มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2017 ระลึกถึง น.อัลฟองโซ เดลิกวอรี พระสงํฆราชและนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                             อพย 33:7-11 และ 34:5ข-9,28
     ในครั้งนั้น โมเสสเคยตั้งกระโจมไว้นอกค่าย ห่างออกไปเล็กน้อย เขาเรียกกระโจมนี้ว่า กระโจมนัดพบ ผู้ใดต้องการคำแนะนำจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้นั้นจะออกไปยังกระโจมนัดพบที่ตั้งอยู่นอกค่าย เมื่อใดที่โมเสสออกไปยังกระโจมนัดพบ ประชากรทั้งปวงจะยืนขึ้นหน้าประตูกระโจมของตน ดูโมเสสเดินผ่านจนกระทั่งเขาเข้าไปในกระโจมนัดพบ เมื่อโมเสสเข้าไปในกระโจม จะมีเมฆเป็นลำลอยลงมาอยู่ที่ประตูกระโจม แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ตรัสกับโมเสส ประชากรทั้งปวงเห็นเมฆเป็นลำที่ประตูกระโจมนัดพบ ทุกคนจะยืนขึ้น และกราบลงที่ประตูกระโจมของตน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสนทนากับโมเสสตามลำพังเหมือนเพื่อนคุยกัน แล้วโมเสสก็กลับเข้าค่าย แต่ชายหนุ่มที่รับใช้โมเสส ชื่อโยชูวา บุตรของนูน ไม่ได้ออกจากกระโจมนัดพบ องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในเมฆ ประทับอยู่กับโมเสสที่นั่น ทรงประกาศพระนามยาห์เวห์
     องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จผ่านไปข้างหน้าโมเสส ทรงประกาศว่า “เราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้เมตตาและกรุณา ไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรักมั่นคง และความซื่อสัตย์ เรารักษาความรักมั่นคงของเราไว้แก่ชนหลายพันชั่วอายุคน และอภัยความผิด อภัยการล่วงเกินและอภัยบาป แต่เราไม่ละเลยที่จะลงโทษ เราจะลงโทษความผิดของบิดาในลูกหลานเหลนจนถึงสามสี่ชั่วอายุคน” โมเสสรีบก้มกราบกับพื้นดินนมัสการพระองค์ เขาทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ที่พระองค์โปรดปราน ขอพระองค์เสด็จไปกับข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด ประชากรเหล่านี้ดื้อดึงก็จริงอยู่ แต่ขอพระองค์ทรงยกโทษความผิดและบาปของข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด ขอพระองค์ทรงรับข้าพเจ้าทั้งหลายไว้เป็นสมบัติของพระองค์ด้วยเถิด”
โมเสสอยู่ที่นั่นกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืน โดยไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจารึกถ้อยคำของพันธสัญญา คือบทบัญญัติสิบประการไว้บนแผ่นศิลาทั้งสองแผ่น

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 13:36-43
     หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงแยกจากประชาชนเข้าไปในบ้าน บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลว่า “โปรดอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมานในนาเถิด” พระองค์ตรัสว่า “ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรแห่งมนุษย์ ทุ่งนาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีคือพลเมืองแห่งพระอาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย ศัตรูที่หว่านคือปีศาจ ฤดูเก็บเกี่ยวคือเวลาอวสานแห่งโลก ผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์”
“ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลาอวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จะใช้ทูตสวรรค์มารวบรวมทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิดและทุกคนที่ประกอบการอธรรม ให้ออกจากพระอาณาจักร แล้วเอาไปทิ้งในกองไฟ ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง ส่วนผู้ชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดา ใครมีหูก็จงฟังเถิด”

 

ข้อคิด
    พระเจ้าอนุญาตให้โมเสสเข้าพบพระองค์เป็นการส่วนตัว และเผยให้อิสราเอลทราบว่า พระองค์มีใจเมตตากรุณา เปี่ยมด้วยความรักมั่นคง ซื่อสัตย์ อภัยบาปความผิด...และโมเสสขอพระองค์รับชาวอิสราเอลเป็นสมบัติของพระองค์. เราคริสตชนเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน เราเป็นสมบัติของพระเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณาล้นพ้น. เราอยู่ได้เพราะพระองค์ให้อภัย..

วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2017 สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                             อพย 34:29-35
     เมื่อโมเสสถือแผ่นศิลาจารึกพระบัญญัติสองแผ่นลงมาจากภูเขาซีนาย เขาไม่รู้ว่าใบหน้าของเขามีแสงเรืองเพราะเขาได้สนทนากับองค์พระผู้เป็นเจ้า อาโรนกับชาวอิสราเอลทั้งปวงมองดูโมเสสก็เห็นว่าใบหน้าของเขามีแสงเรือง เขาทั้งหลายกลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้ แต่โมเสสเรียกอาโรนกับบรรดาหัวหน้าประชากรให้เข้ามาหา แล้วพูดกับเขา หลังจากนั้น ชาวอิสราเอลทั้งหมดก็เข้ามาใกล้ โมเสสเล่าให้เขารู้ทุกอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาแก่เขาบนภูเขาซีนาย เมื่อโมเสสพูดจบ เขาเอาผ้าคลุมมาปิดหน้าไว้ ทุกครั้งที่โมเสสเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อสนทนากับพระองค์ เขาจะปลดผ้าคลุมหน้าออกจนกระทั่งเขากลับออกมา เมื่อเขาออกมา เขาจะเล่าให้ชาวอิสราเอลรู้ถึงพระบัญชาที่เขาได้รับ เมื่อชาวอิสราเอลมองใบหน้าของโมเสสก็เห็นใบหน้าของเขามีแสงเรือง แล้วโมเสสจะเอาผ้าคลุมปิดหน้าไว้ จนกว่าเขาจะเข้าไปสนทนากับพระองค์ในครั้งต่อไป

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 13:44-46
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อนสมบัตินั้น และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อนาแปลงนั้น” “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น”

 

ข้อคิด
     ชีวิตของเรามนุษย์คือการเลือก. เรามีโอกาสเลือกหลายร้อยหลายพันครั้ง ว่า จะเอาสิ่งนี้และไม่เอาสิ่งนั้น แต่การเลือกที่สำคัญยิ่งคือการเลือกระหว่างพระเจ้ากับพระเท็จเทียม เลือกเอาพระอาณาจักรของพระองค์หรืออาณาจักรแห่งความมืดมน. ถ้าเลือกพระเจ้า เราได้รับความรอดนิรันดร ถ้าเลือกเอาพระเท็จเทียม เราก็สูญเสียชีวิตนิรันดร์

วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2017 ระลึกถึง น.ยอห์น มารีย์ เวียนเนย์ พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสือเลวีนิติ                                             ลนต 23:1,4-11,15-16,27,34ข-37
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชาวอิสราเอลว่า “วันสมโภชอื่นๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ชาวอิสราเอลต้องมาชุมนุมกันนมัสการพระองค์ตามเวลากำหนด มีดังต่อไปนี้
     วันที่สิบสี่ของเดือนที่หนึ่ง ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตก ท่านจะต้องฉลองปัสกาเป็นเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า วันที่สิบห้าเดือนเดียวกัน เริ่มเทศกาลขนมปังไร้เชื้อเป็นเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันแรก ท่านจะต้องจัดชุมนุมเพื่อนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า และงดทำงานทุกอย่าง ท่านจะต้องถวายสิ่งของเป็นเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ด ท่านจะต้องจัดชุมนุมนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกครั้งหนึ่งและงดทำงานทุกอย่าง”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชาวอิสราเอลอีกว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเข้าไปในแผ่นดินที่เราจะให้แก่ท่านและจะเก็บเกี่ยวพืชผลได้แล้ว ท่านจะต้องนำข้าวฟ่อนแรกที่เก็บเกี่ยวได้ไปมอบให้สมณะ สมณะจะนำข้าวฟ่อนนั้นไปยื่นถวายตามพิธีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงรับและโปรดปรานท่าน สมณะจะนำข้าวฟ่อนนี้มายื่นถวายตามพิธีหลังวันสับบาโตหนึ่งวัน
ท่านทั้งหลายจะต้องนับเจ็ดสัปดาห์เต็มตั้งแต่วันหลังวันสับบาโตที่ท่านนำข้าวฟ่อนแรกมายื่นถวายตามพิธี ท่านจะต้องนับห้าสิบวัน จนถึงวันหลังวันสับบาโตที่เจ็ด จึงจะนำพืชผลใหม่มาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
     วันที่สิบของเดือนที่เจ็ดจะเป็นวันชดเชยบาป ท่านทั้งหลายจะต้องจัดชุมนุมเพื่อนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องจำศีลอดอาหารและนำสิ่งของมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชาใช้ไฟเผา
     วันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ดนี้จะเริ่มเทศกาลอยู่เพิงถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันแรกท่านทั้งหลายจะต้องจัดชุมนุมเพื่อนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและงดทำงานทุกอย่าง ในระหว่างเจ็ดวันนั้นท่านจะต้องนำสิ่งของมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชาใช้ไฟเผา ในวันที่แปด ท่านจะต้องจัดชุมนุมเพื่อนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า และจะต้องนำสิ่งของมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชาที่ใช้ไฟเผา ในวันที่ท่านมาชุมนุมกันเช่นนี้ ท่านจะต้องงดทำงานทุกอย่าง
นี่คือวันสมโภชองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ท่านจะต้องเรียกประชาชนมาชุมนุมกันเพื่อนมัสการพระองค์ และเพื่อนำของมาใช้ไฟเผาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้แก่ เครื่องเผาบูชา ธัญบูชา ศานติบูชา และการเทเหล้าองุ่นถวายตามพิธีการของวันฉลองแต่ละวัน”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 13:54-58
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่น มายังถิ่นกำเนิดของพระองค์ ทรงสั่งสอนในศาลาธรรมของชาวยิว ประชาชนต่างประหลาดใจและพูดว่า “คนนี้เอาปรีชาญาณและอำนาจทำอัศจรรย์มาจากที่ใด เขาเป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ แม่ของเขาชื่อมารีย์ พี่ชายน้องชายของเขามิใช่ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาหรือ พี่สาวน้องสาวทุกคนของเขาก็อยู่กับเรามิใช่หรือ เขาไปได้สิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด” คนเหล่านี้รู้สึกสะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำเนิดและในบ้านของตน” พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ที่นั่นไม่มากนัก เพราะเขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ

 

ข้อคิด
    พระเยซูเจ้าไม่ได้รับการต้อนรับที่นาซาแรธ เพราะคนเห็นพระองค์เป็นแค่บุตรของน.ยอแซฟ ช่างไม้ที่หาเช้ากินค่ำ ไม่มีเงินทอง ไม่หรูหรา ไม่มีหน้าตาในสังคม. ทุกวันนี้ หลายคนก็ไม่ยอมรับพระเยซูเจ้า เพราะเห็นว่าพระองค์บังเกิดมาต่ำต้อย อยู่ในครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำ ถูกตรึงกางเขนแบบไร้ญาติขาดศิษย์ คนจึงด่วนสรุปว่า พระองค์ไม่ใช่พระเจ้า
น.ยวง วีอันเนย์ ถูกดูถูกทั้งจากอาจารย์และบรรดาเณรด้วยกัน เขาว่าท่านซื่อจนเซ่อ มีสมองเท่าใส้เดือน สอบได้ที่บ้วย. แต่ช้าก่อน หนทางพิสูจน์ม้า เวลาพิสูจน์คน ท่านมีสิ่งประเสริฐที่คนอื่นไม่เห็น คือท่านเป็นคนของพระเจ้า ท่านดึงดูดคนทุกชนิดในสังคมให้มาพบพระเจ้าผ่านทางท่าน

วันพฤหัสบดีที่ 3 สิงหาคม 2017 สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                            อพย 40:16-21,34-38
     ในครั้งนั้น โมเสสทำทุกสิ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา เขาตั้งกระโจมที่ประทับขึ้นในวันต้นเดือนแรกของปีที่สอง หลังจากที่ได้ออกจากอียิปต์ โมเสสตั้งกระโจมที่ประทับ วางฐานรับเสา ตั้งกรอบติดไม้ขวางและตั้งเสา กางผ้าคลุมเหนือกระโจมที่ประทับ และคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา นำแผ่นศิลาจารึกใส่ลงในหีบ สอดคานหามไว้ในห่วงของหีบ นำพระที่นั่งพระกรุณามาปิดไว้ นำหีบเข้ามาตั้งไว้ในกระโจมที่ประทับ ขึงม่านกั้นหีบบรรจุแผ่นศิลาจารึกตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา
     เมฆปกคลุมกระโจมนัดพบ และพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เต็มกระโจมที่ประทับ โมเสสเข้าไปในกระโจมนัดพบไม่ได้ เพราะเมฆหนาทึบอยู่เหนือกระโจม และพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เต็มกระโจมที่ประทับ
     เมื่อเมฆลอยขึ้นจากกระโจมที่ประทับ ชาวอิสราเอลจะออกเดินทางต่อไป ถ้าเมฆไม่ลอยขึ้น เขาก็ไม่ออกเดินทางไปที่อื่น เขาจะคอยจนกว่าเมฆลอยขึ้น เพราะเมฆแสดงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือกระโจมที่ประทับในเวลากลางวัน และมีไฟลุกในเมฆในเวลากลางคืน เพื่อให้ชาวอิสราเอลทั้งหมดมองเห็นได้ตลอดเวลาการเดินทาง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 13:47-53
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับอวนที่หย่อนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด เมื่ออวนเต็มแล้ว ชาวประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยนทิ้งไป เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงคราวสิ้นโลก ทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม ทิ้งคนชั่วลงในขุมไฟ ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคือง”
     “ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่” บรรดาศิษย์ทูลตอบว่า “เข้าใจแล้ว”
พระองค์จึงตรัสว่า “ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคนที่มาเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์ก็เหมือนกับเจ้าบ้านที่นำทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน”
         เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องอุปมาเหล่านี้จบแล้ว พระองค์เสด็จออกจากที่นั่น

 

ข้อคิด
     ในโลก มีทั้งคนดีและคนชั่ว บางที่คนดีก็เป็นคนชั่วมาก่อนแล้วเมื่อสำนึกตัวก็กลับใจ พระศาสนจักรเป็นเหมือนอวนที่จับปลาทุกชนิด วันมรณะเป็นวันสิ้นสุดของกิจกรรมทุกอย่าง ทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาแยกคนสองจำพวกจากกัน ทิ้งคนชั่วในขุมไฟนิรันดร.

วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม 2017 วันถวายพระวิหารแม่พระแห่งหิมะ

บทอ่านจากหนังสือเลวีนิติ                                              ลนต 25:1,8-14,17ข
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสบนภูเขาซีนาย ให้บอกชาวอิสราเอลว่า
“ท่านจะต้องนับระยะเวลาเจ็ดปีเจ็ดครั้ง จะได้รวมทั้งสิ้นสี่สิบเก้าปี ในวันที่สิบเดือนเจ็ด ท่านจะสั่งให้เป่าเขาสัตว์ ท่านจะสั่งให้ประกาศวันชดเชยบาปโดยเป่าเขาสัตว์ทั่วแผ่นดินของท่าน ท่านจะต้องประกาศว่าปีที่ห้าสิบนั้นเป็นปีศักดิ์สิทธิ์ และประกาศการปลดปล่อยสำหรับทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดิน ปีนั้นจะได้ชื่อว่า ‘ปีเป่าเขาสัตว์’ สำหรับท่าน แต่ละคนจะได้รับที่ดินของตระกูลคืนมา แต่ละคนจะกลับไปยังครอบครัวของตน ในปีที่ห้าสิบซึ่งเป็นปีเป่าเขาสัตว์สำหรับท่านนี้ ท่านจะต้องไม่หว่านพืช ไม่เก็บเกี่ยวข้าวซึ่งงอกขึ้นเอง ไม่เก็บผลองุ่นจากเถาที่ไม่ได้ลิด ปีเป่าเขาสัตว์นี้จะเป็นปีศักดิ์สิทธิ์สำหรับท่าน ตลอดปีนี้ ท่านจะกินพืชผลที่งอกขึ้นเองในทุ่งนา
     ในปีเป่าเขาสัตว์นี้ แต่ละคนจะได้รับที่ดินของตระกูลคืนมา ดังนั้น เมื่อท่านขายที่ดินแก่เพื่อนบ้าน หรือซื้อจากเขา ท่านจะต้องไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เมื่อซื้อที่ดินจากเพื่อนบ้าน ท่านจะต้องคำนวณราคาซื้อตามจำนวนปีที่ผ่านมาจากปีเป่าเขาสัตว์ครั้งก่อน ราคาขายจะขึ้นอยู่กับจำนวนปีการผลิตที่ยังเหลืออยู่ ยิ่งเหลือจำนวนปีมากเท่าใด ราคาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งจำนวนปีน้อยลงเท่าใด ราคาก็น้อยลงตามไปด้วย เพราะสิ่งที่เขาขายให้ท่านนั้นคือจำนวนการเก็บเกี่ยวพืชผล เพราะฉะนั้น จงยำเกรงพระเจ้าของท่าน เพราะเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 14:1-12
     เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า จึงตรัสกับข้าราชบริพารว่า “คนนี้คือยอห์นผู้ทำพิธีล้างที่กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ดังนั้นเขาจึงมีอำนาจทำอัศจรรย์ได้”
     กษัตริย์เฮโรดทรงสั่งให้จับกุมยอห์นล่ามโซ่และขังคุกไว้ เพราะเรื่องของนางเฮโรเดียส ภรรยาของฟีลิป พระอนุชา ยอห์นเคยทูลกษัตริย์เฮโรดว่า “ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับนางมาเป็นมเหสี” กษัตริย์เฮโรดต้องการจะฆ่ายอห์น แต่ทรงเกรงประชาชน เพราะประชาชนคิดว่ายอห์นเป็นประกาศก ในวันคล้ายวันประสูติของกษัตริย์เฮโรด บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสได้เต้นรำต่อหน้าแขกรับเชิญ เป็นที่พอพระทัยกษัตริย์เฮโรดอย่างยิ่ง พระองค์จึงทรงสัญญาและทรงสาบานจะประทานทุกสิ่งที่นางทูลขอ
นางจึงทูลตามคำแนะนำที่ได้รับจากมารดาว่า “โปรดประทานศีรษะของยอห์นผู้ทำพิธีล้างใส่ถาดมาให้หม่อมฉันที่นี่เถิด” กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์ แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้ และเพราะเห็นแก่ผู้รับเชิญ จึงทรงสั่งให้จัดการตามที่นางขอ กษัตริย์เฮโรดทรงส่งคนไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก เขาจึงนำศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาส่งให้หญิงสาว หญิงสาวจึงนำไปให้มารดา 12บรรดาศิษย์ของยอห์นได้มารับศพไปฝัง แล้วแจ้งข่าวให้พระเยซูเจ้าทรงทราบ

 

ข้อคิด
     พระเจ้ามีความเมตตากรุณา จึงให้ยิวฉลองปีเป่าเขาสัตว์ หรือยูบีลี (ฉลองทุก 50 ปีเพื่อให้คนจนที่สูญเสียที่ดินได้ที่ดินคืนมา. พระเยซูเจ้าใช้ภาพยูบีลีนี้เพื่อพูดถึงการเสด็จมาของพระองค์ผู้เป็นพระมหาไถ่ พระองค์ทรงยก”หนี้จิตวิญญาณ” เราจึงเป็นอิสระ
     เรื่องน.ยอห์นถูกตัดศีรษะ เป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยวันแล้ววันเล่าจนถึงสมัยของเรา มีการฆ่ากันในประเทศต่างๆไม่เว้นวัน เป็นการตัดสินเพื่อผลประโยชน์ของตนโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ศีลธรรม หลายคนถูกประหารชีวิตหรือจำคุกทั้งๆที่เป็นคนบริสุทธิ์

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown