มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2018 ระลึกถึงนักบุญบาร์นาบัส อัครสาวก

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 11:21ข-26;13:1-3
     เวลานั้น คนจำนวนมากเชื่อและกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า บรรดาศิษย์ในพระศาสนจักรที่กรุงเยรูซาเล็มรู้ข่าวนี้ จึงส่งบารนาบัสไปยังเมืองอันทิโอก เมื่อบารนาบัสมาถึงและเห็นผลแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า ก็มีความชื่นชม จึงเตือนทุกคนให้มีจิตใจซื่อสัตย์มั่นคงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า บารนาบัสเป็นคนดี เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า จึงมีผู้คนจำนวนมากเข้ามาเป็นศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
     บารนาบัสเดินทางไปที่เมืองทาร์ซัสเพื่อตามหาเซาโล เมื่อพบแล้ว ก็พามาที่เมืองอันทิโอก ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในพระศาสนจักรที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม สั่งสอนคนจำนวนมาก ที่เมืองอันทิโอกนี้เองบรรดาศิษย์ได้รับชื่อว่า “คริสตชน” เป็นครั้งแรก
ในพระศาสนจักรที่เมืองอันทิโอก มีประกาศกและอาจารย์คือบารนาบัส สิเมโอนที่เรียกกันว่าคนดำ ลูสิอัสชาวไซรีน มานาเอนซึ่งได้รับการศึกษาอบรมมาด้วยกันกับกษัตริย์เฮโรดอันทิปาส และเซาโล ขณะที่เขาร่วมพิธีนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและจำศีลอดอาหาร พระจิตเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงแยกบารนาบัสและเซาโลไว้ปฏิบัติภารกิจที่เราเรียกเขาให้มาปฏิบัติเถิด” เมื่อเขาจำศีลอดอาหารและอธิษฐานภาวนาแล้ว จึงปกมือเหนือบารนาบัสและเซาโล แล้วส่งเขาทั้งสองคนออกไป

 

สดด 98:1,2,3,4,5-6

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ 10:7-13
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับศิษย์ทั้งสิบสองคนว่า“จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย อย่าหาเหรียญทอง เหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้ เมื่อเดินทาง อย่ามีย่าม อย่ามีเสื้อสองตัว อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว
    เมื่อท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้าน จงดูว่าผู้ใดที่นั่นเป็นผู้เหมาะสมที่จะต้อนรับท่าน แล้วจงพักอยู่กับเขาจนกว่าท่านจะจากไป เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นสมควรได้รับพร จงให้สันติสุขของท่านมาสู่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรได้รับพร จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน”

 

ข้อคิด
     นักบุญบรานาบัสอัครสาวก เพื่อนเดินทางกับเปาโลไปประกาศข่าวดีให้กับคนต่างศาสนา การประกาศช่าวดีเกิดผลมากๆ แต่ประเด็นที่สำคัญของพระวาจาจากหนังสือกิจการอัครสาวกที่ทำให้เรารู้จักท่านมีประเด็นน่าคิดติดตามและปฏิบัติ “บรานาบัสเป็นคนดี เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า” พ่อคิดว่า เราอ่านพระคัมภีร์บรรทัดนี้ย้อนกลับให้เข้ากับชีวิตของเราคริสตชน เพราะเราได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยมในศีลล้างบาป ศีลกำลัง ดังนั้น เราต้องเปี่ยมด้วยความเชื่อจริงๆ และที่สำคัญ... “เราต้องเป็นคนดี” ดังเช่นท่านนักบุญบาร์นาบัส เพื่อทำตามพระบัญชาพระเยซู “จงไปประกาศว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว” ขอให้เราเป็นศิษย์พระคริสต์ประกาศพระอาณาจักรของพระองค์เช่นท่านนักบุญอัครสาวก

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน 2018 สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง                     1 พกษ 17:7-16
     ต่อมาไม่นาน น้ำในลำธารก็แห้ง เพราะฝนไม่ตกบนแผ่นดิน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เอลียาห์ว่า “จงออกเดินทางไปเมืองศาเรฟัทในเขตไซดอนและจงอยู่ที่นั่น เราได้สั่งหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงดูท่าน” เขาจึงออกเดินทางไปเมืองศาเรฟัท เมื่อมาถึงประตูเมือง ก็พบหญิงม่ายคนหนึ่งกำลังเก็บฟืนอยู่ เขาจึงเรียกนางสั่งว่า “จงนำน้ำในเหยือกมาให้ฉันดื่มสักหน่อยเถิด” ขณะที่นางกำลังเดินไปตักน้ำ เขาก็ตะโกนสั่งว่า “จงนำขนมปังสักชิ้นหนึ่งมาให้ฉันด้วย” นางตอบว่า “ดิฉันขอสาบานอ้างถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านผู้ทรงพระชนมชีพว่า ดิฉันไม่มีขนมปังเลย มีแต่แป้งอยู่ในไหเพียงหนึ่งกำมือ และมีน้ำมันมะกอกเทศนิดหน่อยในเหยือก ดิฉันกำลังเก็บฟืนสองสามท่อน จะกลับไปทำอาหารสำหรับดิฉันและลูกชาย เราจะกิน แล้วเราจะตาย” เอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย ไปทำตามที่เธอพูดเถิด แต่จงทำขนมปังก้อนเล็กๆ นำมาให้ฉันกินก่อน แล้วจึงค่อยทำสำหรับเธอและลูก เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า
“แป้งในไหจะไม่หมด
น้ำมันในเหยือกจะไม่แห้ง
จนถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงส่งฝนให้ตกบนแผ่นดิน”
หญิงม่ายกลับไปทำตามที่เอลียาห์สั่ง เอลียาห์ หญิงม่ายและบุตรมีอาหารกินเป็นเวลาหลายวัน แป้งในไหไม่ขาด และน้ำมันในเหยือกไม่แห้ง ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้โดยทางเอลียาห์

 

สดด 4:1,2,3-4,6-4

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                  มธ 5:13-16
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำให้เค็มได้อีกเล่า เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทิ้งให้คนเหยียบย่ำ”
“ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอามาวางไว้ใต้ถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”

 

ข้อคิด
    เอลียาห์ (Eliah) ภาษาฮีบรูแปลว่า “ยาห์เวห์คือพระเจ้าของฉัน” ในยุคของเอลียาห์ กษัตริย์อาคับหันไปหาพระเจ้าพระเท็จเทียมของพระนางเยเซเบล คือ “พระบาอัล” บาอัลเป็นพระเจ้าแห่งฟ้าฝน เป็นพระเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ตามความเชื่อในพระเท็จเทียมนี้ และศาสนาของบาอัลเขามายึดพื้นที่ความจริง ทำลายพระแท่นบูชาของพระเจ้าเที่ยงแท้คือพระยาห์เวห์ ดังนั้น พระเจ้าปิดท้องฟ้าเป็นเวลาสามปีครึ่ง ไม่มีฝน แผ่นดิ้นแห้งแล้ง แทบแย่เลย แต่ทว่าเอลียาห์ผู้ซื่อสัตย์กลับได้รับการเลี้ยงดูจากหญิงหม้าย นี่เป็นเครื่องหมายยิ่งใหญ่ พระเจ้าสามารถเหนือพระเจ้าเท็จเทียมทุกชนิด ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเทียบกับพระองค์ได้เลย ขอให้ชีวิตของเราได้หลีกหนีจากความเท็จเทียม ความเชื่อเท็จเทียมที่น่าหลงไหล หันไปหาความเที่ยงแท้ในพระเจ้าเสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2018 สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง                     1 พกษ 18:41-46
     เอลียาห์ทูลกษัตริย์อาคับว่า “ขอเชิญเสด็จไปเสวยพระกระยาหารเถิด ข้าพเจ้าได้ยินเสียงฝนใหญ่กำลังมาแล้ว” กษัตริย์อาคับเสด็จไปเสวยพระกระยาหาร เอลียาห์ก็ขึ้นไปบนยอดเขาคารเมล ก้มลงกับพื้น ซบหน้าลงระหว่างเข่าทั้งสอง แล้วสั่งผู้รับใช้ว่า “จงขึ้นไป มองทางทะเล” เขาก็ขึ้นไปมอง แล้วพูดว่า “ไม่เห็นมีอะไรเลย” เอลียาห์สั่งให้เขากลับไปมองเจ็ดครั้ง ครั้งที่เจ็ด ผู้รับใช้แจ้งว่า “ข้าพเจ้าเห็นเมฆก้อนเล็กๆ เหมือนกับฝ่ามือคนกำลังลอยขึ้นจากทะเล” เอลียาห์สั่งเขาว่า “ไปทูลกษัตริย์อาคับให้ทรงเทียมราชรถและเสด็จลงไปก่อนที่จะทรงติดฝน” ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็มีเมฆมืดครึ้ม ลมพัดแรง แล้วฝนก็ตกหนัก กษัตริย์อาคับเสด็จขึ้นราชรถกลับไปเมืองยิสเรเอล พระอานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเหนือเอลียาห์ เขาดึงเสื้อขึ้นคาดสะเอวไว้ วิ่งนำหน้ากษัตริย์อาคับจนถึงเมืองยิสเรเอล

 

สดด 65:9,10-11,12-13

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 5:20-26
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย”
“ท่านได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่’ ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ’ ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก ดังนั้น ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้วจงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย”

 

ข้อคิด
     หลังจากความเท็จเทียมของพระเจ้าแห่งฟ้าฝนนามพระบาอัลผ่านไป ฟ้าฝนที่ขาดจากฟ้าไปถึงสามปีครึ่งก็กำลังกลับมา หลังจากชัยชนะเหนือประกาศกของพระบาอัลที่หลอกลวงประชาชนให้หลงไปหาพระเท็จเทียม เมื่อความเท็จเทียมผ่านไป ความเที่ยงแท้ก็กลับเข้ามา พระยาห์เวห์ผู้ประทานฟ้าฝนที่แท้จริง ทรงประทานฝนหลั่งลงมาทำลายความแห่งแล้งของความเท็จเทียม ความแห้งแล้งของความเชื่อผิด ฟาที่ปิดไปยาวนานบัดนีเปิดท้องฟ้าประทานฝนรดแผ่นดินที่แห้งผาก ขอให้ชีวิตของเราได้รับน้ำจากฟ้า ได้รับฝนจากเมฆ คือ ได้รับความสุขจากความเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้ โดยทางพระคริสตเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2018 ระลึกถึง น.อันตนแห่งปาดัว พระสงฆ์และนักปราชญ์

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง                      1 พกษ 18:20-39
     กษัตริย์อาคับทรงส่งคนไปเรียกชาวอิสราเอลทุกคนและประกาศกมาที่ภูเขาคารเมล เอลียาห์เข้ามายืนต่อหน้าประชากรทั้งหลาย พูดว่า “ท่านทั้งหลายจะเหยียบเรือสองแคมอยู่อีกนานเท่าใด ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ก็จงติดตามพระองค์เถิด แต่ถ้าพระบาอัลเป็นพระเจ้า ก็จงตามพระบาอัลไป” ประชาชนไม่ตอบว่ากระไร เอลียาห์จึงพูดกับประชาชนต่อไปว่า “ข้าพเจ้าเป็นประกาศกเพียงคนเดียวขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ยังเหลืออยู่ แต่ประกาศกของพระบาอัลมีจำนวนถึงสี่ร้อยห้าสิบคน จงนำโคเพศผู้มาสองตัว ให้เขาเลือกตัวหนึ่ง ฆ่าแล้วตัดเป็นท่อนๆ วางบนกองฟืน แต่อย่าจุดไฟ ส่วนข้าพเจ้าก็จะเตรียมโคอีกตัวหนึ่ง วางบนกองฟืนและไม่จุดไฟ ท่านทั้งหลายจงเรียกพระนามพระเจ้าของท่าน ส่วนข้าพเจ้าจะเรียกพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ใดทรงส่งไฟมา พระองค์นั้นทรงเป็นพระเจ้า” ประชากรทุกคนตอบว่า “เป็นข้อเสนอที่ดี” เอลียาห์พูดกับประกาศกของพระบาอัลว่า “จงเลือกโคตัวหนึ่งและจัดเตรียมก่อน เพราะท่านมีหลายคนด้วยกัน จงเรียกพระนามพระเจ้าของท่าน แต่อย่าจุดไฟ” เขานำโคมาจัดเตรียม แล้วเรียกพระนามพระบาอัลตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงวันว่า “ข้าแต่พระบาอัล โปรดตอบข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย” แต่ไม่มีเสียง ไม่มีคำตอบ เขาเต้นไปรอบๆ แท่นที่เขาสร้างขึ้น ถึงเวลาเที่ยง เอลียาห์ก็เยาะเย้ยพวกเขาว่า “ร้องให้ดังกว่านี้ซิ เพราะพระบาอัลทรงเป็นพระเจ้า บางทีพระองค์กำลังมีกังวล กำลังทรงติดธุระ หรือกำลังเสด็จประพาส ถ้ากำลังบรรทมอยู่ ก็จงปลุกให้ทรงตื่น” เขาเหล่านั้นจึงร้องตะโกนเสียงดังยิ่งขึ้น พลางใช้ดาบและหอกเชือดตัวตามพิธีของตน จนกระทั่งเลือดไหล เที่ยงวันผ่านไป เขายังคงพูดพร่ำอยู่ในภวังค์ต่อไปจนถึงเวลาถวายเครื่องบูชา แต่ไม่มีเสียง ไม่มีคำตอบ ไม่มีใครฟัง
    เอลียาห์จึงพูดกับประชากรทั้งหลายว่า “จงเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าเถิด” ประชากรทุกคนเข้ามาใกล้เขา เอลียาห์ลงมือซ่อมแซมพระแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งถูกรื้อลงแล้ว เอลียาห์นำหินสิบสองก้อนตามจำนวนเผ่าลูกหลานของยาโคบ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานนามให้ว่า “อิสราเอล” เอลียาห์ใช้หินเหล่านั้นสร้างพระแท่นบูชาถวายแด่พระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วขุดร่องน้ำรอบพระแท่นบูชาให้ใหญ่พอจุเมล็ดพืชได้ประมาณสองถัง เรียงฟืนไว้บนพระแท่นบูชา ตัดโคเป็นท่อนๆ นำมาวางไว้บนฟืน สั่งว่า “จงตักน้ำมาสี่ถัง เทลงบนเครื่องบูชาและฟืน” เขาก็ทำตาม เอลียาห์สั่งอีกว่า “จงทำอีกครั้งหนึ่ง” เขาก็ทำตามอีกครั้งหนึ่ง เอลียาห์ยังสั่งอีกว่า “จงทำเป็นครั้งที่สาม” เขาก็ทำอีกเป็นครั้งที่สาม น้ำก็ไหลรอบพระแท่นบูชาเต็มร่องน้ำ เมื่อถึงเวลาถวายเครื่องบูชา ประกาศกเอลียาห์ก็เข้าไปใกล้พระแท่นบูชา ทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัคและอิสราเอล วันนี้โปรดทรงสำแดงให้เขาทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในหมู่ชาวอิสราเอล และข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ทุกคนจะได้รู้ว่าข้าพเจ้าได้ทำสิ่งเหล่านี้ตามพระบัญชาของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงตอบข้าพเจ้าเถิด โปรดทรงตอบข้าพเจ้า เพื่อประชากรเหล่านี้จะได้รู้ว่าพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าและทรงบันดาลให้เขากลับใจมาหาพระองค์”
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งไฟลงมาเผาเครื่องบูชา ฟืน หินและฝุ่นจนหมด ทำให้น้ำในร่องแห้งไปด้วย 39ประชากรทุกคนเห็นดังนั้นก็ซบหน้าลงจรดพื้นดิน ร้องว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า”

 

สดด 16:1-2,4-5,8,11

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 5:17-19
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่ตัวอักษรหรือจุดเพียงจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จไป ดังนั้น ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์”

 

ข้อคิด
     การท้าทายกันบนภูเขาคาร์แมล เป็นการตัดสินใจเลือกว่าพระเจ้าแท้คือใคร ในเมื่อประกาศกส่วนใหญ่ 450 คน เป็นของพระบาอัล เหลือแต่เอลียาห์คนเดียวที่เป็นประกาศกของพระยาห์เวห์ การพนันขันต่อที่ร้องเรียกฟาไฟจากพระเจ้าจึงจำเป็น แท่นบูชาที่มีวัวตัดเป็นท่อนๆ คือ เครื่องหมายของ “พันธสัญญา” ที่ถูกหลงลืมไป พันธสัญญากับพระเจ้าเที่ยงแท้ที่ต้องได้รับการฟื้นฟู หันใจกลับไม่ไปหาพระบาอัล และเราทราบดีพระบาอัลไม่มีจริง ไม่มีใครฟัง ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีคำตอบ พระเท็จเทียมก็เป็นใบ้ หนวก บอด แบบนี้นี่เอง... ที่ภูเขาคาร์แมล พระเจ้าได้ส่งไฟจากฟ้ามาเผาเครื่องบูชา เป็นเครื่องหมายของความเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ เพื่อประชากรของพระองค์จะไม่หันไปหาพระเท็จเทียม ชีวิตของเรามีพระเจ้าเที่ยงแท้ โดยทางพระเยซู ขอให้ชีวิตของเราได้อยู่ชิด สนิท กับพระองค์ตลอดไป

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2018 สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง                     1 พกษ 19:9ก,11-16
     ที่นั่น เอลียาห์เข้าไปค้างคืนในถ้ำ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงออกไปยืนอยู่บนภูเขาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เสด็จผ่านมา ทรงบันดาลให้เกิดลมพัดแรงกล้า ผ่าภูเขาทำให้หินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในลมนั้น เมื่อลมหยุดก็เกิดแผ่นดินไหว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในแผ่นดินไหว หลังจากแผ่นดินไหวก็เกิดไฟลุก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในไฟนั้น หลังจากไฟก็มีเสียงกระซิบเบาๆ เมื่อเอลียาห์ได้ยิน ก็เอาเสื้อคลุมปิดหน้าไว้ ออกมายืนอยู่ที่ปากถ้ำ ได้ยินเสียงพูดกับเขาว่า “เอลียาห์ ท่านมาทำอะไรอยู่ที่นี่” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมจักรวาล เพราะชาวอิสราเอลได้ละเมิดพันธสัญญาที่ทำไว้กับพระองค์ ได้รื้อพระแท่นบูชาของพระองค์และฆ่าประกาศกของพระองค์ มีแต่ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เหลืออยู่ แล้วเขายังพยายามจะฆ่าข้าพเจ้าด้วย” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสั่งว่า “จงกลับไปทางที่ท่านมา ไปยังถิ่นทุรกันดารใกล้กรุงดามัสกัส เมื่อไปถึงแล้วจงเจิมฮาซาเอลขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอารัม แล้วจงเจิมเยฮูบุตรของนิมซีขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล เจิมเอลีชาบุตรของชาฟัทชาวเมืองอาเบลเมโคลาห์ให้เป็นประกาศกสืบแทนท่าน

 

สดด 27:7-9,13-14

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 5:27-32
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า อย่าล่วงประเวณี แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดตกนรก”
     “มีคำกล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยา ก็จงทำหนังสือหย่ามอบให้นาง แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เท่ากับทำให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดที่แต่งงานกับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย”

 

ข้อคิด
     ชีวิตเราอาจพบเจออะไรมาเยอะ ลากบากที่สุด ดุจแผ่นดินไหว ลมพายุ หรือไฟร้อนลุกโหมชีวิต แต่พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ในประสบการณ์ของเอลียาห์ประกาศก พระเจ้าพระยาเวห์เพียงทรงเสด็จผ่านไป ไม่ได้ประทับในความน่าสะพรึงกลัวเยี่ยงนั้น แต่ทว่าเมื่อมีเสียงลมแผ่วเบาดุจเสียงกระซิบ พระองค์ทรงประทับที่นั่นและตรัสกับเอลียาห์ ทรงเสริมกำลังเอลียาห์ และให้ท่านได้กลับเข้มแข็งที่จะกลับไปเพื่อเผชิญหน้ากับความเท็จเทียมเพื่อยืนยันพระเจ้าเที่ยงแท้ ดังนั้น ชีวิตของเราอาจจะพบเจออะไรหนักหนามากมายนัก เพราะเรายอมรับว่านั่นเป็นเพียงทางผ่าน แต่ที่สุด พระเจ้าจะเสด็จมาหาเราในความอ่อนโยนของกระแสลมที่แผ่วเบา และทรงช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown