มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2018 ระลึกถึง น.ยุสติน มรณสักขี

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง    1 ปต 4:7-13
    พี่น้องที่รักยิ่ง ทุกสิ่งใกล้อวสานแล้ว ดังนั้น จงมีความสุขุมรอบคอบ รู้จักประมาณตนเพื่ออธิษฐานภาวนา ที่สำคัญที่สุด จงมีความรักกันอย่างมั่นคง เพราะความรักลบล้างบาปได้มากมาย จงต้อนรับกันโดยไม่ปริปากบ่น แต่ละคนจงใช้พระพรที่ได้รับมาเพื่อรับใช้กัน ประดุจผู้จัดการที่ดีเพื่อแจกจ่ายพระหรรษทานหลากหลายของพระเจ้า ถ้าจะกล่าววาจาใด ก็จงกล่าวดุจกล่าวพระวาจาของพระเจ้า ผู้ใดมีหน้าที่รับใช้ ก็จงรับใช้ตามกำลังที่พระเจ้าประทานให้ เพื่อพระเจ้าจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในทุกสิ่งเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์และพระอานุภาพตลอดนิรันดร อาเมน
    ท่านที่รักยิ่ง อย่าประหลาดใจต่อการเบียดเบียนซึ่งเกิดขึ้นดุจไฟไหม้เป็นการทดสอบท่านทั้งหลาย ประหนึ่งว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเหตุการณ์ประหลาด แต่จงชื่นชมในการที่ท่านมีส่วนร่วมรับทรมานกับพระคริสตเจ้า เพื่อท่านจะได้มีความชื่นชมและปลื้มปีติยิ่งขึ้นเมื่อพระองค์ทรงสำแดงพระสิริรุ่งโรจน์

 

สดด 96:10-13

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 11:11-26
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม เข้าไปในพระวิหาร เมื่อทอดพระเนตรสิ่งต่างๆ โดยรอบแล้ว พระองค์ก็เสด็จออกไปยังหมู่บ้านเบธานี พร้อมกับอัครสาวกสิบสองคน ขณะนั้นเป็นเวลาค่ำแล้ว
     วันรุ่งขึ้น ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากหมู่บ้านเบธานีพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์ทรงรู้สึกหิว เมื่อทอดพระเนตรแต่ไกล ทรงเห็นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งมีใบ จึงเสด็จเข้าไปทอดพระเนตรว่ามีผลหรือไม่ ทรงพบแต่ใบ เพราะมิใช่ฤดูมะเดื่อเทศ พระองค์จึงตรัสแก่มะเดื่อเทศต้นนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไป อย่าให้ใครได้กินผลของเจ้าอีกเลย” บรรดาศิษย์ได้ยินพระวาจานี้
     พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อเสด็จเข้าสู่พระวิหาร พระองค์ทรงขับไล่บรรดาคนซื้อขายในพระวิหาร ทรงคว่ำโต๊ะของคนแลกเงิน และม้านั่งของคนขายนกพิราบ พระองค์ไม่ทรงยอมให้ใครแบกสัมภาระเดินผ่านพระวิหาร พระองค์ตรัสสอนประชาชนว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์มิใช่หรือว่า บ้านของเราจะได้ชื่อว่าบ้านแห่งการอธิษฐานภาวนาสำหรับนานาชาติ แต่ท่านทั้งหลายกลับมาทำให้เป็นซ่องโจร” เมื่อบรรดามหาสมณะและบรรดาธรรมาจารย์ได้ยินเรื่องนี้ ก็หาช่องทางที่จะกำจัดพระองค์ แต่เขากลัวพระองค์ เพราะประชาชนกำลังประทับใจในคำสั่งสอนของพระองค์ ครั้นถึงเวลาเย็น พระองค์ก็เสด็จออกจากเมืองพร้อมกับบรรดาศิษย์
    เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่บรรดาศิษย์ผ่านมา ได้เห็นต้นมะเดื่อเทศเหี่ยวเฉาไปจนถึงราก เปโตรจำได้จึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ดูซิ ต้นมะเดื่อเทศที่พระองค์ทรงสาปแช่งนั้นเหี่ยวเฉาไปแล้ว” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงมีความเชื่อในพระเจ้าเถิด เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าผู้ใดบอกภูเขาลูกนี้ว่า ‘จงยกตัวขึ้น และทิ้งตัวลงไปในทะเลเถิด’ โดยไม่มีใจสงสัย แต่เชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจะเป็นจริง มันก็จะเป็นเช่นนั้น ดังนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านวอนขอในการอธิษฐานภาวนา จงเชื่อว่าท่านจะได้รับ และท่านก็จะได้รับ ขณะที่ท่านยืนอธิษฐานภาวนา ถ้าท่านมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใด จงให้อภัย เพื่อว่าพระบิดาของท่านผู้สถิตบนสวรรค์จะทรงอภัยความผิดให้ท่านด้วย”

 

ข้อคิด
     มะเดื่อเทศ ในบริเวณพระวิหารมีแต่ใบไม่มีผล พระองค์เดินในพระวิหารพระองค์เดินเข้าไปหาผลมะเดื่อ ขณะที่พระวรสารเขียนว่า “ทรงพบแต่ใบ เพราะมิใช่ฤดูมะเดื่อเทศ” สิ่งที่แปลกคือทำไมพระองค์ไม่พอพระทัย จนถึงกับตรัสว่า “ตั้งแต่นี้ไปอย่าให้ใครได้กินผลของเจ้าอีกเลย” ต้นมะเดื่อนี้ก็เหี่ยวแห้งไปในวันถัดไป เรื่องนี้มีเบื้องหลังสำคัญ ต้นมะเดื่อเทศในบทที่ 11 ของมาระโก เป็นเรื่องราวของการชำระพระวิหาร ความจริงต้นมะเดื่อนี้น่าจะเปรียบเทียบกับบรรดาผู้คนที่อยู่ในบริพระวิหารหรือหมายถึงเราทุกคน คือ “เราต้องเกิดผลเสมอ” แม้ไม่ใช่ฤดูกาลก็ตาม ชีวิตคริสตชนของเราต้องเกิดผลเสมอ

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน 2018 น.มาร์แชลลิน และ น.เปโตร มรณสักขี

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยูดาห์อัครสาวก                      ยด 1:20-25
    ท่านที่รักทั้งหลาย จงเสริมสร้างตนเองจากพื้นฐานความเชื่อศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของท่าน จงอธิษฐานภาวนาในพระจิตเจ้า จงมีความรักอย่างมั่นคงในพระเจ้า ขณะที่รอคอยพระกรุณาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร จงสงสารคนที่ยังมีใจโลเล จงช่วยเขาให้รอดพ้นโดยดึงเขาออกมาจากไฟ จงสงสารคนอื่นด้วย แต่ต้องมีความระมัดระวัง จงอยู่ห่างแม้กระทั่งเสื้อที่เปื้อนมลทินของเขา
     แด่พระองค์ผู้ทรงปกป้องท่านทั้งหลายไว้มิให้พลาดพลั้ง และทรงประคองให้ยืนด้วยความยินดีปราศจากตำหนิเฉพาะพระสิริรุ่งโรจน์ แด่พระองค์แต่เพียงพระองค์เดียวผู้ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอดพ้น อาศัยพระบารมีของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอพระสิริรุ่งโรจน์ พระบารมียิ่งใหญ่ พระเดชานุภาพและพระฤทธานุภาพ จงมีแด่พระองค์ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตตลอดนิรันดรเทอญ อาเมน

 

สดด 63:1-2,3-5

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                                มก 11:27-33
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มอีกพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะที่ทรงพระดำเนินอยู่ในพระวิหาร บรรดามหาสมณะ บรรดาธรรมาจารย์ และผู้อาวุโสได้เข้ามาพบพระองค์ ทูลถามว่า “ท่านมีอำนาจใดจึงทำเช่นนี้ ใครมอบอำนาจให้ท่านทำการเหล่านี้” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราขอถามท่านอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน ถ้าท่านตอบ เราก็จะบอกท่านว่าเราทำเช่นนี้โดยอำนาจอะไร พิธีล้างของยอห์นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์ จงตอบมาซิ” บรรดามหาสมณะ ธรรมาจารย์และผู้อาวุโส จึงปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่ามาจากสวรรค์ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทำไมท่านจึงไม่เชื่อยอห์น’ แต่เราจะบอกว่ามาจากมนุษย์ได้อย่างไร” เขาเหล่านั้นกลัวประชาชน เพราะประชาชนคิดว่า ยอห์นเป็นประกาศก จึงทูลตอบพระเยซูเจ้าว่า “เราไม่รู้” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เราก็ไม่บอกท่านเช่นเดียวกันว่าเราทำการเหล่านี้ด้วยอำนาจใด”

 

ข้อคิด
     สังเกตว่าพระเยซูเสด็จมาชำระพระวิหารที่เยรูซาเล็ม พระองค์เดินไปเดินมา เข้าออกพร้อมกับบรรดาศิษย์ และพระคัมภีร์เน้นน่าสังเกตไหมพระคัมภีร์เน้น.. พระองค์เดินในพระวิหาร บรรดาสมณะธรรมาจารย์เข้ามาพบพระองค์ พี่น้องอ่านพระวาจาดีๆ พระองค์เป็นเหมือนเจ้าบ้านในพระวิหารของชาวยิว เพราะอันที่จริงพระองค์ก็เป็นเจ้าของบ้านจริงๆ คือพระวิหารเป็นบ้านของพระบิดาของพระองค์ ดังนั้น พระองค์สามารถเดินไปเดินมาในบ้านของพระบิดาเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่เราน่าไตร่ตรองจริงๆ ว่าพระองค์คือพระวิหารแท้จริง พระองค์พระองค์คือพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ ในบริเวณพระวิหารนี้คือบ้านของพระองค์... ขอให้เราได้สัมผัสกับพระองค์ในพระวาจาให้พระองค์เป็นพระวิหารสำหรับชีวิตของเรา

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน 2018 สัปดาห์ที่ 9 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่สอง      2 ปต 1:1-7
     ซีโมน เปโตร ผู้รับใช้และอัครสาวกของพระเยซูคริสตเจ้า ถึงท่านทั้งหลายผู้ได้รับความเชื่อล้ำค่าเท่าเทียมกับความเชื่อซึ่งเราได้รับจากความเที่ยงธรรมของพระเยซูคริสต์พระเจ้าและพระผู้ไถ่ของเรา
     ขอพระหรรษทานและสันติจงมีแด่ท่านอย่างสมบูรณ์ เพราะได้รู้จักพระเจ้าและพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ด้วยพระอานุภาพในฐานะพระเจ้า พระคริสตเจ้าประทานทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้เรามีชีวิตอย่างเลื่อมใสศรัทธา เพราะเรารู้จักพระองค์ผู้ทรงเรียกเราอาศัยพระสิริรุ่งโรจน์ และพระฤทธานุภาพของพระองค์ พระองค์จึงประทานพระพรยิ่งใหญ่ล้ำค่าให้เราตามที่ทรงสัญญาไว้ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้หลุดพ้นจากความเสื่อมที่มาจากราคตัณหาในโลก เข้ามามีส่วนร่วมในพระธรรมชาติของพระเจ้า ดังนั้น ท่านทั้งหลาย จงพยายามทุกวิถีทางที่จะใช้คุณธรรมเพิ่มพูนความเชื่อของท่าน ใช้ความรู้เพิ่มพูนคุณธรรม ใช้การรู้จักบังคับตนเพิ่มพูนความรู้ ใช้ความอดทนเพิ่มพูนการรู้จักบังคับตน ใช้ความเลื่อมใสศรัทธาเพิ่มพูนความอดทน ใช้มิตรภาพฉันพี่น้องเพิ่มพูนความเลื่อมใสศรัทธา ใช้ความรักเพิ่มพูนมิตรภาพฉันพี่น้อง

 

สดด 91:1-2,14-16

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                                มก 12:1-12
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องอุปมาให้บรรดาผู้นำชาวยิวฟังว่า “ชายคนหนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำรั้วล้อม ขุดบ่อย่ำผลองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อถึงเวลากำหนด เขาก็ใช้ผู้รับใช้คนหนึ่งไปหาคนเช่าสวน เพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิตของสวน แต่คนเช่าสวนจับผู้รับใช้คนนั้นทุบตี แล้วไล่กลับไปมือเปล่า เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้ไปอีกคนหนึ่ง คนเช่าสวนตีหัวและด่าว่าผู้รับใช้คนนี้อย่างหยาบคาย เจ้าของสวนส่งผู้รับใช้ไปอีกคนหนึ่ง คนเช่าสวนก็ฆ่าเขา เจ้าของสวนยังส่งผู้รับใช้คนอื่นไปอีกหลายคน ก็ถูกคนเช่าสวนทุบตีบ้าง ฆ่าเสียบ้าง เจ้าของสวนยังมีคนเหลืออยู่อีกคนหนึ่ง คือบุตรสุดที่รัก เขาจึงส่งบุตรไปเป็นคนสุดท้าย โดยคิดว่า ‘พวกนั้นคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่คนเช่าสวนเหล่านั้นพูดกันว่า ‘คนคนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเถิด มรดกจะได้ตกเป็นของเรา’ แล้วเขาก็จับบุตรของเจ้าของสวนฆ่า ทิ้งศพไว้นอกสวน เจ้าของสวนจะทำอย่างไร เขาจะมาทำลายคนเช่าสวนเหล่านั้น แล้วยกสวนให้คนอื่นเช่า ท่านทั้งหลายไม่ได้อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้หรือว่า
‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น
ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้น
เป็นที่น่าอัศจรรย์กับเรายิ่งนัก’”
บรรดาผู้นำชาวยิวพยายามจับกุมพระองค์ เพราะรู้ว่าพระองค์ตรัสอุปมานี้กระทบถึงเขา แต่เขายังเกรงประชาชนอยู่จึงผละจากพระองค์ไป

 

ข้อคิด
     เรื่องคนเช่าสวนองุ่น ประเด็นสำคัญนี้ทำให้เราเห็นประวัติศาสตร์ความรอดทั้งหมดเลย เพราะหลายต่อหลายวาระมาแล้วในอดีตและหลายต่อหลายวิธีด้วยกัน พระเจ้าทรงส่งความรอดพ้นมาทางบรรพบุรุษทางบรรดาประกาศก พระคมภีร์ต้องการชี้ให้เห็นว่า บรรดาผู้นำความรอดพ้นทั้งหลายนั้นไม่สามารถเปรียบได้เลยกับพระเยซูผู้ทรงเป็น “พระบุตรสุดที่รักของพระเจ้า” ที่พระองค์ทรงส่งมา แม้ว่าพระองค์จะต้องรับทรมานสิ้นพระชนมเพื่อมนุษย์ทุกคน พระวาจาของพระเจ้าที่เราอ่านนี้ทำให้เรายิ่งเห็นชัดว่าความรักของพระเจ้าไม่สิ้นสุดในการส่งมา ส่งบรรดาประกาศ จนถึงพระบุตรของพระองค์ และยิ่งเราอ่านเรายิ่งเห็นความสำคัญ ความจริงของพระเยซู คือ พระองค์คือผู้ที่เสด็จมาและยอมรับทรมาน สิ้นพระชนม์ และกลับคืนพระชนม์เพื่อไถ่บาปของเรา

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2018 สมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                             อพย 24:3-8
     โมเสสไปบอกให้ประชากรรู้พระวาจาทุกคำและข้อกำหนดทั้งหมดขององค์พระผู้เป็นเจ้า ประชากรทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะปฏิบัติตามพระวาจาทุกคำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเรา” โมเสสบันทึกพระวาจาทุกคำขององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เขาสร้างพระแท่นบูชาไว้ที่เชิงภูเขา และตั้งหินสิบสองก้อนไว้เป็นตัวแทนทั้งสิบสองเผ่าของอิสราเอล เขาให้ชายหนุ่มชาวอิสราเอลเป็นผู้ถวายเครื่องเผาบูชา และฆ่าโคถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นศานติบูชา โมเสสรองเลือดครึ่งหนึ่งใส่ชามไว้ แล้วพรมเลือดอีกครึ่งหนึ่งบนพระแท่นบูชา เขาเอาหนังสือพันธสัญญาขึ้นมาอ่านให้ประชากรฟัง ประชากรตอบว่า “พวกเราจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส” โมเสสนำเลือดในชามประพรมประชากรพูดว่า “นี่คือโลหิตแห่งพันธสัญญาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำกับท่าน ตามพระวาจาเหล่านี้ทั้งหมด”

 

เพลงสดุดี                                                                      สดด 116:12-13,14-16,17-18
     ก) ข้าพเจ้าจะตอบแทนองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร
ให้สมกับที่ทรงดีต่อข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะชูถ้วยแห่งความรอดพ้น
และเรียกขานพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า
     ข) ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ต่อหน้ามวลประชากรของพระองค์
ความตายของผู้จงรักภักดีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้ามีค่ายิ่งนักเฉพาะพระพักตร์พระองค์
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้พระองค์
ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้พระองค์ เป็นบุตรของหญิงรับใช้พระองค์
พระองค์ทรงปลดโซ่ตรวนที่จองจำข้าพเจ้า
     ค) ข้าพเจ้าจะถวายเครื่องบูชาขอบพระคุณ
และจะเรียกขานพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ต่อหน้ามวลประชากรของพระองค์

 

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู                                    ฮบ 9:11-15
     พี่น้อง พระคริสตเจ้าเสด็จมาเป็นมหาสมณะผู้นำพระพรต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานมาให้ พระองค์เสด็จผ่านกระโจมที่ยิ่งใหญ่กว่าและสมบูรณ์กว่า ทั้งมิใช่กระโจมที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ คือมิใช่กระโจมซึ่งเป็นสิ่งสร้างของโลกนี้ พระองค์เสด็จเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งเพียงครั้งเดียวตลอดไป สิ่งที่พระองค์ทรงนำไปด้วยมิใช่เลือดแพะและเลือดลูกโค แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เข้าไป และทรงกระทำให้การไถ่กู้นิรันดรสำเร็จ ถ้าการประพรมบุคคลที่มีมลทินด้วยเลือดแพะ เลือดลูกโค รวมกับเถ้าของโคเพศเมีย ยังทำให้บุคคลนั้นบริสุทธิ์ร่วมศาสนพิธีได้ พระโลหิตของพระคริสตเจ้าย่อมทำได้มากกว่านั้น พระคริสตเจ้าทรงถวายพระองค์โดยปราศจากตำหนิมลทินแด่พระเจ้าเดชะพระจิตเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่ตลอดนิรันดร พระโลหิตชำระจิตใจของเราให้บริสุทธิ์จากกิจการที่ตายแล้วเพื่อจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงชีวิต

     ดังนั้น พระคริสตเจ้าทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับเรียกเป็นทายาทกองมรดกนิรันดรได้รับตามพระสัญญา เพราะพระองค์ทรงยอมรับความตายเพื่อลบล้างการล่วงละเมิดตามเงื่อนไขของพันธสัญญาเดิมแล้ว

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 14:12-16,22-24
     วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เมื่อเขาฆ่าลูกแกะปัสกา บรรดาศิษย์ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระองค์มีพระประสงค์ให้เราจัดเตรียมการเลี้ยงปัสกาที่ไหน” พระองค์จึงทรงใช้ศิษย์สองคนไป สั่งเขาว่า “จงเข้าไปในกรุง แล้วจะพบชายคนหนึ่งกำลังเดินแบกหม้อน้ำอยู่ จงตามเขาไป เขาเข้าไปที่ไหน จงถามเจ้าของบ้านว่า ‘พระอาจารย์ถามว่า ห้องที่เราจะกินปัสกากับบรรดาศิษย์นั้นอยู่ที่ไหน’ เขาจะชี้ให้ท่านเห็นห้องใหญ่ชั้นบนปูพรมไว้เรียบร้อย จงจัดเตรียมปัสกาไว้สำหรับพวกเราที่นั่นแหละ” ศิษย์ทั้งสองคนออกเดินทางเข้าไปในกรุง พบสิ่งต่างๆ ดังที่พระองค์ทรงบอกไว้ จึงจัดเตรียมปัสกา
     ขณะที่ทุกคนกำลังกินอาหารอยู่นั้น พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ตรัสถวายพระพร ทรงบิขนมปัง ประทานให้เขาเหล่านั้น ตรัสว่า “จงรับเถิด นี่เป็นกายของเรา” แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ตรัสขอบพระคุณ ประทานให้เขาและทุกคนดื่มจากถ้วยนั้น พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นโลหิตของเรา โลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกเพื่อคนจำนวนมาก เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มน้ำจากผลองุ่นใด จนกว่าจะถึงวันที่เราจะดื่มเหล้าองุ่นใหม่ในพระอาณาจักร”

 

ข้อคิด
     วันนี้สมโภชพระวรกายและพระโลหิตของพระคริสเจ้า พระวาจาจากหนังสืออพยพมีประเด็นของการรื้อพันธสัญญาและในการรื้อฟื้นสิ่งสำคัญคือการพรมเลือดและเลือดนี้คือเลือดที่เป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา และพันธสัญญานี้อันที่จริงคือ “ความรัก” พระเยซูเจ้าในเวลาปัสกาของชาวยิว บรรดาศิษย์เข้ามาถามว่าจะให้เตรียมงานเลี้ยงปัสกาที่ไหน และที่เหลือเป็นพระองค์พระองค์ที่ทรงสั่ง ทรงชี้นำ และให้พวกเขาไปจัดการ พวกเขาได้พบตามที่พระองค์ตรัสสั่ง ถ้าเราสังเกต ปัสกาในการเลี้ยงของชาวยิว เจ้าบ้าน เจ้าของบ้าน ผู้สำคัญสุดจะเป็นคนกำหนดเรื่องการจัดการเลี้ยงปัสกา และที่นี่ในวันนี้ ถ้าเราดูดีๆ พระองค์เป็นผู้กำหนด ทรงสั่ง ทรงให้จัดเตรียมปัสกา แต่ที่ต่างกันคือขนมปังคือพระกายของพระองค์ที่บิและถ้วยที่ดื่มคือเหล้าองุ่นที่พระองค์ตรัสว่าเป็นพระโลหิต สรุปว่า ทุกอย่าง ปัสกานี้สำเร็จเป็นไป เป็นแบบใหม่ที่ยืนยงตลอดไป คือ พระองค์เองเจ้าของปัสกา และทรงเป็นอาหารและเครื่องดื่มแห่งความยินดีในพันธสัญญาของพระองค์

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2018 ระลึกถึง น.บอนีฟาส พระสังฆราชและมรณสักขี

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่สอง      2 ปต 3:12-15ก,17-18
ท่านที่รักทั้งหลาย จงรอคอยวันของพระเจ้าและพยายามเร่งให้วันนั้นมาถึง ในวันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟเผาผลาญ และโลกธาตุจะถูกไฟเผาละลายไป เรากำลังรอคอยฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ ซึ่งเป็นที่อยู่ถาวรของความชอบธรรมตามพระสัญญา ดังนั้น ท่านที่รักทั้งหลาย ขณะที่ท่านกำลังรอคอยเหตุการณ์เหล่านี้ จงพยายามให้พระเจ้าทรงพบท่านดำเนินชีวิตอย่างสันติปราศจากมลทินและไร้ข้อตำหนิ จงคิดเถิดว่า ความอดกลั้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือความรอดพ้นของเรา
ท่านที่รักทั้งหลาย เมื่อท่านรู้ล่วงหน้าเช่นนี้แล้ว จงระมัดระวังอย่าปล่อยตัวไปตามความหลงผิดของคนอธรรม และสูญเสียความมั่นคงของท่านไป จงเจริญขึ้นในพระหรรษทานและในความรู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ไถ่ของเรา ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ทั้งในปัจจุบันและตลอดนิรันดร อาเมน

 

สดด 90:2-4,10-11,14 และ 16

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                                มก 12:13-17
     ต่อมา เขาได้ส่งชาวฟาริสีและคนบางคนที่เป็นผู้นิยมกษัตริย์เฮโรดมาพบพระเยซูเจ้า หมายจะจับผิดพระวาจาของพระองค์ คนเหล่านั้นทูลว่า “พระอาจารย์ พวกเรารู้ว่า ท่านเป็นคนเที่ยงตรง ไม่ลำเอียง ท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร แต่สั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่จะเสียภาษีแก่ซีซาร์ เราต้องเสียภาษีหรือไม่ต้องเสียภาษี” พระองค์ทรงทราบความเจ้าเล่ห์ของเขา จึงตรัสว่า “มาทดสอบเราทำไม เอาเงินเหรียญมาให้เราดูสักเหรียญหนึ่งซิ” เขาก็นำเงินเหรียญหนึ่งมาถวาย พระองค์จึงตรัสถามว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” เขาก็ตอบว่า “เป็นของซีซาร์” พระองค์จึงตรัสว่า “ของของซีซาร์จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้าก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด” คนเหล่านั้นต่างประหลาดใจในพระองค์

 

ข้อคิด
     พี่น้องสังเกตอะไรไหม จดหมายนักบุญเปโตรที่เราได้ฟังกำลังกล่าวถึงอวสานตกาล เวลาแห่งการสิ้นสุด และเวลาที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องของการสิ้นพิภพ ประหนึ่งว่าเรากำลังรอคอยฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ ดูเหมือนว่าพระศาสนจักรกำลังรอคอยอวสานตกาล พระวาจาเรียกร้องสิ่งสำคัญคือความอดกลั้นและการรอคอยเพราะเครื่องหมายของความอดกลั้นรอคอยคือความรอดพ้นของเรา จดหมายนักบุญเปโตรเรียกร้องเชิญชวนเรามากให้เราได้เป็นคริสตชนแท้จริงที่ต้องอดกลั้นและรอคอยซึ่งเป็นคุณธรรมสำคัญของชีวิตคริสตชน สิ่งที่เป็นคำสอนสำหรับเราคือคุณธรรมแห่งความเพียรทนเป็นเครื่องหมายสำคัญของคนที่มีความเชื่อเช่นเราคริสตชน

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown