มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2019 สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                        ปฐก 18:1-10
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่อับราฮัมที่หมู่ต้นโอ๊กของมัมเร ขณะนั้นเป็นเวลาแดดร้อนจัด อับราฮัมกำลังนั่งอยู่ที่ประตูกระโจม เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายสามคนยืนอยู่ใกล้ตน ทันทีที่เห็น อับราฮัมก็วิ่งจากประตูกระโจมไปต้อนรับและกราบลงที่พื้นดิน เขาพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าท่านโปรดปรานข้าพเจ้า โปรดอย่าผ่านผู้รับใช้ของท่านไปเลย ข้าพเจ้าจะให้เขาเอาน้ำมาล้างเท้าให้ท่าน เชิญท่านพักใต้ต้นไม้นี้เถิด ขอให้ข้าพเจ้าไปนำอาหารมาให้ท่านสักเล็กน้อย ท่านจะได้สดชื่น มีกำลังเดินทางต่อไป ท่านมาถึงบ้านข้าพเจ้าแล้ว ขอให้ข้าพเจ้ารับใช้ท่านเถิด” เขาทั้งสามคนจึงตอบว่า “จงทำตามที่ท่านพูดนั้นเถิด”
      อับราฮัมรีบเข้าไปในกระโจมของนางซาราห์ และบอกว่า “เร็วเข้า ไปเอาแป้งละเอียดสามถังมานวดและทำขนมปังสำหรับแขกสามคนเถิด” แล้วอับราฮัมวิ่งไปที่ฝูงสัตว์ นำลูกโคอ้วนพีตัวหนึ่งให้ผู้รับใช้ฆ่า และรีบปรุงเป็นอาหาร เขาเอานมข้นเปรี้ยว น้ำนมสดและเนื้อลูกโคที่เตรียมแล้ว มาวางต่อหน้าคนทั้งสาม และยืนอยู่ใต้ต้นไม้คอยรับใช้ ขณะที่คนทั้งสามกำลังกินอาหาร
      เขาเหล่านั้นถามว่า “นางซาราห์ภรรยาของท่านอยู่ที่ไหน” อับราฮัมตอบว่า “นางอยู่ในกระโจม” คนหนึ่งจึงพูดว่า “ปีหน้าเราจะกลับมาหาท่านอีกอย่างแน่นอน นางซาราห์ภรรยาของท่านจะมีบุตรชายคนหนึ่ง” นางซาราห์ฟังอยู่ที่ประตูกระโจมเบื้องหลังอับราฮัม

 

เพลงสดุดี                                                                 สดด 15:2,3ก,3ข-4,5
      ก) ผู้นั้นคือผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างไม่มีที่ติ
ปฏิบัติความชอบธรรม
พูดความจริงจากใจของตน
ผู้ที่บังคับลิ้นของตนไว้ ไม่ใส่ความ
     ข) ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
ผู้ที่เหยียดหยามคนเลวทราม
แต่ให้เกียรติผู้ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า
ยืนยันคำสาบานแม้จะต้องเสียหาย
     ค) ผู้ที่ให้ยืมเงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย
ไม่รับสินบนปรักปรำผู้บริสุทธิ์
ผู้ใดประพฤติเช่นนี้จะไม่หวั่นไหวตลอดไป

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโคโลสี     คส 1:24-28
     พี่น้อง บัดนี้ข้าพเจ้ายินดีที่ได้รับทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย ความทรมานของพระคริสตเจ้ายังขาดสิ่งใด ข้าพเจ้าก็เสริมให้สมบูรณ์ด้วยการทรมานในกายของข้าพเจ้าเพื่อพระกายของพระองค์คือพระศาสนจักร ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้พระศาสนจักรนี้ตามภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบให้ เพื่อจะได้ประกาศพระวาจาของพระเจ้าแก่ท่านอย่างสมบูรณ์ นั่นคือธรรมล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ตลอดทุกยุคสมัย บัดนี้ธรรมล้ำลึกปรากฏชัดแจ้งแก่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์แล้ว พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะแสดงให้เขาเหล่านั้นรู้ว่าธรรมล้ำลึกนี้ได้นำพระสิริรุ่งโรจน์ล้นเหลือมาให้คนต่างศาสนา นั่นคือการที่พระคริสตเจ้าทรงดำรงอยู่ในท่าน ทรงเป็นความหวังเพื่อให้ท่านได้รับความรุ่งเรือง เราประกาศถึงพระคริสตเจ้าพระองค์นี้ โดยเตือนและสอนทุกคนให้มีความรู้ทุกอย่างเพื่อให้แต่ละคนดีพร้อมเดชะพระคริสตเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 10:38-42
       ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งชื่อมารธารับเสด็จพระองค์ที่บ้าน นางมีน้องสาวชื่อมารีย์ซึ่งนั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้า คอยฟังพระวาจาของพระองค์ มารธากำลังยุ่งอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้จึงเข้ามาทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันคนเดียวให้ปรนนิบัติรับใช้ ขอพระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉันบ้าง” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก สิ่งที่จำเป็นมีเพียงสิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้”

 

ข้อคิด

     พระวรสารวันนี้ มารธายุ่งอยู่กับการเตรียมต้อนรับพระเยซูเจ้า เปิดบ้าน เตรียมอาหาร ยุ่งอยู่กับการเตรียมสิ่งของภายนอก แต่จิตใจและหัวใจปิดจนลืมพระเยซูเจ้า ผู้เสด็จมาในบ้านของมารธาเอง การรับใช้เพื่อนพี่น้องเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าให้ดีกว่านั้นคือ การรับใช้นั้นเป็นผลมาจากความรักที่มีต่อพระเยซูเจ้า หากการรับใช้ไม่ได้มาจากความรักต่อพระเยซูเจ้า เราทุกคนคงเป็นเหมือนมารธา ได้แต่บ่น บ่นและบ่น “พระเจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันคนเดียวให้ปรนนิบัติรับใช้ ขอพระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉันบ้าง”

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2019 ฉลองนักบุญมารีย์ ชาวมักดาลา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกชาวโครินธ์  ฉบับที่สอง     2 คร 5:14-17
      พี่น้อง เพราะความรักของพระคริสตเจ้าผลักดันเรา เราแน่ใจว่า ถ้าคนหนึ่งตายเพื่อทุกคน ก็เหมือนกับว่าทุกคนได้ตายด้วย พระองค์สิ้นพระชนม์แทนทุกคน เพื่อผู้ที่มีชีวิตจะได้ไม่มีชีวิตเพื่อตนเองอีกต่อไป แต่มีชีวิตเพื่อพระองค์ผู้ได้สิ้นพระชนม์ และทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อเขา
      ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามมาตรฐานมนุษย์อีก แม้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยพิจารณาพระคริสตเจ้าตามมาตรฐานมนุษย์ แต่บัดนี้เราไม่พิจารณาพระองค์ตามมาตรฐานนี้อีกต่อไป ดังนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่ สภาพเก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว

 

สดด 63:1-2,3-5,6-9

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 20:1,11-18

      เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว
       มารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมองในพระคูหา ก็เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท ทูตสวรรค์ทั้งสององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” นางตอบว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำพระองค์ไปไว้ที่ใด” เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม กำลังแสวงหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำพระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่าท่านนำพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปนำพระองค์กลับมา” พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไป ทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์ พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” มารีย์ ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง

 

ข้อคิด

การฉลองนักบุญมารีย์ ชาวมักดาลาวันนี้ ทำให้เราเห็นถึงบทบาทของสตรีในพระศาสนจักร หลังจากที่มารีย์ ชาวมักดาลาได้เลือกติดตามพระเยซูเจ้าไป ท่านนักบุญได้อยู่กับพระองค์ในเวลาที่พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน (มธ 27:56, มก 15:40, ยน 19:25) ถูกฝัง (มธ 27:61, มธ 28:1, มก 16:1) และยังเป็นคนแรกที่เป็นประจักษ์พยานถึงการกลับคืนชีพของพระคริสตเจ้า (มธ 28:1, มก 16:9, มก 24 และ ยน 20:1) การจะเป็นประจักษ์พยานถึงพระเยซูเจ้าได้นั้นจำเป็นต้องอยู่กับพระองค์ก่อน ใช้ชีวิตร่วมกับพระองค์ (อาศัยการเฝ้าศีลมหาสนิทร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ การภาวนา การเยี่ยมผู้ป่วย ทำดีต่อเพื่อนพี่น้อง) เพื่อว่าการเป็นประจักษ์พยานถึงพระเยซูเจ้าไม่ว่าแก่กลุ่มใด เราจะสามารถตะโกนบอกได้ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว”

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2019 น.ชาร์เบล มาคลุฟ พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                              อพย 16:1-5,9-15
     ในครั้งนั้น ชุมชนชาวอิสราเอลออกเดินทางจากเอลิมและมาถึงถิ่นทุรกันดารศิน ซึ่งอยู่ระหว่างเอลิมกับซีนาย ในวันที่สิบห้าเดือนที่สองหลังจากที่ออกจากแผ่นดินอียิปต์ ชุมชนชาวอิสราเอลต่างต่อว่าโมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร ชาวอิสราเอลพูดกับเขาทั้งสองคนว่า “พระหัตถ์องค์พระผู้เป็นเจ้าประหารชีวิตพวกเราในแผ่นดินอียิปต์เมื่อนั่งอยู่รอบหม้อเนื้อและกินอิ่มยังดีกว่าที่ท่านพาพวกเราออกมาในถิ่นทุรกันดารนี้ เพื่อให้พวกเราทุกคนอดตาย”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “ดูซิ เราจะบันดาลให้มีอาหารตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนให้ท่านทั้งหลายกิน ทุกวันประชากรต้องออกไปเก็บอาหารให้พอกินในวันนั้น เราจะได้ทดลองดูว่าเขาปฏิบัติตามบัญญัติของเราหรือไม่ ในวันที่หก ให้เขาเก็บอาหารเป็นสองเท่าของวันธรรมดา”
     โมเสสสั่งอาโรนว่า จงบอกชุมชนชาวอิสราเอลว่า “จงเข้ามาใกล้เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงได้ยินคำต่อว่าของท่านแล้ว” ขณะที่อาโรนกำลังพูดกับชุมชนชาวอิสราเอลนั้น เขาทั้งหลายหันหน้าไปดูทางถิ่นทุรกันดาร ทันใดนั้นพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏให้เห็นบนก้อนเมฆ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราได้ยินคำต่อว่าของชาวอิสราเอลแล้ว จงบอกเขาดังนี้ว่า เวลาพลบค่ำ ท่านทั้งหลายจะมีเนื้อกิน และเวลาเช้า ท่านจะมีอาหารกินจนอิ่ม แล้วท่านทั้งหลายจะรู้ว่าเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน” เย็นวันนั้น ฝูงนกคุ่มบินมาจนเต็มค่าย ในเวลาเช้า มีน้ำค้างแผ่กระจายอยู่ทั่วไปรอบค่ายพัก เมื่อน้ำค้างระเหยแล้ว ก็เห็นมีเกล็ดเป็นเม็ดเล็กๆ บนผิวดินในถิ่นทุรกันดาร เหมือนน้ำค้างที่จับแข็ง เมื่อชาวอิสราเอลเห็น จึงถามกันว่า “นี่เป็นอะไร” เพราะเขาไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกเขาว่า “นี่แหละอาหารที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ท่านกิน”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 13:1-9
      วันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากบ้านมาประทับที่ริมทะเลสาบ ประชาชนจำนวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในเรือ ส่วนประชาชนยืนอยู่บนฝั่ง พระองค์ตรัสสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา
พระองค์ตรัสว่า “จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกแดดเผาและเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำให้เหี่ยวเฉาตายไป บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมีหู ก็จงฟังเถิด”

 

ข้อคิด

     คำอุปมา คือการนำเอาสิ่งที่คุ้นเคยมาอธิบายสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ช่วยให้เข้าใจความหมายได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้เข้าใจความจริงที่ซ่อนอยู่ในคำสอนของพระเยซูเจ้า โดยเฉพาะเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า พระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าได้ให้อาหารฝ่ายวิญญาณแก่ผู้ฟังที่หิวกระหายพระวาจาของพระองค์ พระองค์ทรงหว่านด้วยมงกุฎหนาม ด้วยกางเขน ด้วยพระมหาทรมานของพระองค์ ดังนั้น จึงมีคนฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ปฏิบัติตามบ้าง ลืมบ้าง แล้วท่านผู้อ่านข้อคิดฟังพระเยซูเจ้าไหม?

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม 2019 น.บรียิต นักบวช

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                            อพย 14:21-15:1
      ในครั้งนั้น โมเสสยื่นมือไปเหนือทะเล องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดแรงตลอดคืน ทำให้น้ำทะเลไหลกลับไป และทำให้ทะเลกลับเป็นพื้นดินแห้ง น้ำแยกจากกัน ชาวอิสราเอลก็เดินบนพื้นดินแห้งกลางทะเล โดยมีน้ำอยู่ด้านขวาและด้านซ้าย เป็นเหมือนกำแพง ชาวอียิปต์ไล่ตามชาวอิสราเอลลงไปในทะเล พร้อมกับม้าทั้งหมดของกษัตริย์ฟาโรห์ รถศึกและผู้ขับขี่ ก่อนรุ่งเช้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรกองทัพอียิปต์จากเสาเพลิงและเสาเมฆ ทรงบันดาลให้กองทัพอียิปต์เกิดโกลาหลขึ้น ทรงกระทำให้ล้อรถศึกฝืด จนแล่นไปแทบไม่ไหว ชาวอียิปต์จึงพูดกันว่า “เราจงหนีชาวอิสราเอลไปกันเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสู้รบอียิปต์แทนพวกเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงยื่นมือไปเหนือทะเลเถิด น้ำทะเลจะไหลกลับมาท่วมชาวอียิปต์ทั้งรถศึกและผู้ขับขี่” โมเสสยื่นมือไปเหนือทะเล ครั้นรุ่งเช้า น้ำทะเลก็ไหลกลับมาที่เดิม ชาวอียิปต์พากันหนี แต่กลับเข้าไปหากระแสน้ำ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกวาดชาวอียิปต์ลงกลางทะเล น้ำไหลกลับท่วมรถศึก ผู้ขับขี่ กับกองทัพทั้งหมดของกษัตริย์ฟาโรห์ที่ไล่ตามชาวอิสราเอลลงไปในทะเล ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตเลย แต่ชาวอิสราเอลเดินผ่านทะเลไปบนพื้นดินแห้งมีน้ำอยู่ด้านขวาและด้านซ้าย เป็นเหมือนกำแพง ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงช่วยชาวอิสราเอลให้รอดพ้นมือของชาวอียิปต์ ชาวอิสราเอลเห็นชาวอียิปต์ตายอยู่ที่ชายทะเล ชาวอิสราเอลเห็นพระอานุภาพยิ่งใหญ่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงต่อชาวอียิปต์ ประชากรทั้งปวงจึงมีความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า มีความเชื่อในพระองค์ และมีความเชื่อในโมเสสผู้รับใช้พระองค์
แล้วโมเสสกับชาวอิสราเอลจึงร้องเพลงบทนี้ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 12:46-50
      ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสกับประชาชน พระมารดาและพระประยูรญาติของพระองค์ มายืนอยู่ข้างนอก ต้องการพูดกับพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามผู้ที่มาทูลนั้นว่า “ใครเป็นมารดา ใครเป็นพี่น้องของเรา” แล้วทรงยื่นพระหัตถ์ชี้บรรดาศิษย์ ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา”

 

ข้อคิด

      หลังจากที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “แม่ นี่คือลูกของแม่” แล้วตรัสกับศิษย์ผู้นั้นว่า “นี่คือแม่ของท่าน” (ยน 19:26-27) พระมารดาของพระเจ้าก็ได้เป็นมารดาของคริสตชนทุกๆคนด้วย อาศัยพระพรแห่งศีลล้างบาป คริสตชนจึงกลายเป็นพี่น้องกัน ในพระคริสตเจ้านี่เป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งสำหรับคริสตชน พระเยซูเจ้าทรงยกฐานะผู้ติดตามพระองค์ให้เป็นพี่น้องของพระองค์ อันเป็นเกียรติสูงสุดที่คริสตชนได้รับ ในฐานะที่เป็นพี่น้องของพระเยซูเจ้า เราก็ต้องเลียนแบบการกระทำของพระองค์ด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม 2019 ฉลองนักบุญยากอบ อัครสาวก

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง      2 คร 4:7-15
      พี่น้อง เรามีสมบัตินี้เก็บไว้ในภาชนะดินเผา เพื่อแสดงว่าอานุภาพล้ำเลิศนั้นมาจากพระเจ้า มิใช่มาจากตัวเรา เราทนทุกข์ทรมานรอบด้าน แต่ไม่อับจน เราจนปัญญา แต่ก็ไม่หมดหวัง เราถูกเบียดเบียน แต่ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีล้มลง แต่ไม่ถึงตาย เราแบกความตายของพระเยซูเจ้าไว้ในร่างกายของเราอยู่เสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูเจ้าจะปรากฏอยู่ในร่างกายของเราด้วย ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เราเสี่ยงกับความตายอยู่เสมอเพราะความรักต่อพระเยซูเจ้า เพื่อให้ชีวิตของพระเยซูเจ้าปรากฏชัดในธรรมชาติที่ตายได้ของเรา ดังนั้น ความตายกำลังทำงานอยู่ในเรา แต่ชีวิตกำลังทำงานอยู่ในท่าน
      มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ข้าพเจ้าได้เชื่อ จึงได้พูด เรามีจิตแห่งความเชื่อเดียวกันนี้ เราเชื่อ เราจึงพูด เพราะรู้ว่าพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ จะทรงบันดาลให้เรากลับคืนชีพพร้อมกับพระเยซูเจ้า และจะทรงนำเราและท่านทั้งหลายไปอยู่กับพระองค์ด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นสำหรับท่าน เพื่อว่าเมื่อพระหรรษทานแผ่ไปถึงคนมากขึ้น การขอบพระคุณจะทวียิ่งขึ้น เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

 

สดด 126:1-2,3-4,5-6

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 20:20-28
     เวลานั้น มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้าพร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางทูลว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บุตรทั้งสองคนของข้าพเจ้า นั่งข้างขวาคนหนึ่ง นั่งข้างซ้ายคนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่” เขาทั้งสองคนทูลตอบว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดื่มถ้วยของเรา แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้”
     เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมาพบ ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าในหมู่คนต่างชาติ ผู้ปกครองย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้ใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ เหมือนกับที่บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย”

 

ข้อคิด

     นักบุญยากอบเป็นอัครสาวกคนแรกที่ยอมตายเพราะรักพระเยซูเจ้า ท่านได้แสดงออกซึ่งความเชื่อว่า ท่านจะได้มีส่วนร่วมในการกลับคืนชีพพร้อมกับองค์พระเยซูเจ้า (2 คร 4:13-14) ก่อนหน้านี้ท่านแสวงหาตำแหน่งที่ใหญ่โตในการติดตามพระคริสตเจ้า (ข้อ 24) พระเยซูเจ้ามีความอดทนต่ออัครสาวกผู้แสวงหาตำแหน่งในการติดตามพระองค์ หลังจากที่นักบุญยากอบได้รับพระจิตเจ้าในวันปนเตกอสเต ท่านไม่ได้คิดถึงตำแหน่งในชีวิตของท่านอีกต่อไป แต่มีความกระตือรือร้นประกาศข่าวดี โอกาสฉลองนักบุญยากอบในวันนี้ ให้คริสตชนจงมองดูท่านนักบุญเป็นตัวอย่างของเราในการแสดงวามเชื่อในองค์พระคริสตเจ้า

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown