มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2023 ระลึกถึง น.อิกญาซีโอแห่งโลโยลา พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                            อพย 32:15-24,30-34

         เมื่อโมเสสกลับลงมาจากภูเขาถือแผ่นศิลาจารึกสองแผ่นที่จารึกพระบัญญัติไว้ทั้งสองด้าน คือด้านหน้าและด้านหลัง ศิลาจารึกนั้นเป็นฝีพระหัตถ์พระเจ้า ตัวอักษรที่จารึกนั้นเป็นตัวอักษรที่พระเจ้าทรงจารึกลงบนแผ่นศิลา

           โยชูวาได้ยินเสียงประชากรร้องตะโกน ก็บอกโมเสสว่า “มีเสียงรบกันดังมาจากค่าย” โมเสสตอบว่า “นั่นไม่ใช่เสียงร้องของผู้ชนะ ไม่ใช่เสียงคร่ำครวญของผู้แพ้ แต่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเพลงฉลอง”

           เมื่อโมเสสเข้ามาใกล้ค่าย เขาก็เห็นรูปลูกโคและเห็นประชากรกำลังเต้นรำ โมเสสโกรธมาก ทุ่มแผ่นศิลาที่ถืออยู่ลงไปจนแตกที่เชิงเขา เขาเอารูปลูกโคที่ประชากรหล่อมาเผา แล้วบดเป็นผงละเอียด โปรยลงในน้ำและบังคับให้ชาวอิสราเอลดื่มน้ำนั้น โมเสสถามอาโรนว่า “ประชาชนเหล่านี้ทำอะไรท่าน ท่านจึงทำให้เขาทำบาปหนักเช่นนี้” อาโรนตอบว่า “ขอเจ้านายอย่าได้โกรธข้าพเจ้าเลย ท่านรู้แล้วว่า ประชากรนี้มีความโน้มเอียงจะทำชั่วอยู่เสมอ เขาบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงสร้างรูปเคารพให้เราสักรูปหนึ่ง เพื่อเป็นผู้นำทางพวกเราเถิด เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสสคนนั้น คนที่นำเราออกมาจากแผ่นดินอียิปต์’ ข้าพเจ้าจึงบอกเขาว่า ‘ใครมีทองคำบ้าง’ คนที่มีทองคำเป็นเครื่องประดับ ก็ถอดมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเอาทองหลอมในไฟ ก็ได้ลูกโคตัวนี้ออกมา”

         วันรุ่งขึ้น โมเสสกล่าวแก่ประชากรว่า “ท่านทั้งหลายได้ทำบาปหนักมาก บัดนี้ข้าพเจ้าจะขึ้นไปเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า บางทีคำอ้อนวอนของข้าพเจ้าจะทำให้พระองค์ทรงอภัยบาปของท่าน” โมเสสกลับขึ้นไปเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ทูลว่า “ประชากรนี้ได้ทำบาปหนักมาก เขาได้นำทองคำมาสร้างรูปเคารพ บัดนี้ ขอพระองค์ทรงอภัยบาปให้เขาทั้งหลายเถิด มิฉะนั้น ขอทรงลบชื่อของข้าพเจ้าออกจากหนังสือที่พระองค์ทรงเขียนไว้เถิด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “คนที่ทำบาปต่อเราต่างหากที่เราจะลบชื่อของเขาออกจากหนังสือของเรา บัดนี้ ท่านจงไปนำประชากรไปยังสถานที่ที่เราสั่งท่านเถิด ทูตสวรรค์ของเราจะนำหน้าท่าน แต่เมื่อถึงเวลากำหนด เราจะลงโทษเขาทั้งหลายที่ทำบาป”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                        มธ 13:31-35

          เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีผู้นำไปหว่านในนา และเป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่อเมล็ดงอกขึ้นเป็นต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่าต้นผักอื่นๆ และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งนกในอากาศมาทำรังอาศัยบนกิ่งได้”

            พระองค์ยังตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า

            “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำมาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น”

             พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องทั้งหมดนี้แก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา ทั้งนี้ เพื่อให้พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเป็นความจริงว่า

             เราจะเปิดปากกล่าวเป็นอุปมา

             เราจะกล่าวเรื่องที่ยังไม่เคยเปิดเผยตั้งแต่สร้างโลก

วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม 2023 สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง                                        1 พกษ 3:5,7-12

         คืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่กษัตริย์ซาโลมอนในพระสุบินที่เมืองกิเบโอน พระเจ้าตรัสว่า “จงขอสิ่งที่ท่านอยากให้เราประทานแก่ท่าน”

        กษัตริย์ซาโลมอนทูลตอบว่า “บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงตั้งข้าพเจ้าขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากดาวิดพระบิดา แต่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร ผู้รับใช้ของพระองค์ต้องปกครองประชากรที่ทรงเลือกสรร ซึ่งเป็นประชากรจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน ขอประทานความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อจะได้ปกครองประชากรของพระองค์อย่างยุติธรรม และรู้จักวินิจฉัยแยกความดีจากความชั่ว ถ้าพระองค์ไม่ประทาน ใครเล่าจะปกครองประชากรจำนวนมากเช่นนี้ของพระองค์ได้” องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยที่กษัตริย์ซาโลมอนทูลขอเช่นนี้ พระเจ้าจึงตรัสตอบว่า “เพราะท่านได้วอนขอเช่นนี้ แทนที่จะวอนขอชีวิตยืนยาว หรือความมั่งคั่ง หรือขอให้เราทำลายชีวิตของศัตรู แต่ได้ขอความเข้าใจเพื่อจะตัดสินอย่างถูกต้อง เราจะทำตามที่ท่านขอ เราจะให้ความเข้าใจและปรีชาญาณในการตัดสินอย่างที่ผู้ใดไม่เคยมีมาก่อน หรือจะมีในภายหลัง”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม                       รม 8:28-30

         พี่น้อง เรารู้ว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่ทรงเรียกมาตามพระประสงค์ของพระองค์ เพราะผู้ที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้านั้น พระองค์ทรงกำหนดจะให้เป็นภาพลักษณ์ของพระบุตรของพระองค์ด้วย เพื่อพระบุตรจะได้เป็นบุตรคนแรกในบรรดาพี่น้องจำนวนมาก ผู้ที่ทรงกำหนดไว้แล้วนั้นพระองค์ทรงเรียก ผู้ที่ทรงเรียกนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้เป็นผู้ชอบธรรม ผู้ที่ทรงบันดาลให้ชอบธรรมนั้น พระองค์ประทานพระสิริรุ่งโรจน์ให้ด้วย

 

บทอ่านจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว                        มธ 13:44-52

          เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับฝูงชนว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อนสมบัตินั้น และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อนาแปลงนั้น

          อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น

          อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับอวนที่หย่อนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด เมื่ออวนเต็มแล้ว ชาวประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยนทิ้งไป เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงคราวสิ้นโลก ทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม ทิ้งคนชั่วลงในขุมไฟ ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่”

          บรรดาศิษย์ทูลตอบว่า “เข้าใจแล้ว”

          พระองค์จึงตรัสว่า “ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคนที่มาเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์ก็เหมือนกับเจ้าบ้านที่นำทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน”

 

 

ข้อคิด
ขุมทรัพย์ยิ่งใหญ่คือสิ่งใด
1 . สำหรับนักปกครองแบบซาโลมอน คือบุคคลที่มีสติปัญญาเฉียบแหลม รู้จักตัดสินอย่างถูกต้องตามพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า กษัตริย์ซาโลมอนจึงเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ แต่ในภายหลังคบผู้หญิงเสเพล... ประวัติของท่านจบลงด้วยความหม่นหมองในตอนสุดท้าย
2. ขุมทรัพย์ของคริสตชน คือผู้มีความเชื่อศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้า ย่อมสู้ชีวิตในเส้นทางกางเขน มีความมานะอดทนและมีความรักต่อพี่น้องของตน ชีวิตแบบนี้ทำให้สังคมคริสตชนมีพลัง มีการพัฒนารุดหน้าเสมอในด้านการศึกษา งานสังคมสงเคราะห์และเป็นผู้นำในสังคมวงกว้าง ขุมทรัพย์ของผู้มีความเชื่อมิใช่สมบัติทางวัตถุ แต่เป็นพลังทางสติปัญญา น้ำใจดี ความสุภาพถ่อมตน และมีความหวังเสมอในองค์พระผู้เป็นเจ้า

 

วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2023 สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                            อพย 20:1-17

         พระเจ้าตรัสทุกถ้อยคำต่อไปนี้ว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน เป็นผู้นำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ ให้พ้นจากการเป็นทาส

        ท่านต้องไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา ท่านต้องไม่ทำรูปเคารพสำหรับตน ไม่ว่าจะเป็นรูปสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งอยู่ในท้องฟ้าเบื้องบน หรืออยู่ในแผ่นดินเบื้องล่าง หรืออยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน ท่านต้องไม่กราบไหว้หรือรับใช้เทพเจ้าเหล่านั้น เพราะเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน เป็นพระเจ้าที่ไม่ยอมให้มีคู่แข่ง เป็นพระเจ้าที่ลงโทษความผิดบิดาที่เกลียดชังเรา ไปถึงลูกหลานจนถึงสามสี่ชั่วอายุคน แต่เราแสดงความรักมั่นคงต่อผู้ที่รักเราและปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา จนถึงพันชั่วอายุคน ท่านต้องไม่กล่าวพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านอย่างไม่เหมาะสม เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงละเว้นโทษผู้ที่กล่าวพระนามพระองค์อย่างไม่เหมาะสม

        จงระลึกถึงวันสับบาโตเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะต้องออกแรงทำงานทั้งหมดในหกวัน แต่วันที่เจ็ดเป็นวันพักผ่อนที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน ในวันนั้น ท่านต้องไม่ทำงานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าน บุตรชาย บุตรหญิง บ่าวไพร่ชายหญิง สัตว์ใช้งานหรือคนต่างถิ่นที่อาศัยอยู่กับท่าน เพราะในหกวันองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างฟ้า แผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านี้ แต่ในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงพักผ่อน ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพระพรวันสับบาโต และทรงทำให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์

          จงนับถือบิดามารดา เพื่อท่านจะได้มีอายุยืนอยู่ในแผ่นดินที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านประทานให้

          อย่าฆ่าคน

          อย่าล่วงประเวณี

          อย่าลักขโมย

          อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน

          อย่าโลภมักได้บ้านเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภมักได้ภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือบ่าวไพร่ชายหญิง โค ลา หรือทรัพย์สินใดที่เป็นของเพื่อนบ้าน”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ 13:18-23

           เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า

         “ดังนั้น จงฟังความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านเถิด เมื่อคนหนึ่งฟังพระวาจาเรื่องพระอาณาจักรและไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไปเสีย นั่นได้แก่ เมล็ดที่ตกริมทาง เมล็ดที่ตกบนหินคือผู้ฟังพระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติเข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดที่หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”

 

 

ข้อคิด
อุปสรรค 3 ประการที่ทำให้คนไม่สามารถเจริญชีวิตพระวรสาร
1. อวิชชา ความไม่เข้าใจคำสอนในพระคัมภีร์ ดังนั้น การขยายอาณาจักรของพระเจ้าเข้าหมู่บ้านใด จำเป็นต้องมีครูคำสอนเพื่อถ่ายทอดความรู้ในพระคัมภีร์เป็นประการแรก แต่ที่จริงครูคำสอนที่ดำเนินชีวิตสนิทสัมพันธ์กับพระ จะมีพลังมากกว่าการถ่ายทอดความรู้แต่เพียงอย่างเดียว ชีวิตความเชื่อที่ปฏิบัติแล้วทุกๆ วัน ย่อมเป็นประจักษ์พยานที่มีพลังมาก
2. ชีวิตที่สะดวกสบาย เกียจคร้านและการไม่ยอมพึ่งตนเอง เป็นอุปสรรคสำคัญที่จะพัฒนาวุฒิภาวะของตนเองให้เป็นคนรับผิดชอบ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ยากที่จะเข้าใจหนทางกางเขน การละทิ้งน้ำใจของตนเองและคิดถึงความต้องการของผู้อื่นเป็นเรื่องสำคัญ
3. คนที่นิยมชมชอบเกียรติยศชื่อเสียง เงินทองและทรัพย์สมบัติฝ่ายโลก เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวและเอาสมบัติที่เป็นของส่วนรวมนำมาเป็นของตนเอง บุคคลชนิดนี้ไม่สามารถเข้าใจความรักที่ต้องมอบให้กับคนอื่นเพื่อมีความสุขร่วมกัน

 

วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม 2023 ระลึกถึง น.มาร์ธา มารีย์ และลาซารัส

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์น ฉบับที่หนึ่ง                                 1 ยน 4:7-16

        ท่านที่รักทั้งหลาย เราจงรักกัน เพราะความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่มีความรัก ย่อมเกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระองค์ ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักของพระเจ้าปรากฏให้เราเห็นดังนี้ คือ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรเพียงพระองค์เดียวมาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิตโดยทางพระบุตรนั้น ความรักอยู่ที่ว่าพระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของเรา มิใช่อยู่ที่เรารักพระเจ้า

          ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้ เราก็ควรจะรักกันด้วย ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า แต่ถ้าเรารักกัน พระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเรา และความรักของพระองค์ในเราก็จะสมบูรณ์ เรารู้ว่าเราดำรงอยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงดำรงอยู่ในเรา เพราะพระองค์ประทานพระพรของพระจิตเจ้าให้เรานั่นเอง เราเห็นและเราเป็นพยานได้ว่า พระบิดาทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นพระผู้ไถ่โลก ผู้ใดยอมรับว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเขา และเขาย่อมอยู่ในพระเจ้า เรารู้และเชื่อในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก ผู้ใดดำรงอยู่ในความรัก ย่อมดำรงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเขา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                            ยน 11:19-27

        เวลานั้น ชาวยิวจำนวนมากมาหามารธาและมารีย์เพื่อปลอบใจนางในการตายของพี่ชาย เมื่อมารธารู้ว่าพระเยซูเจ้ากำลังเสด็จมา นางก็ออกไปรับเสด็จ ส่วนมารีย์ยังคงนั่งอยู่ที่บ้าน มารธาทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย แต่บัดนี้ดิฉันรู้ดีว่าสิ่งใดที่พระองค์ทรงวอนขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะประทานให้” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “พี่ชายของท่านจะกลับคืนชีพ” มารธาทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าเขาจะกลับคืนชีพเมื่อมนุษย์ทุกคนจะกลับคืนชีพในวันสุดท้าย”

         พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้ว ก็จะมีชีวิต และทุกคนที่มีชีวิต และเชื่อในเรา จะไม่มีวันตายเลย ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ”

         มารธาทูลตอบว่า “เชื่อ พระเจ้าข้า ดิฉันเชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าที่จะต้องเสด็จมาในโลกนี้”

 

 


ข้อคิด
วิธีดำเนินชีวิตเป็นสมาชิกบุตรพระเจ้า
1. เชื่อศรัทธาในพระเป็นเจ้า และถือตามพระบัญญัติของพระองค์ ที่จริงความเชื่อเป็นนามธรรม แต่เรา
จำเป็นพอจะทราบถึงระดับความเชื่อของเรา ก็โดยอาศัยกิจศรัทธาที่พระศาสนจักรกำหนดไว้และสม่ำเสมอในภาคปฏิบัติทุกๆ วัน ที่ผู้มีความเชื่อทั้งหลายย่อมกระทำ

2. ความรักต่อพระเป็นเจ้าสุดจิตใจ ยกตัวอย่างถ้าเรารักคนใดคนหนึ่ง เราย่อมจะคิดถึงและทำทุกอย่างที่เขาต้องการ ความรักต่อพระเป็นเจ้ามักเริ่มต้นด้วยความสำนึกขอบพระคุณถึงชีวิตที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ ขอบคุณสำหรับพ่อแม่ผู้มีพระคุณและสิ่งสร้างทั้งมวลที่พระกำหนดไว้ให้เรา ขอบคุณสำหรับสติปัญญา พละกำลังฝ่ายกายและฝ่ายวิญญาณที่ทำให้เรามีพลังดูแลตนเองและผู้อื่น.... เรายังต้องขอพรสำหรับอนาคตที่ดีกว่าขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป
3. รู้จักรักผู้อื่นเหมือนพระทรงรักเรา ความรักสร้างความหวัง สร้างอนาคตและสร้างมิตรภาพให้ขยายออก ยิ่งมีอายุมากขึ้น ยิ่งมีลูกมีหลาน มีเพื่อนร่วมงาน ร่วมประเทศ และร่วมโลก เหมือนกับนกที่มีปีกแข็งแรงย่อมบินได้ไกลและทำหลายสิ่งหลายอย่างมากกว่านกที่ไม่บิน ความรัก ยิ่งรักคนอื่น ยิ่งทำให้เราเข้าใจว่า ทำไมพระเจ้าจึงทรงรักเราถึงเพียงนี้

 

วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม 2023 สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                            อพย 19:1-2,9-11,16-20ข

         วันแรกของเดือนที่สามหลังจากที่ชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ เขามาถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากเรฟีดิมมาถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย ตั้งค่ายอยู่ในถิ่นทุรกันดารด้านหน้าภูเขา

          องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “บัดนี้ เรากำลังจะมาหาท่านในเมฆหนาทึบ เพื่อประชากรจะได้ยินเราพูดกับท่าน และเชื่อท่านตลอดไป” โมเสสจึงทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่ประชากรได้พูดตอบ

          องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงไปบอกประชากร ให้ชำระตนให้บริสุทธิ์ในวันนี้และพรุ่งนี้ ให้ซักเสื้อผ้าให้สะอาด เตรียมให้พร้อมสำหรับวันมะรืนนี้ เพราะในวันนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาบนภูเขาซีนาย ให้ประชากรทั้งปวงได้เห็น”

          รุ่งเช้าวันที่สาม มีเสียงฟ้าร้องคำราม ฟ้าแลบแปลบปลาบ เมฆหนาทึบปกคลุมภูเขา เสียงเป่าเขาสัตว์ดังก้องไปทั่ว ประชากรในค่ายตัวสั่นด้วยความกลัว โมเสสนำประชากรออกมานอกค่ายเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า เขาทั้งหลายยืนอยู่ที่เชิงเขา ทั่วภูเขาซีนายมีควันปกคลุมเนื่องจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาบนภูเขานั้น ควันไฟพลุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาไฟใหญ่ ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงเป่าเขาสัตว์ดังยิ่งขึ้นทุกที โมเสสทูลพระเจ้า พระเจ้าก็ตรัสตอบเป็นเสียงฟ้าร้อง องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาบนยอดภูเขาซีนาย ทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดภูเขา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                               มธ 13:10-17

          เวลานั้น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมา” พระองค์ทรงตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผู้อื่น เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย ดังนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงแม้พวกเขามองดู ก็ไม่เห็น แม้ฟัง ก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ สำหรับคนเหล่านี้ คำทำนายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริงที่ว่า

           ท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ

                  จะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็น

           เพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้าง

                  เขาทำหูทวนลม และปิดตา

           เพื่อไม่ต้องมองด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหู

                   จะได้ไม่เข้าใจ

           จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา

         ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง”

 

 

ข้อคิด
พระพลานุภาพของพร:เป็นเจ้าและพระวาจาของพระองค์
1. บทอ่านแรก พระคัมภีร์ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพความยิ่งใหญ่สุดพรรณนาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อปรากฎต่อหน้าชาวอิสราเอล ในสมัยปัจจุบันโดยอาศัยกล้องโทรทัศน์ที่ส่งขึ้นไปบนอวกาศ ยิ่งทำให้เราเห็นความยิ่งใหญ่ผลงานของพระองค์ ปรากฎไกลออกไปเป็นล้านๆ ปีแสง เป็นผลงานที่สุดจะหาคำมาบรรยายได้... เมื่อเห็นผลงานเหล่านี้ มนุษย์จะต้องขอบพระคุณและเชื่อครัทธาพระองค์อย่างจริงจัง
2. พระวาจาที่บันทึกในพระคัมภีร์ มีพลังสำหรับผู้เชื่อศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นคำสอนที่ให้ความคิดใหม่ๆ ทุกครั้งที่อ่านประโยคเดิม เราจะพบการดลใจจากพระจิตเจ้าใหม่ๆ อยู่เสมอ การอ่านพระคัมภีร์ด้วยความตั้งใจ มีคุณค่ายิ่ง เป็นแสงสว่างนำชีวิตคริสตชนทุกคน

 

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown