มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม 2019 ระลึกถึง น.เบเนดิกต์ เจ้าอธิการ

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                        ปฐก 44:18-21,23ข-29 และ 45:1-5
      ในครั้งนั้น ยูดาห์เข้าไปหาโยเซฟ พูดว่า “กรุณาเถิดนายเจ้าข้า ขอให้ผู้รับใช้ของท่านพูดกับท่านอย่างตรงไปตรงมาเถิด อย่าโกรธข้าพเจ้าเลย เพราะท่านเป็นเหมือนกษัตริย์ฟาโรห์ เจ้านายเคยถามผู้รับใช้ของท่านว่า ท่านมีบิดาหรือน้องชายไหม พวกเราก็ตอบเจ้านายว่า เรามีบิดาที่ชรา และมีน้องชายเล็กคนหนึ่งที่เกิดมาเมื่อบิดาชราแล้ว พี่ชายของเขาเสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงเขาที่เกิดจากมารดาเดียวกัน บิดาจึงรักเขามาก แล้วท่านสั่งผู้รับใช้ของท่านว่า ‘จงพาน้องคนนั้นมาที่นี่ ให้เราดู’ แต่ท่านพูดกับผู้รับใช้ของท่านว่า ‘ถ้าน้องคนเล็กไม่มากับท่านที่นี่ ท่านจะไม่เห็นหน้าเราอีก’ เมื่อพวกเรากลับไปหาบิดาผู้รับใช้ของท่าน พวกเราก็เล่าคำพูดของเจ้านายให้บิดาฟัง ต่อมา บิดาบอกพวกเราว่า ‘จงกลับไปซื้ออาหารมาให้พวกเราบ้าง’ พวกเราตอบว่า ‘ไปไม่ได้ แต่ถ้าน้องคนเล็กไปด้วย พวกเราจึงจะไป มิฉะนั้น พวกเราจะไปพบท่านผู้นั้นไม่ได้’ บิดาผู้รับใช้ของท่านจึงบอกพวกเราว่า ‘พวกลูกรู้แล้วว่า ราเคลภรรยาของพ่อมีลูกชายสองคน คนหนึ่งก็จากไปแล้ว พ่อคิดว่าเขาคงถูกสัตว์ร้ายกัดกิน เพราะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกเลย ถ้าลูกๆ พาคนนี้ไปจากพ่อ แล้วเขาเป็นอันตราย ลูกก็จะส่งพ่อซึ่งแก่แล้วลงไปในแดนผู้ตายด้วยความเศร้าโศก’”
     โยเซฟไม่อาจควบคุมความรู้สึกของตนต่อหน้าชาวอียิปต์ที่ยืนอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไป ร้องสั่งว่า “ทุกคนจงออกไปจากที่นี่” จึงไม่มีใครอยู่กับโยเซฟ เมื่อเขาแสดงตนแก่บรรดาพี่น้อง โยเซฟร้องไห้ดังมากจนชาวอียิปต์ได้ยิน ข่าวนั้นลือไปถึงพระราชวังของกษัตริย์ฟาโรห์
     โยเซฟบอกพี่น้องว่า “ฉันคือโยเซฟ พ่อยังมีชีวิตอยู่หรือ” แต่พี่ๆ ไม่รู้จะตอบประการใด เพราะตกใจกลัวมากที่เผชิญหน้ากับเขา โยเซฟจึงบอกพี่น้องว่า “เข้ามาใกล้ๆ เถิด” พวกเขาก็เข้ามาใกล้ โยเซฟพูดต่อไปว่า “ฉันคือโยเซฟ น้องชายของพี่ที่พี่ขายมาอียิปต์ บัดนี้ อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตนเองที่ขายฉันมาที่นี่ พระเจ้าทรงส่งฉันล่วงหน้ามาก่อน เพื่อช่วยชีวิตของพี่ๆ”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ 10:7-15
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย อย่าหาเหรียญทอง เหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้ เมื่อเดินทาง อย่ามีย่าม อย่ามีเสื้อสองตัว อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว
     เมื่อท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้าน จงดูว่าผู้ใดที่นั่นเป็นผู้เหมาะสมที่จะต้อนรับท่าน แล้วจงพักอยู่กับเขาจนกว่าท่านจะจากไป เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นสมควรได้รับพร จงให้สันติสุขของท่านมาสู่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรได้รับพร จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน”
     “ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่าน หรือไม่ฟังท่าน จงออกจากบ้านหรือเมืองนั้น จงสลัดฝุ่นจากเท้าออกเสียด้วย เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์จะรับโทษเบากว่าโทษของเมืองนั้น”

 

ข้อคิด

     เมื่อหมอกฎหมายถามพระเยซูเจ้าว่า บัญญัติข้อใดเป็นเอกในบัญญัติทั้งปวง พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “อิสราเอลเอ๋ย จงรักพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ สุดวิญญาณ และบัญญัติต่อมา จงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง”
     บทอ่านจากหนังสือปฐมกาลชี้ให้เห็นภาพของ “จิตใจพระ” ของโยเซฟในการนำธรรมบัญญัติของโมเสสเข้ามาในชีวิตอย่างแท้จริง แม้มีอำนาจในการลงโทษ หรือไม่ยอมขายข้าวสาลีให้พี่ๆรวมทั้งบิดา แต่โยเซฟได้แสดงฐานะเป็นผู้มีคุณธรรมและให้อภัยพี่ๆ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นพระประสงค์ของพระ” เพื่อให้ครอบครัวคลายกังวลและทุกข์หนักเพราะไม่มีอาหารรับประทาน ขอให้เราทบทวนชีวิตว่า เคยให้อภัยผู้ทำผิดต่อเรากี่ครั้ง และเคยคิดแก้แค้นกี่ครั้ง”

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม 2019 สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                          ปฐก 46:1-7,28-30
      ในครั้งนั้น อิสราเอลออกเดินทางพร้อมกับทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มี เมื่อมาถึงเบเออร์เชบา เขาก็ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของอิสอัค บิดาของตน พระเจ้าตรัสกับอิสราเอลในนิมิตเวลากลางคืนว่า “ยาโคบเอ๋ย ยาโคบ” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” พระองค์จึงตรัสว่า “เราคือพระเจ้า พระเจ้าของบิดาของท่าน อย่ากลัวที่จะต้องไปอียิปต์เลย เราจะให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่ที่นั่น เราจะไปอียิปต์กับท่านด้วย แล้วเราจะพาท่านกลับมาที่นี่อีกอย่างแน่นอน หลังจากที่โยเซฟจะปิดตาของท่านแล้ว” ยาโคบจึงเดินทางต่อไปจากเบเออร์เชบา บรรดาบุตรของอิสราเอลให้ยาโคบผู้บิดากับเด็กๆ และภรรยาขึ้นเกวียนที่กษัตริย์ฟาโรห์ทรงส่งมารับ
      เขาทั้งหลายต้อนฝูงสัตว์และนำทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ได้มาในแผ่นดินคานาอันไปอียิปต์ ยาโคบพาลูกหลานของตน คือบุตรชาย บุตรหญิง หลานชาย หลานสาวทั้งหมดของเขาไปอียิปต์ด้วย
      อิสราเอลให้ยูดาห์ล่วงหน้าไปพบโยเซฟ เพื่อบอกโยเซฟให้มาพบที่แคว้นโกเชน เมื่อทุกคนมาถึงแคว้นโกเชน โยเซฟจัดเตรียมรถม้าของตนไปรับอิสราเอลบิดาที่แคว้นโกเชน เมื่อเห็นบิดา เขาก็เข้าสวมกอดบิดาไว้ พลางร้องไห้เป็นเวลานาน อิสราเอลจึงพูดกับโยเซฟว่า “บัดนี้ พ่อตายได้แล้ว เพราะพ่อได้เห็นลูกและรู้ว่าลูกยังมีชีวิตอยู่”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 10:16-23
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “จงฟังเถิด เราส่งท่านไปเหมือนแกะในฝูงสุนัขป่า ท่านจงฉลาดประดุจงูและซื่อประดุจนกพิราบ”
“จงระมัดระวังตนจากมนุษย์ เขาจะมอบท่านที่ศาล และเฆี่ยนท่านในศาลาธรรมของเขา ท่านจะถูกนำตัวไปต่อหน้าผู้ว่าราชการและเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์เพราะเราเป็นเหตุ เพื่อเป็นพยานยืนยันแก่เขาและแก่บรรดาชนต่างชาติต่างศาสนา เมื่อเขาจะมอบท่านที่ศาลนั้น อย่าวิตกกังวลว่าจะพูดอย่างไรหรือพูดอะไร สิ่งที่ท่านจะพูดนั้นจะได้รับการดลใจในเวลานั้นเอง เพราะท่านจะมิได้พูดด้วยตนเอง แต่พระจิตของพระบิดาของท่านจะตรัสในท่าน”
“พี่จะฟ้องน้อง น้องจะฟ้องพี่ให้ต้องโทษถึงตาย พ่อจะฟ้องลูก ลูกจะลุกขึ้นกล่าวโทษพ่อแม่ให้ถึงตาย”
“คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงวาระสุดท้ายก็จะรอดพ้น เมื่อเขาจะเบียดเบียนท่านในเมืองหนึ่ง จงหลบหนีไปอีกเมืองหนึ่ง เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนที่ท่านจะไปทั่วทุกหัวเมืองของอิสราเอล บุตรแห่งมนุษย์ก็จะกลับมาแล้ว”

 


ข้อคิด

     การรอคอยของยาโคบเมื่อลูกๆได้แจ้งให้ทราบว่า โยเซฟยังมีชีวิตอยู่และเป็นผู้ปกครองอียิปต์ในฐานะอุปราชและดูแลคลังอาหารด้วย ทำให้ความหดหู่หายไป กลับกลายเป็นความสุข ความยินดีที่พระผู้เป็นเจ้ามีพระประสงค์อย่างที่โยเซฟบอกกับพี่ๆเมื่อวานนี้
อย่างไรก็ตาม ในสังคมทั่วไป แม้สังคมในครอบครัว ในพระศาสนจักร จะปรากฏคนดีปะปนกับคนชั่วร้ายอยู่ด้วย พระเยซูเจ้าจึงทรงเตือนศิษย์ให้ระวังตน ระวังใจ ระวังความคิด เพราะจะมีการทำร้ายในรูปแบบของการใช้ปาก ใช้อาวุธ หรือการเบียดเบียนด้วยกฎหมายหรือระเบียบที่กำหนดขึ้นอย่างป่าเถื่อน จึงทรงขอให้มีสติมั่นคง ดำรงตนในพระธรรมคำสอนอย่างซื่อสัตย์

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม 2019 สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ                            ฉธบ 30:10-14
      โมเสสกล่าวกับประชาชนชาวอิสราเอลว่า “ท่านจะต้องเชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน ปฏิบัติตามบทบัญญัติและข้อกำหนดที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติเล่มนี้ ท่านจะต้องกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจและสุดวิญญาณ
       บทบัญญัติที่ข้าพเจ้าสั่งท่านในวันนี้ ไม่ยากเกินไปหรืออยู่ไกลสุดเอื้อม ไม่ได้อยู่สูงบนฟ้าจนต้องถามว่า “ใครจะขึ้นไปเอาลงมาให้เราฟังและปฏิบัติตามได้” บทบัญญัติเหล่านี้ไม่ได้อยู่โพ้นทะเล จนต้องถามว่า “ใครจะข้ามทะเลไปเอามาให้เราฟังและปฏิบัติตามได้ พระวาจานี้อยู่ใกล้กับท่านมาก คืออยู่ในปากและในใจของท่าน เพื่อท่านจะนำไปปฏิบัติได้”

 

เพลงสดุดี                                                          สดด 69:13ก และ 16,29-30ก,32-33ก,35-36
      ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์ในเวลาที่ทรงโปรดปราน
ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้าด้วยความรักมั่นคงยิ่งใหญ่ของพระองค์
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงตอบข้าพเจ้าเถิด
เพราะความรักมั่นคงของพระองค์นั้นประเสริฐยิ่ง
พระกรุณาของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่
โปรดผินพระพักตร์มาหาข้าพเจ้าเถิด
      ข) แต่ข้าพเจ้าเป็นผู้ขัดสนและมีทุกข์
ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ความรอดพ้นที่พระองค์ประทานปกป้องข้าพเจ้า
แล้วข้าพเจ้าจะขับร้องสรรเสริญพระนามพระเจ้า
      ค) ท่านทั้งหลายผู้ถ่อมตน จงเห็นและยินดีเถิด
ท่านทั้งหลายที่แสวงหาพระเจ้า จงมีกำลังใจขึ้นเถิด
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังคนยากจน
       ง) เพราะพระเจ้าทรงช่วยศิโยนให้รอดพ้น
และทรงสร้างเมืองทั้งหลายในแคว้นยูดาห์ขึ้นใหม่
ผู้ที่เคยอาศัยอยู่ที่นั่นจะได้รับแผ่นดินกลับมาเป็นของตน
ลูกหลานของผู้รับใช้พระองค์จะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก
ผู้ที่รักพระนามพระองค์จะได้พำนักอยู่ที่นั่น

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโคโลสี     คส 1:15-20
      พี่น้อง พระคริสตเจ้าทรงเป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้าที่เรามองไม่เห็น ทรงเป็นบุตรคนแรกในบรรดาสิ่งสร้างทั้งปวง เพราะสรรพสิ่งทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน ทั้งที่แลเห็นได้และไม่อาจแลเห็นได้ เทพนิกรบัลลังก์ เทพนิกรนาย เทพนิกรเจ้าและเทพนิกรอำนาจ ล้วนถูกสร้างโดยพระองค์ทั้งสิ้น ทุกสิ่งถูกเนรมิตขึ้นโดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งดำรงอยู่เป็นระเบียบในพระองค์ พระองค์ทรงเป็นศีรษะของร่างกาย คือพระศาสนจักร พระองค์ทรงเป็นปฐมเหตุ ทรงเป็นบุคคลแรกในบรรดาผู้ตายที่กลับคืนชีพ ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในทุกสิ่ง เพราะพระเจ้าพอพระทัยให้ความบริบูรณ์ทั้งปวงอยู่ในพระคริสตเจ้า และให้สรรพสิ่งคืนดีกับพระองค์ โดยทางพระคริสตเจ้า ผู้โปรดให้ทุกสิ่งมีสันติ ด้วยพระโลหิตที่ทรงหลั่งบนไม้กางเขนของพระองค์ ทั้งสิ่งที่อยู่บนแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ในสวรรค์

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 10:25-37
      ขณะนั้น นักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทูลถามเพื่อจะจับผิดพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร” พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ในธรรมบัญญัติมีเขียนไว้อย่างไร ท่านอ่านว่าอย่างไร” เขาทูลตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลัง และสุดสติปัญญาของท่าน ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงทำเช่นนี้ แล้วจะได้ชีวิต”
       ชายคนนั้นต้องการแสดงว่าตนถูกต้อง จึงทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “แล้วใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งกำลังเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค เขาถูกโจรปล้น พวกโจรปล้นทุกสิ่ง ทุบตีเขา แล้วก็จากไป ทิ้งเขาไว้อาการสาหัสเกือบสิ้นชีวิต สมณะผู้หนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง ชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมาทางนั้น เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้ๆ เห็นเขาก็รู้สึกสงสาร จึงเดินเข้าไปหา เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา วันรุ่งขึ้นชาวสะมาเรียผู้นั้นนำเงินสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้ กล่าวว่า ‘ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา’ ท่านคิดว่าในสามคนนี้ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น” เขาทูลตอบว่า “คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด”

 

ข้อคิด

     นิทานเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี เราฟังกันบ่อยๆ เกี่ยวกับการแสดงความรักต่อผู้อื่นที่มิใช่สมาชิกในครอบครัว ญาติพี่น้อง หรือสมาชิกของหมู่คณะต่างๆ ที่รวมตัวกันมุ่งประพฤติปฏิบัติดี ที่มีอยู่มากมายในสังคมมนุษย์ ซึ่งเป็นสังคมไร้พรมแดน (Globalization)
      ชายสองคนแรกปรากฏตนเป็น “ผู้ทรงศีล”ในการถือตามบัญญัติของโมเสส แต่ขาดการปฏิบัติความรักต่อผู้อื่น โดยเลี่ยงไปปฏิบัติต่อพระเจ้า ซึ่งวันนี้ยืนยันว่า “ต้องรักผู้อื่นเหมือนตนเองด้วย” ตรงข้ามกับชาวต่างด้าวในสายตาของชาวยิว ได้ปฏิบัติความรักต่อผู้ที่ตนเองไม่รู้จัก เขาได้ทำหน้าที่ด้วยจิตบริสุทธิ์ (ใจพระ)
ขอให้สัปดาห์นี้และต่อๆไป เราคริสตชนไม่ต้องถามพระแบบนักกฎหมาย แต่ให้ปฏิบัติตนในฐานะศิษย์พระคริสต์ ให้มีใจเมตตากรุณาตลอดเวลาต่อทุกคน เริ่มจากครอบครัว ญาติพี่น้องและผู้อื่นในสังคมอย่างดี

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม 2019 น.เฮนรี่

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                        ปฐก 49:29-33 และ 50:15-24
      ในครั้งนั้น ยาโคบสั่งบรรดาบุตรว่า “บัดนี้ พ่อกำลังจะไปอยู่รวมกับบรรพบุรุษของพ่อ จงฝังพ่อไว้กับบรรพบุรุษของพ่อในถ้ำที่อยู่ในนาของเอโฟรน ชาวฮิตไทต์ คือในถ้ำที่อยู่ในทุ่งนาแห่งมัคเปลาห์ ตรงข้ามมัมเร ในแผ่นดินคานาอัน อับราฮัมซื้อถ้ำและทุ่งนาจากเอโฟรน ชาวฮิตไทต์ไว้เป็นที่ฝังศพของตน ที่นั่นเขาได้ฝังศพของอับราฮัมและนางซาราห์ผู้เป็นภรรยา ที่นั่นเขาฝังศพของอิสอัคและนางเรเบคาห์ ผู้เป็นภรรยาและที่นั่นพ่อก็ฝังนางเลอาห์ไว้ด้วย ทุ่งนาและถ้ำซึ่งอยู่ในทุ่งนานั้นซื้อมาจากชาวฮิตไทต์”
      เมื่อยาโคบสั่งเสียบรรดาบุตรเสร็จแล้ว เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงและสิ้นใจ ไปรวมอยู่กับบรรพบุรุษ
หลังจากบิดาสิ้นชีวิตแล้ว บรรดาพี่ชายของโยเซฟมีความกลัว จึงปรึกษากันว่า “โยเซฟอาจมีความเคืองแค้นพวกเรา คิดจะแก้แค้นการประทุษร้ายที่พวกเราเคยทำกับเขา” พี่ชายจึงส่งคนไปบอกโยเซฟว่า “บิดาของท่านสั่งไว้ก่อนจะสิ้นใจว่า จงบอกโยเซฟด้วยว่า ‘พ่อขอร้องลูกให้อภัยการประทุษร้ายและบาปที่พี่ชายทำต่อลูก’ บัดนี้ ขอท่านโปรดให้อภัยความผิดของผู้รับใช้พระเจ้าของบิดาของท่านด้วยเถิด” เมื่อโยเซฟได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็ร้องไห้
บรรดาพี่ชายมาหาโยเซฟ กราบลงต่อหน้าเขาพูดว่า “พวกเรามาอยู่ต่อหน้าท่าน ขอเป็นทาสของท่าน” แต่โยเซฟตอบว่า “อย่ากลัวเลย ฉันไม่ใช่พระเจ้า จะตัดสินลงโทษท่านได้อย่างไร พวกพี่วางแผนทำร้ายฉัน แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนให้ร้ายกลายเป็นดีดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ คือเพื่อรักษาชีวิตของหลายคนไว้ ดังนั้น พี่ๆ อย่ากลัวไปเลย ฉันจะเอาใจใส่ดูแลพวกพี่และลูกของพี่” โยเซฟให้คำมั่นแก่บรรดาพี่ชายและพูดกับเขาด้วยความอ่อนโยน
โยเซฟอยู่ในอียิปต์กับครอบครัวของบิดา เขามีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยสิบปี โยเซฟได้เห็นบุตรหลานของเอฟราอิมถึงสามชั่วอายุ และเห็นบุตรของมาคีร์ บุตรของมนัสเสห์ ซึ่งโยเซฟรับเป็นบุตรบุญธรรมของตน ในที่สุด โยเซฟพูดกับบรรดาพี่น้องว่า “ฉันกำลังจะตายแล้ว แต่พระเจ้าจะทรงดูแลท่านทั้งหลายอย่างแน่นอน พระองค์จะทรงนำท่านออกจากแผ่นดินนี้ไปยังแผ่นดินที่ทรงสัญญาโดยทรงปฏิญาณไว้กับอับราอัม อิสอัคและยาโคบ”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 10:24-33
      เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ และผู้รับใช้ย่อมไม่อยู่เหนือนาย ถ้าศิษย์เท่าเทียมกับอาจารย์ และผู้รับใช้เท่าเทียมกับนาย ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถ้าเขาเรียกเจ้าบ้านว่า ‘เบเอลเซบูล’ เขาจะเรียกลูกบ้านร้ายกว่านั้นสักเท่าใด”
      “อย่ากลัวมนุษย์เลย ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้น จะไม่มีใครรู้ สิ่งที่เราบอกท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวออกมาในที่สว่าง สิ่งที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู จงประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน”
“อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไปในนรก นกกระจอกสองตัว เขาขายกันเพียงหนึ่งบาทมิใช่หรือ ถึงกระนั้น ก็ไม่มีนกสักตัวเดียวที่ตกถึงพื้นดินโดยที่พระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว ดังนั้น อย่ากลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำนวนมาก”
      “ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ และผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ด้วย”

 

ข้อคิด

     ชีวิตเมื่อสิ้นสุด การกำหนดสัญลักษณ์เพื่อระลึกถึงยามจากโลกนี้ ทุกคนมีสิทธิ์เลือกที่บรรจุศพและให้ลูหลานเดินทางไปเยี่ยม ทั้งนี้ ต้องหมายความว่า “จากไปอย่างสงบและเป็นสุขในพระเจ้า” ยาโคบจบชีวิตและขอให้สร้างที่ฝังศพใกล้กับอับราฮัม อิสอัค ในดินแดนที่ชื่อ “เอโฟรน ในทุ่งนา เขตปกครองชาวฮิตไทต์” ปรากฏการณ์ของชีวิตทั้งแง่สุขและทุกข์ ต้องการเวลาพิสูจน์ความแกร่งของชีวิต ดังนั้น คำเตือนของพระเยซูเจ้า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไปนรก” พระผู้เป็นเจ้าไม่เคยเอาเปรียบมนุษย์ ขอเราแต่ละคนให้เกียรติคืนแด่พระเจ้าด้วย

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม 2019 ระลึกถึง น.บอนาแวนตูรา พระสังฆราชและนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                            อพย 1:8-14,22
      ในครั้งนั้น กษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ในอียิปต์ พระองค์มิได้ทรงรู้จักโยเซฟ ทรงประกาศแก่ประชาชนว่า “ดูซิ ชาวอิสราเอลมีจำนวนมากและมีกำลังมากกว่าเรา เราจะต้องจัดการขัดขวางมิให้คนเหล่านี้ทวีจำนวนมากขึ้น มิฉะนั้น ถ้าเกิดสงคราม เขาอาจไปเข้าข้างศัตรู มาสู้รบกับเราและหลบหนีออกจากแผ่นดินไป” ชาวอียิปต์จึงตั้งนายงานเกณฑ์ให้ชาวอิสราเอลทำงานตรากตรำ และสร้างเมืองปิธมและราเมเสสให้กษัตริย์ฟาโรห์ เพื่อเป็นคลังเก็บเสบียงอาหาร แต่ชาวอียิปต์ยิ่งกดขี่ชาวอิสราเอลมากขึ้นเท่าใด ชาวอิสราเอลก็ยิ่งทวีจำนวนแผ่กระจายออกไปมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งชาวอียิปต์รู้สึกกลัวชาวอิสราเอลมาก จึงบังคับชาวอิสราเอลให้ทำงานเป็นทาสอย่างทารุณ ทำให้ชีวิตของเขาเหล่านั้นขมขื่นเพราะถูกบังคับให้ทำงานหนัก ถูกบังคับให้ขุดดินเพื่อนำมาทำอิฐ ถูกบังคับให้ทำนา ชาวอียิปต์บังคับให้ชาวอิสราเอลทำงานหนักทุกชนิดอย่างทารุณ
      กษัตริย์อียิปต์รับสั่งกับหญิงทำคลอดชื่อชิฟราห์และอีกคนหนึ่งชื่อปูอาห์ซึ่งเป็นผู้ทำคลอดให้หญิงชาวฮีบรูว่า “เมื่อท่านทำคลอดให้หญิงชาวฮีบรู จงสังเกตเพศของทารก ถ้าเป็นชาย จงฆ่าเสีย ถ้าเป็นหญิงจงปล่อยให้รอดชีวิต” แต่หญิงทำคลอดเป็นผู้ยำเกรงพระเจ้า จึงไม่ได้ปฏิบัติตามรับสั่งของกษัตริย์อียิปต์ นางปล่อยให้เด็กชายรอดชีวิต กษัตริย์จึงรับสั่งให้เรียกหญิงทำคลอดมาถามว่า “ทำไมท่านจึงปล่อยให้เด็กชายรอดชีวิตอยู่เช่นนี้” นางทูลกษัตริย์ฟาโรห์ว่า “หญิงชาวฮีบรูไม่เหมือนกับหญิงชาวอียิปต์ หญิงชาวฮีบรูแข็งแรงจึงคลอดบุตรก่อนที่หญิงทำคลอดจะไปถึง” พระเจ้าโปรดหญิงทำคลอด ประชาชนอิสราเอลก็ทวีจำนวนและมีกำลังมากขึ้น เนื่องจากหญิงทำคลอดทั้งสองคนยำเกรงพระเจ้า พระองค์จึงทรงบันดาลให้นางมีลูกหลานมากมาย กษัตริย์ฟาโรห์รับสั่งแก่ประชาชนทั้งปวงว่า “จงโยนเด็กชายชาวฮีบรูทุกคนที่เกิดใหม่ลงในแม่น้ำไนล์ แต่ปล่อยให้เด็กหญิงทุกคนรอดชีวิต”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 10:34-11:1
      เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติภาพมาให้โลก เรามิได้มาเพื่อนำสันติภาพ แต่มาเพื่อนำดาบมาให้ เรามาเพื่อแยกบุตรชายจากบิดา แยกบุตรหญิงจากมารดา แยกบุตรสะใภ้จากมารดาของสามี ศัตรูของคนก็คือคนที่อยู่ร่วมบ้านกับเขานั่นเอง”
“ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ใดไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา”
“ผู้ที่หวงชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ที่ยอมเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวิตนั้นอีก”
“ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”
“ผู้ที่ต้อนรับประกาศก เพราะเป็นประกาศก จะได้รับบำเหน็จรางวัลของประกาศก ผู้ที่ต้อนรับผู้ชอบธรรม เพราะเขาเป็นผู้ชอบธรรม จะได้รับบำเหน็จรางวัลของผู้ชอบธรรม”
“ผู้ใดที่ให้น้ำเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคนธรรมดาๆ เหล่านี้ เพราะเขาเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้นั้นจะได้รับบำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน”
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสสั่งสอนศิษย์สิบสองคนแล้ว ก็เสด็จจากที่นั่นไปเทศนาสั่งสอนตามเมืองต่างๆ ในแคว้นกาลิลี

 

ข้อคิด

      ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเช่นยุคปัจจุบัน การอพยพย้ายถิ่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินแห้งแล้ว เพาะปลุกมีปัญหาขาดแคลนน้ำ ผลผลิตไม่ได้ตามคาดหวัง จำเป็นต้องเสาะหาอาหารและที่ทำกินเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด แต่การอพยพแบบไม่เต็มใจ เช่น เกิดภาวะสงคราม สู้รบจนทำมาหากินไม่ได้เนื่องจากมีการฆ่าทำร้ายชีวิต บทอ่านแรกเป็นการบันทึกเรื่องราวการอพยพของชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์เพราะการเบียดเบียนและความเกลียดชัง พระเยซูเจ้าย้ำในพระวรสารในการอพยพเชิงจิตวิญญาณเพราะมีการเบียดเบียนมิให้นับถือศาสนาตามธรรมบัญญัติ ขอให้ทุกคนที่ทำดีมีความอดทน ขอให้ผู้ทำชั่วละเว้นไว้เพื่อให้ชีวิตที่พระองค์มอบให้ไว้พิสูจน์ความจริงด้วยความดีและซื่อสัตย์จนถึงที่สุดด้วย

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown