มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2017 ระลึกถึง น.ปีโอที่ 10 พระสันตะปาปา

บทอ่านจากหนังสือผู้วินิจฉัย                                         วนฉ 2:11-19
     ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลทำสิ่งเลวร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า หันไปรับใช้พระบาอัลต่างๆ เขาละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษซึ่งทรงนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ แล้วติดตามเทพเจ้าอื่น ในบรรดาเทพเจ้าของชนชาติที่อยู่โดยรอบ เขากราบไหว้เทพเจ้าเหล่านี้ จึงทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้ากริ้ว เขาละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าหันไปรับใช้พระบาอัลและพระอัชทาโรทต่างๆ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธชาวอิสราเอลอย่างยิ่ง ทรงมอบเขาไว้ในมือของผู้รุกรานซึ่งเข้ามาปล้น ทรงขายเขาแก่ศัตรูที่อยู่โดยรอบ เขาต้านทานศัตรูไม่ได้อีกต่อไป ทุกครั้งที่ชาวอิสราเอลออกไปทำสงคราม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้เขาพ่ายแพ้ ดังที่เคยตรัสและทรงสาบานไว้ เขาต้องลำบากมาก
     แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้มีผู้วินิจฉัยหลายท่านมาช่วยเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของผู้รุกราน แต่เขาไม่ยอมเชื่อฟังผู้วินิจฉัยเหล่านี้ ทั้งยังขายตัวเหมือนหญิงแพศยาไปนมัสการเทพเจ้าอื่น และกราบไว้เทพเจ้าเหล่านั้น เขาหันเหอย่างรวดเร็วไปจากหนทางที่บรรดาบรรพบุรุษเคยเดิน เขาไม่ทำตามแบบอย่างของบรรพบุรุษที่เชื่อฟังบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานผู้วินิจฉัยให้เขา พระองค์สถิตกับผู้วินิจฉัยผู้นั้นและทรงช่วยชาวอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูตราบเท่าที่ผู้วินิจฉัยผู้นั้นมีชีวิตอยู่ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตาสงสารเสียงคร่ำครวญของเขาที่มีความทุกข์เพราะถูกกดขี่ แต่เมื่อผู้วินิจฉัยถึงแก่กรรมแล้ว เขาก็กลับไปประพฤติชั่วร้ายยิ่งกว่าชนรุ่นก่อนๆ เสียอีก เขาติดตามเทพเจ้าอื่นไปรับใช้และกราบไหว้เทพเจ้าเหล่านั้น ไม่ยอมเลิกกระทำเลวร้ายและดื้อดึงไม่ยอมเปลี่ยนความประพฤติของตน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 19:16-22
     เวลานั้น ชายคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้าทูลถามว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าต้องทำความดีอะไรเพื่อจะมีชีวิตนิรันดร” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เหตุใดจึงถามเราถึงความดี ผู้ทรงความดีมีแต่ผู้เดียวเท่านั้น ถ้าท่านอยากเข้าสู่ชีวิตนิรันดร ก็จงปฏิบัติตามบทบัญญัติเถิด” เขาทูลถามว่า “บทบัญญัติข้อใด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงนับถือบิดามารดา จงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง” ชายหนุ่มผู้นั้นทูลถามว่า “ข้าพเจ้าปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อแล้วยังขาดอะไรอีกหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ถ้าท่านอยากเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” เมื่อได้ยินพระวาจานี้ ชายหนุ่มผู้นั้นจากไปด้วยความทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สมบัติจำนวนมาก

 

ข้อคิด
     เด็กหนุ่มซึ่งลูกาบอกว่า เป็นขุนนาง (ลก 18:18) ภูมิใจว่าตนได้ทำดีที่สุด ปฏิบัติอย่างดีที่สุด พยายามอย่างดีที่สุด เป็นคนดี สมควรที่จะเข้าสู่อาณาจักรพระเป็นเจ้า เพื่อจะยืนยันความภูมิใจของตนเอง จึงได้มาถามพระเยซูเจ้า แต่คำตอบที่เขาได้รับจากพระเยซูเจ้าไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวังไว้ และผิดหวังในคำตอบของพระเยซูเจ้า เพราะสิ่งที่เขากระทำยังไม่สามารถเข้าอาณาจักรของพระเป็นเจ้าได้ พระเยซูเจ้าชี้ให้เห็นว่าเขาฝากชีวิตไว้กับทรัพย์สมบัติที่เขามีและคิดว่าจะนำเขาให้ไปรับชีวิตนิรันดรได้ สิ่งที่เด็กหนุ่มยังขาดคือ ความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนพี่น้อง

วันอังคารที่ 22 สิงหาคม 2017 ระลึกถึงพระนางมารีย์ ราชินีแห่งสากลโลก

บทอ่านจากหนังสือผู้วินิจฉัย                                         วนฉ 6:11-24ก
     ในครั้งนั้น ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาที่หมู่บ้านโอฟราห์ และนั่งอยู่ใต้ต้นโอ๊ก ซึ่งเป็นของโยอาช จากตระกูลอาบีเยเซอร์ กิเดโอน บุตรของเขากำลังนวดข้าวอยู่ในบ่อย่ำองุ่น เพื่อไม่ให้ชาวมีเดียนเห็น ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสำแดงองค์แก่เขากล่าวว่า “ท่านนักรบผู้เข้มแข็ง องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน” กิเดโอนก็ตอบว่า “ขอถามสักหน่อยเถิด เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเรา ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้กับเรา เครื่องหมายอัศจรรย์ต่างๆ ที่บรรพบุรุษของเราเคยเล่าให้เราฟังนั้นอยู่ที่ไหน เขาเคยเล่าว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำเราออกมาจากอียิปต์’ แต่บัดนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงละทิ้งเราไปแล้ว พระองค์ทรงมอบเราไว้ในมือของชาวมีเดียน”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสสั่งเขาว่า “จงไปเถิด จงใช้กำลังที่ท่านมีนี้ช่วยอิสราเอลให้พ้นจากมือของชาวมีเดียน เราเป็นผู้ที่ส่งท่านไป” กิเดโอนทูลตอบว่า “นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะช่วยชาวอิสราเอลได้อย่างไร ตระกูลของข้าพเจ้าเป็นตระกูลที่อ่อนแอที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ และข้าพเจ้าก็ต่ำต้อยที่สุดในครอบครัวของบิดา” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เราจะอยู่กับท่าน และท่านจะเอาชนะชาวมีเดียนทั้งหมดเหมือนกับว่าเขาทั้งหลายมีเพียงคนเดียว” กิเดโอนทูลตอบว่า “ถ้าพระองค์ทรงโปรดปรานข้าพเจ้า โปรดประทานเครื่องหมายให้ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นพระองค์ที่ตรัสกับข้าพเจ้า ขออย่าทรงจากข้าพเจ้าไปจนกว่าข้าพเจ้าจะกลับมา และนำของมาถวายแด่พระองค์ พระองค์ตรัสว่า ‘เราจะคอยท่านอยู่จนท่านกลับมา’”
     กิเดโอนก็เข้าไปในบ้าน จัดเตรียมลูกแพะตัวหนึ่งและเอาแป้งหนึ่งถังมาทำขนมปังไร้เชื้อ เขาเอาเนื้อใส่ลงตะกร้าและเอาน้ำต้มเนื้อใส่หม้อ นำมาถวายที่ใต้ต้นโอ๊ก ทูตของพระเจ้าบอกเขาว่า “จงเอาเนื้อและขนมปังไร้เชื้อวางบนหินก้อนนี้ แล้วเทน้ำต้มเนื้อลงบนนั้น” เขาก็ทำตาม ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงยื่นปลายไม้ที่ถืออยู่แตะเนื้อและขนมปังไร้เชื้อ ทันใดนั้นก็มีเปลวไฟลุกจากก้อนหินมาเผาเนื้อและขนมปังจนหมด แล้วทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็หายวับไปกับตา กิเดโอนจึงรู้ว่าเขาเห็นทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์ของพระองค์ซึ่งๆ หน้าแล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “สันติสุขจงมีแก่ท่าน อย่ากลัวไปเลย ท่านจะไม่ตาย” กิเดโอนจึงสร้างแท่นบูชาถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าที่นั่น แล้วตั้งชื่อว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสันติสุข

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 19:23-30
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ยาก เราบอกท่านอีกว่า อูฐจะลอดรูเข็ม ยังง่ายกว่าคนมั่งมีเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์” เมื่อบรรดาศิษย์ได้ยินเช่นนี้ ต่างรู้สึกประหลาดใจมาก จึงทูลถามว่า “แล้วดังนี้ ใครเล่าจะรอดพ้นได้” พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ แล้วตรัสว่า “สำหรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้า ทุกอย่างเป็นไปได้”
     เปโตรจึงทูลถามว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายสละทุกสิ่งและติดตามพระองค์แล้ว จะได้อะไรบ้าง” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่ เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะประทับเหนือพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์ ท่านทั้งหลายที่ติดตามเรา ก็จะนั่งบนบัลลังก์ทั้งสิบสองบัลลังก์ เพื่อพิพากษาตระกูลอิสราเอลทั้งสิบสองตระกูลด้วย และผู้ใดที่สละบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตร ไร่นาเพราะเห็นแก่เรา ก็จะได้รับตอบแทนร้อยเท่า และจะได้รับชีวิตนิรันดรเป็นมรดกด้วย หลายคนที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับเป็นกลุ่มสุดท้าย และกลุ่มสุดท้ายจะกลับเป็นกลุ่มแรก”

 

ข้อคิด
     พระวรสารต่อเนื่องมาจากเมื่อวานนี้ เด็กหนุ่มได้แสดงตัวตนของตนเองอย่างชัดเจนว่า แม้พระเยซูเจ้าจะชี้หนทางแห่งพระอาณาจักรของพระเป็นเจ้า แต่เด็กหนุ่มก็ได้เลือกทรัพย์สมบัติก่อนอาณาจักรสวรรค์ ดังนั้นพระเยซูเจ้าตรัสว่า คนที่ไม่ยอมสละสิ่งที่ตนมีก็อยู่ห่างไกลจากพระอาณาจักรพระเจ้า เป็นการยากที่จะได้รับชีวิตนิรันดร แม้แต่อัครสาวกยังไม่เข้าใจหนทางที่พระเยซูเจ้าได้สอนเด็กหนุ่มคนนั้น ยังกังวลว่า แล้วพวกตนที่ติดตามพระเยซูเจ้า ได้ค่าตอบแทนอะไรบ้าง พระเยซูเจ้าจึงตรัสสอนอัครสาวกว่ารางวัลของการติดตามพระองค์ พระเป็นเจ้าจะประทานให้เอง

วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม 2017 ฉลองนักบุญบาร์โธโลมิว อัครสาวก

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์                                              วว 21:9ข-14
     ทูตสวรรค์องค์หนึ่งกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “มาเถิด ข้าพเจ้าจะให้ดูสตรีที่เป็นเจ้าสาวของลูกแกะ” ทูตสวรรค์นำข้าพเจ้าเดชะพระจิตเจ้าไปบนภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง ชี้ให้ข้าพเจ้าเห็นกรุงเยรูซาเล็ม นครศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกำลังลงมาจากสวรรค์ มาจากพระเจ้า นครนี้มีพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า มีความสุกใสเหมือนเพชรพลอยล้ำค่า คล้ายแก้วมณีโชติช่วงเป็นผลึกสดใส มีกำแพงสูงใหญ่ ประตูสิบสองประตู แต่ละประตูมีทูตสวรรค์ประจำอยู่และมีชื่อจารึกไว้ คือชื่อตระกูลอิสราเอลสิบสองตระกูล ทางทิศตะวันออกมีสามประตู ทางทิศเหนือมีสามประตู ทางทิศใต้มีสามประตู และทางทิศตะวันตกมีสามประตู กำแพงเมืองตั้งอยู่บนฐานศิลาสิบสองฐาน บนฐานศิลานั้นมีชื่อของบรรดาอัครสาวกทั้งสิบสององค์ของลูกแกะ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 1:45-51
     เวลานั้น ฟีลิปพบนาธานาเอล และบอกเขาว่า “เราพบผู้ที่โมเสสในธรรมบัญญัติและบรรดาประกาศกเขียนถึง ผู้นั้นคือพระเยซู บุตรของโยเซฟ ชาวนาซาเร็ธ” นาธานาเอลจึงพูดกับฟีลิปว่า “จะมีอะไรดีมาจากนาซาเร็ธได้รึ”
ฟีลิปตอบว่า “มาดูซิ” พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลเข้ามาเฝ้า จึงตรัสถึงเขาว่า “นี่คือชาวอิสราเอลแท้ เป็นคนไม่มีมารยา” นาธานาเอลทูลถามว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร”
     พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อเทศ” นาธานาเอลทูลตอบว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านเชื่อเพราะเราพูดว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อเทศหรือ ท่านจะเห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” แล้วพระองค์ตรัสเสริมว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าเปิด และจะเห็นบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงรับใช้บุตรแห่งมนุษย์”

 

ข้อคิด
     ก่อนหน้าพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงกลับสู่กาลิลี พระองค์ทรงพบฟิลิปและตรัสเรียกเขา “จงตามเรามาเถิด” (ยน 1:43) จากนั้นในวันนี้ฟิลิปไปพบกับนาธานาเอล ได้พูดถึงประสบการณ์ของตัวท่านเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า (ยน 1:45) นาธานาเอล ตอบกลับ “จะมีอะไรดีมาจากนาซาเร็ธได้รึ” (ยน 1:46) ในพระคัมภีร์ชาวยิวเชื่อว่าพระผู้ไถ่จะมาจากเบธเลเฮมในแผ่นดินยูดาห์ ไม่ใช่มาจากนาซาเร็ธในกาลิลี นาธานาเอลได้พบพระเยซูเจ้า มีประสบการณ์กับพระเยซูเจ้า ท่านจึงได้ยืนยันความเชื่อว่า พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล” (ยน 1:49)

วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2017 น.โรซา ชาวลีมา พรหมจารี

บทอ่านจากหนังสือผู้วินิจฉัย                                          วนฉ 9:6-15
     ในครั้งนั้น คนสำคัญทั้งหลายของเมืองเชเคมและเบธมิลโลทั้งหมดมาชุมนุมกันที่ต้นโอ๊กใกล้เสาศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองเชเคม ตั้งอาบีเมเลคเป็นกษัตริย์
     เมื่อโยธามทราบข่าวนี้ก็ไปยืนบนยอดภูเขาเกริซิมร้องตะโกนเสียงดังว่า
“ชาวเชเคมผู้มีเกียรติทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้าเถิด แล้วพระเจ้าจะทรงฟังท่านด้วย ครั้งหนึ่ง บรรดาต้นไม้ออกไป เพื่อเจิมตั้งกษัตริย์ขึ้นปกครองตน กล่าวเชิญต้นมะกอกเทศว่า ‘จงเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเราเถิด’ ต้นมะกอกเทศตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะต้องเลิกผลิตน้ำมัน ที่ใช้ถวายเกียรติแด่เทพเจ้าและมนุษย์ ไปแกว่งไกวอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆ หรือ’ บรรดาต้นไม้จึงกล่าวเชิญต้นมะเดื่อเทศว่า ‘จงมาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเราเถิด’ ต้นมะเดื่อเทศตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะต้องเลิกผลิตผลหวานน่ากิน ไปแกว่งไกวอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆ หรือ’ บรรดาต้นไม้กล่าวเชิญเถาองุ่นว่า ‘จงมาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเราเถิด’ เถาองุ่นตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะต้องเลิกผลิตเหล้าองุ่น ซึ่งทำให้เทพเจ้าและมนุษย์มีความยินดี ไปแกว่งไกวอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆ หรือ’ บรรดาต้นไม้จึงพร้อมใจกล่าวเชิญพุ่มหนามว่า ‘จงมาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเราเถิด’ พุ่มหนามก็ตอบบรรดาต้นไม้ว่า ‘ถ้าท่านต้องการเจิมตั้งข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์จริงๆ ละก็ จงมาพักอยู่ใต้ร่มเงาของข้าพเจ้าเถิด ถ้าท่านไม่มา ไฟจะออกมาจากพุ่มหนาม และเผาผลาญต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน’”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 20:1-16ก
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์เป็นคำอุปมาว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่น ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำงานในสวนองุ่น ประมาณสามโมงเช้า พ่อบ้านออกมาก็เห็นคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่ลานสาธารณะโดยไม่ทำงาน จึงพูดกับคนเหล่านี้ว่า ‘จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ คนเหล่านี้ก็ไป พ่อบ้านออกไปอีกประมาณเที่ยงวันและบ่ายสามโมง กระทำเช่นเดียวกัน ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคนอื่นๆ ยืนอยู่ จึงถามเขาว่า ‘ทำไมท่านยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำอะไร’ เขาตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครมาจ้าง’ พ่อบ้านจึงพูดว่า ‘จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด’
     ครั้นถึงเวลาค่ำ เจ้าของสวนบอกผู้จัดการว่า ‘ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริ่มตั้งแต่คนสุดท้ายจนถึงคนแรก’ เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่งเหรียญ เมื่อคนงานพวกแรกมาถึง เขาคิดว่าตนจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้รับคนละหนึ่งเหรียญเช่นเดียวกัน ขณะรับค่าจ้างเขาก็บ่นต่อหน้าเจ้าของสวนว่า ‘พวกที่มาสุดท้ายนี้ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว ท่านก็ให้ค่าจ้างแก่เขาเท่ากับเรา ซึ่งต้องตรากตรำอยู่กลางแดดตลอดวัน’ เจ้าของสวนจึงพูดกับคนหนึ่งในพวกนี้ว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับฉันคนละหนึ่งเหรียญหรือ จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ’
ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับเป็นคนกลุ่มสุดท้าย”

 

ข้อคิด
     เรื่องราวของคำอุปมาในพระวรสารวันนี้ มีเฉพาะในพระวรสารของนักบุญมัทธิวเท่านั้น พระเยซูเจ้าเล่าเรื่องที่ชาวยิวคุ้นเคย เป็นชีวิตประจำวันของพวกเขา แต่พระองค์ได้ให้ความหมายที่ลึกซึ้ง พระองค์ได้สะท้อนให้เห็นว่า เราได้รับความรักเท่ากันจากพระเป็นเจ้า ความรักของพระเป็นเจ้า ไม่ได้วัดกันที่ชั่วโมงการทำงาน ไม่ได้วัดที่ความสามารถ แต่ เป็นความรัก ความเมตตาที่พระเป็นเจ้าให้กับเราทุกคน เพราะความอิจฉาของคนงานที่มาทำงานก่อนทำให้เขามองข้ามความจริง (มธ 20:13-15) พวกเขาจึงไม่ได้สัมผัสความรัก ความใจดี ที่พ่อบ้านได้มอบให้

วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2017 น.หลุยส์ กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส น.โยเซฟ กาลาซานส์ พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสือนางรูธ                                             นรธ 1:1,3-8ก,14-16,22
     ในสมัยที่บรรดาผู้วินิจฉัยปกครองอิสราเอล เกิดอดอยากกันดารอาหารขึ้นในแผ่นดิน ชายคนหนึ่งจากเมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูดาห์พร้อมกับภรรยาและบุตรชายสองคน เดินทางไปอยู่ในที่ราบโมอับ
     ต่อมาเอลีเมเลค สามีของนางนาโอมีถึงแก่กรรม ทิ้งนางไว้กับบุตรชายสองคน บุตรทั้งสองคนแต่งงานกับหญิงชาวโมอับ คนหนึ่งชื่อโอรปาห์ อีกคนหนึ่งชื่อรูธ เขาอยู่ที่นั่นประมาณสิบปี แล้วมาห์โลนและคิลิโอนก็ถึงแก่กรรม ทิ้งนางนาโอมีไว้คนเดียว ไม่มีทั้งบุตรและสามี นางนาโอมีได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเยี่ยมเยียนประชากรของพระองค์ ประทานอาหารให้เขาอีก จึงเตรียมจะออกจากที่ราบโมอับไปกับบุตรสะใภ้สองคน นางจึงออกจากสถานที่อยู่พร้อมกับบุตรสะใภ้ทั้งสองคนและขณะที่กำลังเดินทางกลับไปยังแผ่นดินยูดาห์
     นางนาโอมีกล่าวแก่บุตรสะใภ้ทั้งสองคนว่า “ลูกแต่ละคนจงกลับไปบ้านมารดาของลูกเถิด ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อลูกทั้งสองคน เหมือนกับที่ลูกเคยแสดงต่อแม่และต่อสามีที่ล่วงลับไปแล้วเถิด” เขาทั้งสองคนเริ่มร้องไห้เสียงดังอีก แล้วนางโอรปาห์ก็จูบลามารดาของสามีและกลับไป แต่นางรูธไม่ยอมพรากจากเธอ
     นางนาโอมีจึงกล่าวว่า “ดูสิ พี่สะใภ้ของลูกกลับไปหาประชาชนและเทพเจ้าของตนแล้ว ลูกจงกลับไปกับพี่สะใภ้ของลูกเถิด”
แต่นางรูธตอบว่า “แม่อย่าเร่งรัดให้ดิฉันละทิ้งแม่ หรือห้ามดิฉันไม่ให้ไปกับแม่เลย แม่จะไปที่ไหน ดิฉันจะไปที่นั่นด้วย แม่จะอยู่ที่ไหน ดิฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ประชากรของแม่จะเป็นประชากรของดิฉัน พระเจ้าของแม่จะเป็นพระเจ้าของดิฉันด้วย
ดังนี้ นางนาโอมีกับนางรูธบุตรสะใภ้ชาวโมอับกลับมาจากที่ราบโมอับ เขาทั้งสองคนมาถึงเมืองเบธเลเฮมต้นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 22:34-40
     เวลานั้น เมื่อชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำให้ชาวสะดูสีนิ่งอึ้งไป จึงมาชุมนุมพร้อมกัน มีคนหนึ่งเป็นบัณฑิตทางกฎหมาย ได้ทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “พระอาจารย์ บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอ ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้”


ข้อคิด
     ฟาริสีภูมิใจในตนเองว่าเป็นผู้มีความรู้ในบทบัญญัติและพิธีกรรม และได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด พวกเขาต้องการทดสอบพระเยซูเจ้าว่า พระเยซูรู้และปฏิบัติบทบัญญัติเหมือนอย่างพวกเขาหรือไม่ ซึ่งพระเยซูเจ้าได้ตอบว่า พระบัญญัติของพระเป็นเจ้ามีประการเดียวคือ “รัก” รักใคร “รักพระ” และ “รักเพื่อนพี่น้อง”(มธ 22:37-38) ดังนั้น บรรดาคริสตชนต้องรักพระเป็นเจ้าด้วยทุกสิ่งที่มีและเมื่อรักพระเป็นเจ้าต้องไม่ละเลยเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่รักเพียงพระเจ้าและละเลยต่อเพื่อนพี่น้องรอบข้าง

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown