่านจะรู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงชีวิตสถิตอยู่กับพวกท่าน และโดยไม่มีข้อสงสัย ดูเถิด หีบพันธสัญญาของพระเจ้าแห่งสากลพิภพกำลังจะเคลื่อนนำหน้าพวกท่านลงไปในแม่น้ำจอร์แดน ทันทีที่พวกสมณะผู้แบกหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลพิภพ ก้าวเหยียบลงในแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนจะแยกออก น้ำที่ไหลลงมาจากตอนบนจะหยุดไหลเหมือนกับเป็นมวลใหญ่เดียวกัน’
      เหตุการณ์ได้เป็นไปตามนั้น เมื่อประชาชนออกจากค่ายเพื่อข้ามแม่น้ำจอร์แดน พวกสมณะได้แบกหีบพันธสัญญาขึ้นนำหน้าประชาชน ทันทีที่ผู้แบกหีบพันธสัญญาถึงแม่น้ำจอร์แดน และเท้าของพวกสมณะที่แบกหีบพันธสัญญาแตะน้ำ -แม่น้ำจอร์แดนจะเต็มฝั่งตลอดฤดูเก็บเกี่ยว - น้ำตอนบนก็หยุดนิ่ง และรวมตัวขึ้นเป็นมวลเดียวเป็นระยะทางไกลตรงที่เรียกว่าอาดัม ใกล้เมืองศาเรธาน ในขณะที่น้ำส่วนที่ไหลลงสู่ทะเลอาราบาห์ ทะเลเกลือได้ถูกแยกออกอย่างสิ้นเชิง ประชาชนได้ข้ามแม่น้ำที่บริเวณตรงข้ามกับเยริโค พวกสมณะที่แบกหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้หยุดยืนบนพื้นดินแห้งกลางแม่น้ำจอร์แดน ขณะที่ชาวอิสราเอลได้ข้ามแม่น้ำบนแผ่นดินแห้งจนกระทั่งชนทั้งชาติได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนจนครบทุกคน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                             มธ 18:21-19:1
     เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง
อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่เป็นพันล้านบาท เขาไม่มีสิ่งใดจะชำระหนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตรภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ผู้รับใช้กราบพระบาททูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผลัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด’ กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่ไม่กี่พันบาท เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด’
     เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผลัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ยอมฟัง นำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้ให้หมด เพื่อนผู้รับใช้อื่น ๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้หมดสิ้น พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน


ข้อคิด
     “หนี้พันล้านบาท” กับ “หนี้ไม่กี่พันบาท” นำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย แต่กระนั้น หนี้พันล้านบาทยังเป็นหนี้ที่สามารถยกให้ได้ เรื่องนี้นอกจากจะแสดงให้เห็นความเมตตายิ่งใหญ่มากของพระเจ้าต่อมนุษย์คนบาปแล้ว ยังบ่งบอกถึงความหนักหนาสาหัสของบาปผิดที่มนุษย์กระทำต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วย ที่เราควรต้องสำนึกผิดและหลีกเลี่ยงเสมอ นอกจากนี้ ยังสอนเราด้วยว่า หากเรายังไม่สามารถยกหนี้ไม่กี่พันบาท เราจะไปยกหนี้พันล้านบาทได้อย่างไร เราจึงต้องฝึกจิตที่จะให้อภัยต่อความผิดเล็กๆน้อยๆของเพื่อนมนุษย์ในแต่ละวันจนเป็นนิสัย จนกลายเป็นฤทธิ์กุศลก็ว่าได้ การให้อภัยเรียกร้องความสุภาพ และต่อสู้กับความจองหองของเรา นักบุญออกัสตินเตือนใจว่า “เป็นความจองหองที่เปลี่ยนเทวดาเป็นปีศาจ แต่เป็นความสุภาพที่ทำให้มนุษย์เป็นเหมือนเทวดา” นักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตาสอนว่า “ถ้าเราต้องการจริงๆที่จะรัก เราต้องเรียนรู้วิธีที่จะให้อภัย” ฉะนั้น เราจงฝึกหัดการให้อภัยในแต่ละวัน

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2021 ระลึกถึง น.มักซีมีเลียน มารีย์ กอลเบ พระสงฆ์และมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือโยชูวา                                          ยชว 24:14-29
      ในครั้งนั้น โยชูวากล่าวแก่ประชากรชาวอิสราเอลว่า ‘บัดนี้จงเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า และรับใช้พระองค์อย่างแท้จริงและด้วยความจริงใจ จงกำจัดพระเจ้าทั้งหลายซึ่งบรรพบุรุษของพวกท่านได้รับใช้เมื่ออยู่บริเวณเหนือแม่น้ำและในอียิปต์ และหันมารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ถ้าการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าดูเป็นเรื่องย่ำแย่สำหรับพวกท่าน วันนี้ พวกท่านจะต้องตัดสินใจว่าพวกท่านต้องการรับใช้พระเจ้าองค์ใด จะรับใช้พระเจ้าทั้งหลายซึ่งบรรพบุรุษของพวกท่านได้รับใช้เมื่ออยู่เหนือบริเวณแม่น้ำ หรือพระเจ้าทั้งหลายของคนอาโมไรต์ซึ่งพวกท่านอาศัยอยู่ในประเทศของพวกเขา ส่วนสำหรับครอบครัวของข้าพเจ้าและข้าพเจ้าเอง เราจะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า’
     ประชาชนตอบว่า ‘ไม่มีทางที่เราจะละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า และหันไปรับใช้พระเจ้าอื่น! องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราคือผู้ทรงนำพวกเราและบรรพบุรุษของเราที่นี่ออกมาจากประเทศอียิปต์ จากสถานที่ที่เราต้องเป็นทาสแรงงาน และทรงกระทำสิ่งอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เหล่านั้นต่อหน้าต่อตาเราและทรงรักษาเราให้ปลอดภัยตลอดเส้นทางที่เราเดิน และเมื่ออยู่ท่ามกลางประชาชาติทั้งหลายที่เราผ่าน และองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงขับไล่ชนชาติทั้งหมดออกไปเพื่อพวกเรา รวมทั้งชาวอาโมไรต์ซึ่งเคยอยู่ในประเทศ เราจะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเช่นกัน เพราะพระองค์คือพระเจ้าของพวกเรา’
      โยชูวาจึงกล่าวกับประชาชนว่า ‘พวกท่านจะไม่สามารถรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ เนื่องจากพระองค์เป็นพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงริษยา และจะไม่ทรงยอมผ่อนปรนต่อความประพฤติมิชอบหรือบาปของพวกท่าน ถ้าพวกท่านละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและหันไปรับใช้พระเจ้าของคนต่างชาติ พระองค์จะทรงหันกลับและกระทำทารุณกรรมกับพวกท่านอีกครั้งหนึ่ง และแม้ว่าจะได้ทรงดีต่อพวกท่านมาในอดีตมากสักเพียงใด แต่พระองค์จะทรงทำลายพวกท่าน’ ประชาชนกล่าวตอบโยชูวาว่า ‘ไม่! องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระผู้ซึ่งเราต้องการจะรับใช้’ โยชูวาจึงตอบว่า ‘พวกท่านเป็นพยานให้ตัวเองว่า พวกท่านได้เลือกองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อรับใช้พระองค์’ พวกเขาตอบว่า ‘เราเป็นพยาน’ ‘ถ้าเช่นนั้น จงกำจัดพระเจ้าของคนต่างชาติซึ่งพวกท่านมีอยู่กับพวกท่าน และจงถวายความจงรักภักดีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล!’ ประชาชนกล่าวตอบโยชูวาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา คือ ผู้ที่เราจะรับใช้ เราจะฟังเสียงของพระองค์’
      วันนั้น โยชูวาได้ทำพันธสัญญาขึ้นสำหรับประชาชน เขาได้วางกฎเกณฑ์และคำสั่งสำหรับพวกเขาที่เชเคม โยชูวาได้เขียนถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้า แล้วนั้น เขาได้นำหินใหญ่ก้อนหนึ่งและตั้งไว้ที่นั่น ใต้ต้นโอ๊กในสักการสถานขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วโยชูวาได้กล่าวกับประชาชนทั้งหมดว่า ‘ดูเถิด หินก้อนนี้จะเป็นสักขีพยานแก่เรา เนื่องจากมันได้ยินทุกถ้อยคำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับเรา มันจะเป็นพยานปรักปรำพวกท่าน ในกรณีที่พวกท่านปฏิเสธพระเจ้า ของพวกท่าน’ แล้วโยชูวาได้สั่งให้ประชาชนกลับไป ทุกคนกลับไปยังดินแดนที่เป็นมรดกของตน
หลังจากนั้น โยชูวา บุตรของนูน ข้ารับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า สิ้นใจเมื่ออายุหนึ่งร้อยสิบปี

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                              มธ 19:13-15
     ขณะนั้น มีผู้นำเด็กเล็ก ๆ มาให้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์อวยพร แต่บรรดาศิษย์กลับดุว่าคนเหล่านั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้เด็กเล็ก ๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้” พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ให้เด็กเหล่านั้น แล้วจึงเสด็จไปจากที่นั่น

 

ข้อคิด
     “อาณาจักรสวรรค์เป็นของคนที่เหมือนเด็ก” ลักษณะหนึ่งของความเป็นเด็กที่น่าสนใจคือ เด็กมีชีวิตที่ต้องพึ่งพาคนอื่น ขึ้นกับคนอื่น แต่ลักษณะนี้กลับเป็นลักษณะที่ขัดแย้งกับความรู้สึกและความต้องการของผู้ที่เติบโตแล้ว เรื่องสิทธิและเสรีภาพดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ให้ความสนใจและความสำคัญ อย่างไรก็ตาม สิทธิย่อมรวมความถึง “หน้าที่” เพียงแต่บางครั้ง คนเราเอาแต่เรียกร้องสิทธิของตนและหน้าที่ของคนอื่น แต่ลืมสิทธิของคนอื่นและหน้าที่ของตนไป ซึ่งต้องระมัดระวังให้ดี บ่อยๆ มนุษย์ก็หลงลืมว่า ตนเองต้องเป็นเหมือนเด็กที่ต้องพึ่งพาอาศัยพระเจ้า และขึ้นกับพระองค์ เพราะมัวแต่มุ่งความสนใจให้กับเสรีภาพของตนเท่านั้น นักบุญยอห์น ปอล ที่สอง พระสันตะปาปาเคยสอนว่า “การสวดภาวนาคือการตระหนักถึงข้อจำกัดของเรา และการที่เราต้องขึ้นอยู่กับพระเจ้า นั่นคือ เรามาจากพระเจ้า เราเป็นของพระองค์ และเราจะกลับไปหาพระองค์” เด็กๆร้องขอสิ่งต่างๆจากพ่อแม่และคนอื่นๆฉันใด เราผู้มีความเชื่อก็ต้องร้องขอต่อพระเจ้าฉันนั้น

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2021 น.ปอนซีอาโน พระสันตะปาปา น.ฮิปโปลิต พระสงฆ์ มรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือโยชูวา                                         ยชว 24:1-13
      ในครั้งนั้น โยชูวารวบรวมทุกเผ่าของอิสราเอลพร้อมกันที่เชเคม แล้วนั้นเขาได้เรียกชุมนุมผู้อาวุโสทั้งหลายของอิสราเอลพร้อมกับบรรดาผู้นำ ตุลาการและบรรดานายทหารทั้งหมด พวกเขาได้มาอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า โยชูวาจึงกล่าวกับประชาชนทั้งหมดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ “ตั้งแต่นมนามมาแล้ว บรรพบุรุษของพวกท่านที่ชื่อเทราห์ บิดาของอับราฮัมและนาโฮร์ ได้อาศัยอยู่บริเวณเหนือแม่น้ำขึ้นไป และรับใช้พระเจ้าอื่น หลังจากนั้น เราได้นำอับราฮัม บรรพบุรุษของพวกท่านออกมาจากบริเวณเหนือแม่น้ำและนำเขาผ่านความยาวความกว้างของคานาอัน เราได้ทวีจำนวนลูกหลานของเขาและให้เขาได้มีบุตรชื่ออิสอัค กับอิสอัค เราได้ให้ยาโคบและเอซาว กับเอซาว เราได้ยกประเทศแถบภูเขาเสอีร์ให้เป็นกรรมสิทธิ์ ยาโคบและบุตรของเขาได้ลงไปอยู่ในประเทศอียิปต์ หลังจากนั้น เราได้ส่งโมเสสและอาโรน และให้อียิปต์ต้องประสบภัยพิบัติด้วยสิ่งอัศจรรย์ทั้งหลายที่เราได้กระทำที่นั่น ที่สุด เราได้นำพวกท่านออกมา เราได้พาบรรพบุรุษของพวกท่านออกจากประเทศอียิปต์ และพวกท่านได้มาถึงทะเล ชาวอียิปต์ออกติดตามบรรพบุรุษของพวกท่านด้วยรถรบและทหารม้า จนถึงทะเลไม้อ้อ แล้วนั้น บรรพบุรุษของพวกท่านได้ร้องหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ได้ทรงกระจายหมอกหนาทึบให้คั่นอยู่ระหว่างพวกท่านและชาวอียิปต์ และได้ทำให้ทะเลไหลกลับท่วมพวกเขา พวกท่านได้เห็นด้วยตาของพวกท่านเองแล้วว่าเราได้กระทำอะไรในอียิปต์ หลังจากนั้นเป็นเวลานาน พวกท่านได้อาศัยอยู่ในทะเลทราย แล้วเราได้นำพวกท่านเข้าไปยังประเทศของคนอาโมไรต์ ซึ่งเคยอาศัยอยู่ทางอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาทำสงครามกับพวกท่าน และเราได้มอบพวกเขาให้ตกอยู่ในอำนาจของพวกท่าน หลังจากนั้น พวกท่านจึงได้เข้ายึดครองประเทศของพวกเขา เนื่องจากเราได้ทำลายพวกเขาไปต่อหน้าพวกท่าน ต่อมา บาลาค บุตรของศิปโปร์ กษัตริย์ของโมอับ ได้ลุกขึ้นทำสงครามกับอิสราเอล และส่งบาลาอัม บุตรของเบโอร์มาสาปแช่งพวกท่าน แต่เราไม่ฟังบาลาอัม ตรงข้าม เขาต้องกล่าวอวยพรพวกท่าน และเราได้ช่วยเหลือพวกท่านให้รอดพ้นจากอำนาจของเขา
      “หลังจากนั้น พวกท่านได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนและมาถึงเยริโค แต่พลเมืองชาวเยริโคทำสงครามกับพวกท่าน ได้แก่คนอาโมไรต์ เปริสซี คานาอัน ฮิตไทต์ เกอร์กาซี ฮีไวต์และเยบุส และเราได้มอบพวกเขาทั้งหมดให้ตกอยู่ใต้อำนาจของพวกท่าน เราส่งตัวต่อนำหน้าพวกท่านไป ซึ่งทำการขับไล่กษัตริย์อาโมไรต์สองคนไปต่อหน้าพวกท่าน นี่ไม่ได้เป็นผลงานจากดาบของพวกท่านหรือธนูของพวกท่านเลย บัดนี้ เราได้มอบประเทศหนึ่งให้แก่พวกท่าน ซึ่งพวกท่านไม่ได้ทำงานเพื่อได้มา เมืองที่พวกท่านไม่ได้สร้าง แต่พวกท่านได้อาศัยอยู่ ไร่องุ่นและสวนมะกอกที่พวกท่านไม่ได้ปลูก แต่ได้รับประทานผลผลิตของมัน”


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                              มธ 19:3-12
       เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระองค์ ทูลถามว่า “เป็นการถูกต้องหรือไม่ ที่ชายจะหย่าร้างกับภรรยาเนื่องด้วยเหตุใดก็ตาม” พระองค์ทรงตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่าเมื่อแรกนั้นพระผู้สร้างทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง และตรัสว่า ดังนี้ ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับภรรยาของตนและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน
ดังนี้ เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย”
ชาวฟาริสีจึงทูลถามว่า “แล้วทำไมโมเสสจึงสั่งให้ชายทำหนังสือหย่าร้างแล้วหย่าร้างได้เล่า” พระองค์ตรัสว่า “เพราะใจดื้อหยาบกระด้างของท่านโมเสสจึงยอมอนุญาตให้หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หาเป็นเช่นนี้ไม่
“เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง เขาก็ทำผิดประเวณี เว้นแต่ในกรณีแต่งงานไม่ถูกต้อง”
บรรดาศิษย์ทูลพระองค์ว่า “ถ้าสภาพของสามีกับภรรยาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะแต่งงานเลย” พระองค์ตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนเข้าใจคำสอนนี้ คนที่เข้าใจคือคนที่พระเจ้าประทานให้ เพราะว่า บางคนเป็นขันทีตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา บางคนถูกมนุษย์ทำให้เป็นขันที และบางคนทำตนเป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ ผู้ที่เข้าใจได้ ก็จงเข้าใจเถิด”


ข้อคิด
     ก่อนการแต่งงานคู่สมรสทั้งสองฝ่ายจะแสวงหาเหตุผลต่างๆมากมายที่ชวนฝันที่จะอยู่ร่วมกันไปจนตลอดชีวิต แต่แล้วหลายๆคู่ เมื่ออยู่กันไป กลับจะพยายามหาเหตุผลที่จะเลิกกัน ราวกับว่าเหตุผลที่จะอยู่ร่วมกันต่อไปนั้นไม่มีอีกแล้ว ที่จริง นี่คงเป็นเพียงการหาเหตุผลเข้าข้างตนเองเท่านั้น เพราะยังมีเหตุผลอีกมากที่จะอยู่ร่วมกันได้ หากจะแสวงหาจริงๆ อาจเป็นเพราะใครบางคนเข้าใจความรักไม่ถูกต้อง มีแต่ความรักที่เห็นแก่ตัว ขาดความเสียสละ และไม่เพียงพอต่อความพอใจในเรื่องต่างๆ หรือบางทีในครอบครัวอาจจะขาดมิติทางความเชื่อในศาสนา ขาดการสวดภาวนาด้วยกัน ขาดการอ่านพระวาจา ขาดการร่วมพิธีกรรมและรับศีลศักดิ์สิทธิ์ พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงสอนว่า “การสวดสายประคำพร้อมกันในครอบครัวเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีค่ายิ่งต่อชีวิตครอบครัว” กล่าวคือ ความรักต่อพระเจ้าและศรัทธาในคำสอนของพระองค์นั่นแหละสามารถจรรโลงชีวิตครอบครัวได้ หากมิตินี้ขาดหายไป ชีวิตครอบครัวย่อมอยู่ในอันตราย ในพระวรสารวันนี้ ชาวฟาริสีเข้ามา”จับผิด”พระองค์ในเรื่องการหย่าร้างได้หรือไม่ ซึ่งเป็นนัยว่า พวกเขาตระหนักดีว่าการหย่าร้างเป็นบาปในทางศาสนา และบาปก็คือสิ่งที่นำความไม่ดีให้เกิดขึ้นในทางใดทางหนึ่ง การหย่าร้างจึงเป็นการขัดแย้งกับพระประสงค์ของพระเจ้า และเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะสร้างความมั่นคงในชีวิตครอบครัวของผู้มีความเชื่อ

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม 2021 สมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์                                           วว 11:19ก;12:1-6ก,10ก
     พระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์เปิดออก มองเห็นหีบพันธสัญญาในพระวิหาร เครื่องหมายยิ่งใหญ่ปรากฏในสวรรค์ คือสตรีผู้หนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ นางมีครรภ์แก่ กำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจะคลอดบุตร เครื่องหมายอีกประการหนึ่งปรากฏในสวรรค์ คือมังกรใหญ่สีแดง มีเจ็ดหัวและสิบเขา แต่ละหัวสวมมงกุฎ หางของมันตวัดดวงดาวหนึ่งในสามบนท้องฟ้าให้ตกลงมาบนแผ่นดิน มังกรยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่กำลังจะคลอดบุตรเพื่อจะกินบุตรของนางทันทีที่คลอด นางคลอดบุตรเป็นชาย ซึ่งจะต้องปกครองชาติทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก แต่บุตรของนางถูกคว้าตัวขึ้นไปเฝ้าพระเจ้ายังพระบัลลังก์ของพระองค์ ส่วนสตรีนั้นหลบหนีไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นั่นนางมีที่พำนักซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์ว่า “บัดนี้ ความรอดพ้น พระอานุภาพและพระราชอาณาจักรเป็นของพระเจ้าของเราแล้ว และอำนาจเป็นของพระคริสต์ของพระองค์

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง      1 คร 15:20-26,
     พี่น้อง ความจริง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เป็นผลแรกของบรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว ความตายมาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันใด การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายก็มาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันนั้น มนุษย์ทุกคนตายเพราะ อาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น แต่จะเป็นไปตามลำดับของแต่ละคน พระคริสตเจ้าทรงเป็นผลแรก ต่อไปก็คือผู้ที่เป็นของพระ คริสตเจ้า เมื่อพระองค์จะเสด็จมา แล้วจะถึงวาระสุดท้าย เวลานั้นพระองค์จะทรงมอบพระอาณาจักรให้แก่พระเจ้าพระบิดา หลังจากทรงทำลายการปกครอง อำนาจและอานุภาพทั้งหลาย เพราะพระคริสตเจ้าจะต้องทรงครองราชย์จนกว่าพระเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้งมวลให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์ ศัตรูสุดท้ายที่จะถูกทำลายคือความตาย เพราะพระเจ้าทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 1:39-56
     หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด ๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”
     พระนางมารีย์ ตรัสว่า “วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้กอบกู้ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำกิจการยิ่งใหญ่สำหรับข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ พระกรุณาต่อผู้ยำเกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย พระองค์ทรงยกพระกรแสดงพระอานุภาพ ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจัดกระจายไป ทรงคว่ำผู้ทรงอำนาจจากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอล ผู้รับใช้พระองค์ โดยทรงระลึกถึงพระกรุณา ดังที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรพบุรุษของเรา แก่อับราฮัมและบุตรหลานตลอดไป” พระนางมารีย์ประทับอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือนจึงเสด็จกลับ

 

ข้อคิด
     ปี 1950 สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ประกาศข้อความเชื่อเรื่องการรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ ในMunificentissimus Deus มีสาระที่มีความหมายและน่าสนใจ “พระนางมารีย์ มนุษย์ พรหมจารี ผู้ที่สะท้อนความงดงามของความเป็นมนุษย์ของพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระนางได้อย่างยอดเยี่ยม และสะท้อนถึงการตอบสนองของพระคริสตเจ้าต่อพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างนอบน้อม แม่พระจึงไม่เคยต้องแยกจากพระบุตรของพระนางเลย พระนางอยู่เคียงข้างพระองค์ตลอดทางแห่งไม้กางเขน และ ณ เชิงกางเขน ยังรับเป็นมารดาของพระศาสนจักร ซึ่งเป็นพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า พระนางได้รับการยกเว้นจากบาปกำเนิด และยังคงใกล้ชิดกับพระคริสตเจ้าบนสวรรค์” ชีวิตของแม่พระเป็นการประกาศ”ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”โดยแท้ โดยผ่านทางความสุภาพ นอบน้อมและความต่ำต้อย น่าสังเกตว่า พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ประกาศข้อความเชื่อนี้ ไม่กี่ปีหลังจากที่มนุษย์ถูกละเมิดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไปอย่างสุดที่จะบรรยายในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ข้อความเชื่อนี้ ส่วนหนึ่งจึงเชิญชวนให้มนุษย์เคารพต่อศักดิ์ศรีและแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าเสมอ โดยรำพึงถึงชีวิตอันเต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อของแม่พระนั่นเอง

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown