มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม 2019 สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                        ปฐก 18:16-33
     ชายทั้งสามคนออกเดินทางไปจากที่นั่น และมาถึงสถานที่ซึ่งมองลงมาเห็นเมืองโสดมได้ อับราฮัมเดินตามไปส่งด้วย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระดำริว่า “ควรหรือที่เราจะปิดบังไม่ให้อับราฮัมรู้ถึงสิ่งที่เราจะทำ อับราฮัมจะเป็นชนชาติใหญ่และมีอำนาจ และชนทุกชาติบนแผ่นดินจะได้รับพรเพราะเขา เราเลือกเขาไว้ให้สั่งสอนลูกหลานและครอบครัวที่จะตามมาให้ปฏิบัติตามวิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า โดยทำแต่สิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม เพื่อว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานสิ่งที่ทรงสัญญาไว้แก่อับราฮัม” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เสียงกล่าวโทษเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์นั้นดังเหลือเกิน และบาปของเขาก็หนักมาก เราจะลงไปดูว่าเป็นจริงตามเสียงกล่าวโทษทั้งหมดนี้หรือไม่ เราอยากรู้”
     ชายเหล่านั้นจึงออกจากที่นั่นเดินตรงไปยังเมืองโสโดม แต่อับราฮัมยังยืนเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ อับราฮัมเข้ามาใกล้ทูลถามว่า “พระองค์จะทรงทำลายผู้ชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรมเทียวหรือ ถ้ามีคนชอบธรรมอยู่ห้าสิบคนในเมืองนั้น พระองค์จะยังทรงทำลายเมืองนั้นหรือ พระองค์จะไม่ทรงอภัยเมืองนั้นเพราะเห็นแก่คนชอบธรรมห้าสิบคนที่อยู่ที่นั่นหรือ ขอพระองค์อย่าทรงคิดที่จะกระทำเช่นนั้นเลย อย่าทรงคิดที่จะฆ่าคนชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรม อย่าทรงกระทำกับคนชอบธรรมเช่นเดียวกับคนอธรรม ขอพระองค์อย่าทรงกระทำเช่นนั้นเลย พระองค์ผู้ทรงพิพากษาตัดสินโลกจะไม่ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องหรือ” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเราพบคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองโสดม เราจะให้อภัยเมืองนั้น เพราะเห็นแก่เขา”
     อับราฮัมทูลอีกว่า “ขอประทานอภัยที่ข้าพเจ้าบังอาจทูลเจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นเพียงฝุ่นผงและขี้เถ้า ถ้าในห้าสิบคนนั้นขาดไปห้าคน พระองค์ยังจะทรงทำลายเมืองนั้นทั้งเมืองเพราะขาดไปห้าคนหรือ” พระองค์ตรัสว่า “เราจะไม่ทำลาย ถ้าเราพบคนชอบธรรมสี่สิบห้าคนที่นั่น” อับราฮัมทูลพระองค์อีกว่า “ถ้าทรงพบเพียงสี่สิบคนที่นั่นเล่า” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลาย เพราะเห็นแก่สี่สิบคน”
     อับราฮัมทูลว่า “เจ้านายของข้าพเจ้าอย่ากริ้วเลย ถ้าข้าพเจ้าจะทูลต่ออีกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าพระองค์ทรงพบเพียงสามสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลาย ถ้าเราพบสามสิบคน” อับราฮัมทูลว่า “ขอประทานอภัยที่ข้าพเจ้าบังอาจทูลเจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าพระองค์ทรงพบเพียงยี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น เพราะเห็นแก่ยี่สิบคน” อับราฮัมทูลว่า “เจ้านายของข้าพเจ้าอย่ากริ้วเลย ถ้าข้าพเจ้าจะทูลต่ออีกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าพระองค์ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น เพราะเห็นแก่สิบคน”
     เมื่อตรัสกับอับราฮัมแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จจากไป อับราฮัมจึงกลับบ้าน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                              มธ 8:18-22
    เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเห็นประชาชนห้อมล้อมพระองค์ จึงทรงสั่งบรรดาศิษย์ให้ข้ามทะเลสาบไปอีกฝั่งหนึ่ง ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาทูลว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าอยากติดตามพระองค์ไปทุกแห่งที่พระองค์จะเสด็จ” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ”
ศิษย์อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปฝังศพบิดาของข้าพเจ้าเสียก่อน” แต่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา และปล่อยให้คนตายฝังคนตายของตนเถิด”

 

ข้อคิด

    การอภัยในความผิดที่บุคคลก่อให้เกิดการตัดสินลงโทษ มักจะมีคนกลางช่วยเหลือยับยั้ง ในสังคมระบบการลงโทษจะมีศาลเป็นหน่วยงานตรวจสอบ โดยมีผู้พิพากษาเป็นผู้ดูแล ทั้งนี้ระบบของสากลจะแบ่งเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ผลการตัดสินอาจแตกต่างหรือเห็นแย้งตามการตรวจสอบในดุลยพินิจของผู้พิพากษา อับราฮัมร้องขอการลดโทษ องค์พระผู้เป็นเจ้าให้โอกาส แต่ที่สุด ก็มีการลงโทษเพราะความผิดต่อธรรมบัญญัติเกินการเยียวยา เราแต่ละคนต้องมีสำนึกและแก้ไขความผิด อย่าปล่อยให้เป็นนิสัยแก้ยาก เป็นต้น บาปผิดทางเพศ

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม 2019 สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                         ปฐก 19:15-29
     ครั้นรุ่งเช้า ทูตสวรรค์ก็เร่งโลทว่า “ลุกขึ้นเถิด จงพาภรรยาและบุตรหญิงทั้งสองคนของท่านที่อยู่ที่นี่ออกไป ท่านจะได้ไม่ถูกทำลายพร้อมกับความพินาศของเมืองนี้” โลทยังรีรอ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตาต่อเขา ทูตสวรรค์ทั้งสององค์จึงจูงมือโลท ภรรยาและบุตรหญิงทั้งสองคนของเขา พาออกไปปล่อยไว้นอกเมือง
เมื่อพาออกมานอกเมืองแล้ว ทูตสวรรค์องค์หนึ่งกล่าวว่า “จงหนีให้รอดชีวิต อย่าเหลียวหลังกลับ หรือหยุดในที่ลุ่มแม่น้ำ จงหนีไปที่ภูเขาเถิด มิฉะนั้น ท่านจะถูกทำลายไปด้วย” แต่โลทตอบว่า “อย่าเลย เจ้านายของข้าพเจ้า เมื่อท่านโปรดปรานผู้รับใช้ของท่าน ท่านได้แสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้แล้ว แต่ข้าพเจ้าจะหนีไปถึงภูเขาไม่ได้ ก่อนที่ภัยพิบัติจะมาถึงและข้าพเจ้าจะตาย ท่านเห็นเมืองเล็กๆ เมืองนั้นไหม เมืองนั้นอยู่ใกล้พอที่จะหนีไปถึง ขอให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่นเถิด เมืองนั้นเป็นเมืองเล็กๆ และข้าพเจ้าจะรอดชีวิตได้” ทูตสวรรค์ตอบว่า “เรายอมตามคำขอของท่านในเรื่องนี้ เราจะไม่ทำลายเมืองที่ท่านพูดถึง เร็วเข้าเถิด จงหนีไปที่นั่นเพราะเราจะทำสิ่งใดไม่ได้จนกว่าท่านจะไปถึงที่นั่น” ดังนั้น เมืองนั้นจึงมีชื่อว่าโศอาร์
     ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว เมื่อโลทมาถึงเมืองโศอาร์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้กำมะถันและไฟตกจากฟ้า เผาเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ พระองค์ทรงทำลายสองเมืองนี้ ลุ่มแม่น้ำทั้งหมดพร้อมกับชาวเมือง และพืชต่างๆ ที่นั่น ส่วนภรรยาของโลทเหลียวหลังกลับไปดูจึงกลายเป็นเสาเกลือ
     เช้าวันรุ่งขึ้น อับราฮัมรีบกลับไปยังที่ที่เขาได้ยืนเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า มองลงไปทางเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ เห็นควันพลุ่งขึ้นจากพื้นดินเหมือนควันจากเตาไฟ
เมื่อพระเจ้าทรงทำลายเมืองในลุ่มแม่น้ำ พระองค์ทรงระลึกถึงอับราฮัม ทรงพาโลทออกไปให้พ้นจากความหายนะ เมื่อทรงทำลายเมืองที่โลทอาศัยอยู่

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                              มธ 8:23-27
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือ บรรดาศิษย์ติดตามพระองค์ไปด้วย ทันใดนั้น เกิดพายุแรงกล้าในทะเลสาบ คลื่นสูงจนไม่เห็นเรือ แต่พระองค์บรรทมหลับ บรรดาศิษย์จึงเข้ามาปลุกพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยด้วยเถิด เรากำลังจะพินาศอยู่แล้ว” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ทำไมจึงตกใจกลัวเล่า ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเหลือเกิน” แล้วทรงลุกขึ้นบังคับลมและทะเล ท้องทะเลก็สงบราบเรียบ คนทั้งหลายต่างประหลาดใจ พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้”

 

ข้อคิด

     ในสังคมที่ทำผิดจนเกินความเมตตาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแสดงออกด้วยการให้อภัยเรื่อยมา แต่มนุษย์ยังดื้อรั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะสงวนความเมตตาให้หมู่คณะที่ทำดี ประพฤติดี ดังครอบครัวของโลท ซึ่งต้องเดินทางออกจากเมืองโสโดมและโกโมราห์ พระเยซูเจ้าทรงแสดงฐานะเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเป็นอาจารย์เสมอ เมื่อศิษย์ขาดสำนึกถึงอัศจรรย์มากมายที่ทรงกระทำ... แล้วทำไมศิษย์ต้องกลัวโดยปราศจากความเชื่อและไว้ใจในพระองค์ ขณะประทับอยู่กับพวกเขา ยามมีอุปสรรคและความกลัวพายุ เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงตรัสว่า “กลัวทำไม” แม้หลายคนเป็นชาวประมงอยู่กับทะเลเอง

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม 2019 น.เอลีซาเบ็ธ ราชินีแห่งปอร์ตุเกส

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                        ปฐก 22:1-19
     ต่อมาไม่นาน พระเจ้าทรงลองใจอับราฮัม พระองค์ตรัสเรียกเขาว่า “อับราฮัมเอ๋ย” อับราฮัมทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” พระเจ้าตรัสว่า “จงพาอิสอัคบุตรของท่าน บุตรคนเดียวที่ท่านรักไปยังดินแดนโมริยาห์ แล้วถวายเขาเป็นเครื่องเผาบูชาบนภูเขาที่เราจะบอกให้ท่านรู้”
      เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อับราฮัมใส่อานบนหลังลา พาผู้รับใช้สองคนและอิสอัคบุตรชายไปด้วย เขาผ่าฟืนสำหรับใช้เผาบูชา แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่ที่พระเจ้าทรงบอกให้รู้ ในวันที่สาม อับราฮัมเงยหน้าแลเห็นที่นั้นแต่ไกล อับราฮัมจึงพูดกับผู้รับใช้ว่า “จงอยู่ที่นี่เฝ้าลาไว้ด้วย ส่วนเรากับลูกจะไปนมัสการพระเจ้าที่โน่นแล้วจะกลับมา”
อับราฮัมให้อิสอัคแบกฟืนสำหรับใช้เผาบูชา ส่วนตนถือไฟและมีด แล้วทั้งสองคนเดินทางไปด้วยกัน อิสอัคพูดกับอับราฮัม บิดาของตนว่า “พ่อครับ” อับราฮัมถามว่า “อะไรหรือลูก” อิสอัคพูดต่อไปว่า “ดูซิ ที่นี่มีไฟและฟืน แต่ลูกแกะที่จะใช้เผาบูชาอยู่ที่ไหน” อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับเผาบูชาให้เอง” แล้วทั้งสองคนก็เดินทางต่อไป
     เมื่อทั้งสองคนมาถึงสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกให้รู้แล้ว อับราฮัมก่อแท่นบูชาขึ้น จัดเรียงฟืนไว้บนนั้น แล้วมัดอิสอัคนำมาวางไว้บนกองฟืนบนแท่นบูชา อับราฮัมยื่นมือออกไป เงื้อมีดจะฆ่าบุตร แต่ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าร้องเรียกจากสวรรค์ว่า “อับราฮัมเอ๋ย อับราฮัม” อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่” ทูตสวรรค์กล่าวว่า “อย่าลงมือฆ่าเด็กหรือทำร้ายเขาเลย บัดนี้ เรารู้แล้วว่า ท่านยำเกรงพระเจ้า และมิได้หวงบุตรคนเดียวของท่านไว้ ไม่ถวายแก่เรา” อับราฮัมเงยหน้าขึ้น แลเห็นแกะเพศผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ อับราฮัมจึงไปจับมันมาฆ่าเผาถวายบูชาแทนบุตรชาย อับราฮัมเรียกสถานที่นั้นว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดเตรียมไว้” แม้กระทั่งทุกวันนี้คนทั้งหลายก็ยังพูดกันว่า “บนภูเขาองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดเตรียมไว้”
     ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าจากสวรรค์เรียกอับราฮัมเป็นครั้งที่สองว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เพราะท่านได้ทำดังนี้ คือมิได้หวงบุตรชายคนเดียวของท่านไว้ เราสาบานต่อเราเองว่า เราอวยพรให้ท่านอย่างมาก จะให้ลูกหลานของท่านทวีจำนวนมากเท่ากับดวงดาวบนท้องฟ้าและเม็ดทรายตามชายทะเล ลูกหลานของท่านจะได้เมืองของศัตรูเป็นกรรมสิทธิ์ ชนทุกชาติบนแผ่นดินจะได้รับพระพรเพราะลูกหลานของท่าน ทั้งนี้ เพราะท่านเชื่อฟังคำสั่งของเรา”
     อับราฮัมจึงกลับไปหาผู้รับใช้ แล้วพากันเดินทางกลับไปเบเออร์เชบา อับราฮัมอาศัยอยู่ที่เบเออร์เชบานั้น

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 9:1-8
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฝั่งกลับมายังเมืองของพระองค์ ทันใดนั้น มีผู้หามคนอัมพาตคนหนึ่งนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของเขา จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ทำใจดีๆ ไว้เถิด ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” ธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า “คนนี้กล่าวดูหมิ่นพระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า “ท่านคิดร้ายในใจทำไม อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ หรือบอกว่า ‘ลุกขึ้น เดินไปเถิด’ แต่เพื่อให้ท่านทราบว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนอัมพาตว่า “จงลุกขึ้น แบกแคร่ กลับบ้านเถิด” เขาก็ลุกขึ้นกลับไปบ้าน เมื่อประชาชนเห็นดังนี้ ต่างมีความกลัว ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ผู้ประทานอำนาจเช่นนี้ให้แก่มนุษย์

 

ข้อคิด

     ท่านอับราฮัม นอกจากมีความเชื่อมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ยังแสดงฐานะไม่ยึดติดกับชีวิตที่ท่านมั่นใจว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็น “เจ้าของชีวิตด้วย” การถวายอิสอัค ภายหลังเป็นรูปหมายถึง พระบิดามอบพระบุตรเป็นของถวายบูชาไถ่บาปมวลมนุษย์ ทำให้เห็นภาพของความรักและจิตใจที่เสียสละอย่างแท้จริง พระวาจาทรงชีวิตในพระวรสารย้ำอีกครั้งว่า บาปเป็นสาเหตุของการทำลายชีวิต เมื่อพระเยซูเจ้าทรงอภัยบาปก็เท่ากับคืนสุขภาพที่ดีให้ผู้ป่วยทุกคนด้วย

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม 2019 ฉลองนักบุญโทมัส อัครสาวก

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกชาวเอเฟซัส      อฟ 2:19-22
     พี่น้อง ท่านจึงไม่เป็นคนต่างด้าวหรือผู้มาขออาศัยอีกต่อไป แต่เป็นเพื่อนร่วมชาติกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ถูกสร้างขึ้นเป็นอาคารโดยมีบรรดาอัครสาวกและประกาศกเป็นรากฐาน มีพระคริสตเยซูทรงเป็นศิลาหัวมุม พระคริสตเจ้าทรงทำให้อาคารทุกส่วนต่อกันสนิทเจริญขึ้นเป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระคริสตเจ้า ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันกำลังถูกก่อสร้างร่วมกันขึ้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าเดชะพระจิตเจ้า

 

สดด 117:1,2

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                              ยน 20:24-29

     เวลานั้น โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ไม่ได้อยู่กับอัครสาวกคนอื่นๆ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา ศิษย์คนอื่นบอกเขาว่า “พวกเราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่เขาตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกาย ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก โทมัสก็อยู่กับเขาด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามายืนอยู่ตรงกลางทั้งๆ ที่ประตูปิดอยู่ ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชื่อเถิด” โทมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า”
พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข”

 

ข้อคิด

     แม้เป็นอัครสาวก แต่ยังขาดการพัฒนา เปลี่ยนแปลงชีวิตเพื่อสอดรับกับคำสอน และการอัศจรรย์ที่มองเห็นได้ในช่วงเวลาที่อยู่กับพระองค์ นักบุญโทมัสยังคงสงสัยในพระอานุภาพของพระเยซูเจ้าหลังกลับคืนพระชนมชีพแล้ว ความห่วงใยและเอาพระทัยใส่ที่ทรงมีต่ออัครสาวกที่ยังตกใจ เพราะพระอาจารย์ถูกตัดสินลงโทษ ตรึงตายบนไม้กางเขน ทำให้ศิษย์หดหู่ ซึ่งพระองค์ทรงทราบดี จึงทรงประจักษ์พระองค์เพื่อให้กำลังใจและทรงประกาศว่าจะค้ำจุนพวกเขา และทรงสนับสนุนงานแพร่ธรรมจนกว่าจะสิ้นโลก ให้เราเปิดใจเชื่อและประพฤติตนตามความเชื่อด้วย

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม 2019 น.อันตน มารีย์ ซักกาเรีย พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                        ปฐก 23:1-4,19 และ 24:1-8,62-67
     นางซาราห์มีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดปี นางถึงแก่กรรมที่เมืองคีริยาทอารบา คือเฮโบรน ในแผ่นดินคานาอัน อับราฮัมไว้ทุกข์ให้นางซาราห์และร่ำไห้คิดถึงนาง
อับราฮัมลุกขึ้นจากศพนางไปพูดกับชาวฮิตไทต์ว่า ข้าพเจ้าเป็นคนต่างถิ่นมาอาศัยอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลาย โปรดขายที่ดินให้ข้าพเจ้าทำที่ฝังศพที่นี่เถิด ข้าพเจ้าจะได้ฝังผู้ตายของข้าพเจ้า” แล้วอับราฮัมฝังศพนางซาราห์ ภรรยาของตนในถ้ำซึ่งอยู่ในนาที่มัคเปลาห์ ตรงข้ามมัมเร คือเฮโบรน ในแผ่นดินคานาอัน
     ขณะนั้น อับราฮัมชรามากแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมทุกด้าน อับราฮัมบอกผู้รับใช้อาวุโสที่สุดในบ้าน ผู้ดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาว่า “จงวางมือที่โคนขาของฉันเถิด ฉันจะให้ท่านสาบานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งสวรรค์และแผ่นดินว่า แม้ฉันจะอาศัยในหมู่ชาวคานาอัน ท่านก็อย่าเลือกลูกสาวของเขาเป็นภรรยาลูกชายของฉัน ท่านจงไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของฉัน ไปพบญาติของฉัน เพื่อเลือกภรรยาให้อิสอัค ลูกชายของฉัน” ผู้รับใช้จึงถามว่า “ถ้าหญิงคนนั้นไม่ยอมตามข้าพเจ้ามายังแผ่นดินนี้ ข้าพเจ้าจะต้องพาบุตรชายของท่านกลับไปยังแผ่นดินที่ท่านจากมาหรือไม่” อับราฮัมตอบว่า “ท่านอย่านำลูกชายของฉันกลับไปที่นั่นเป็นอันขาด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งสวรรค์และแผ่นดิน ทรงนำฉันออกจากบ้านของบิดาและจากแผ่นดินของญาติพี่น้องของฉัน ทรงสัญญากับฉันโดยทรงปฏิญาณไว้ว่า ‘จะประทานแผ่นดินนี้ให้แก่ลูกหลานของฉัน’ พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์นำหน้าท่านไป เพื่อท่านจะสามารถหาภรรยาจากที่นั่นให้ลูกชายของฉันได้ แต่ถ้าหญิงคนนั้นไม่ยอมตามท่านมา ท่านก็พ้นจากคำสาบานที่ให้ไว้กับฉัน แต่ท่านอย่าพาลูกชายของฉันกลับไปที่นั่นเป็นอันขาด”
      ขณะนั้น อิสอัคกลับจากบ่อน้ำลาไคโรอี เขาอาศัยอยู่ในดินแดนเนเกบ เย็นวันหนึ่ง อิสอัคออกไปเดินเล่นในทุ่งนา เขาเงยหน้าขึ้นเห็นอูฐหลายตัวกำลังเดินตรงมา เรเบคาห์เงยหน้าขึ้นเห็นอิสอัค จึงลงจากหลังอูฐ และถามผู้รับใช้ว่า “ชายที่กำลังเดินอยู่ในทุ่งนา ตรงมาหาเราเป็นใครคะ” ผู้รับใช้ตอบว่า “เขาคือนายของข้าพเจ้า” เธอจึงเอาผ้าคลุมหน้าไว้ ผู้รับใช้เล่าให้อิสอัครู้ทุกสิ่งที่เขาได้ทำ อิสอัคจึงพาเรเบคาห์เข้าไปในกระโจมที่เคยเป็นของนางซาราห์มารดาของตน เขาแต่งงานกับเรเบคาห์ และรักนางมาก อิสอัคจึงได้รับการปลอบใจหลังจากมารดาเสียชีวิต

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 9:9-13
     เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินไปจากที่นั่น ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว กำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
     ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของมัทธิว คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เมื่อเห็นดังนี้ ชาวฟาริสีจึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงกินอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า” พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้น จึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ จงไปเรียนรู้ความหมายของพระวาจาที่ว่า ‘เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา’ เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป”


ข้อคิด

     หลังจากรักษาคนป่วยโรคอัมพาต และคืนชีวิตให้ไปทำมาหากินกับครอบครัวแล้ว วันนี้ พระเยซูเจ้าทรงรักษาให้คนทำมาหากินที่ช่วยงานสังคมได้กลับสู่ชีวิตพระอีกครั้ง พระวาจาที่ทรงกล่าว “คนสบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ”
     การเรียกนักบุญมัทธิวให้ลุกจากโต๊ะเก็บภาษี ย่อมต้องชี้ให้เห็นว่านักบุญป่วยด้วยโรคทางสังคม เมื่อตอบรับคำเชิญชวนแล้ว ชีวิตก็เปลี่ยนและพบความสุข จงตั้งใจลุกจากกองบาป หรือนิสัยไม่ดี ผิดศีลธรรมและพระบัญญัติ แล้วตามพระเยซูเจ้าไปเถิด

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown