มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม 2023 ระลึกถึง น.เบเนดิกต์ เจ้าอธิการ

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                        ปฐก 32:23-32

          คืนนั้น ยาโคบลุกขึ้น พาภรรยาทั้งสองคน ทาสหญิงทั้งสองคน บุตรทั้งสิบเอ็ดคนเดินข้ามลำธารยับบอกตรงที่ตื้น เขาส่งบุตรภรรยาข้ามลำธารและส่งทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปด้วย เหลือแต่ยาโคบตามลำพัง

         บุรุษผู้หนึ่งต่อสู้กับเขาจนรุ่งสาง เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นว่า จะเอาชนะยาโคบไม่ได้ ก็ทุบข้อต่อสะโพกของเขา สะโพกของยาโคบก็เคล็ดไปขณะที่เขาต่อสู้กันอยู่ บุรุษนั้นจึงว่า “ปล่อยฉันไปเถิด เพราะสว่างแล้ว” ยาโคบตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยอมปล่อยท่านไปจนกว่าท่านจะอวยพรข้าพเจ้า” บุรุษผู้นั้นจึงถามยาโคบว่า “ท่านชื่ออะไร” ยาโคบตอบว่า “ข้าพเจ้าชื่อยาโคบ” บุรุษผู้นั้นจึงว่า “ชื่อของท่านจะไม่ใช่ยาโคบอีก แต่ชื่ออิสราเอล เพราะท่านได้ต่อสู้กับพระเจ้าและกับมนุษย์ แล้วท่านก็ชนะ” ยาโคบจึงขอร้องว่า “โปรดบอกชื่อของท่านแก่ข้าพเจ้าด้วย” เขาตอบว่า “ท่านถามชื่อของฉันไปทำไม” แล้วก็อวยพรยาโคบที่นั่น

             ยาโคบจึงเรียกชื่อสถานที่นั้นว่าเปนูเอล พูดว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้าอย่างเต็มตาแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้” ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นเมื่อยาโคบผ่านเปนูเอล เดินกะโผลกกะเผลกเพราะสะโพกเคล็ด

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 9:32-37

           เวลานั้น เมื่อคนที่เคยตาบอดทั้งสองคนจากไปแล้ว มีผู้พาคนใบ้ถูกปีศาจสิงคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้า ครั้นปีศาจถูกขับออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ กล่าวว่า “ยังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้เลยในอิสราเอล” แต่ชาวฟาริสีกล่าวว่า “คนนี้ขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง”

             พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและตามหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด

           เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชน ก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง แล้วพระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด”

 

 

ข้อคิด
     การกล่าวหาพระเยซูเจ้าว่ากระทำอัศจรรย์นี้โดยอำนาจของปีศาจ ถือเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดและน่าตกใจอย่างมาก แม้ว่าการอัศจรรย์นี้จะก่อให้เกิดผลดีอย่างไรก็ตาม ทว่าหัวใจของผู้คนนั้นยังคงแข็งกระด้างและไม่เปิดรับต่อกิจการดีของพระองค์ หลายครั้งในชีวิตคนเราอาจต้องเจอกับสิ่งนี้เช่นกัน อาจมีคนสงสัยคลือบแคลงต่อสิ่งดีที่เราทำ อาจมีคนไม่เข้าใจและตัดสินเราตามความเห็นของเขา ก็ขอให้เรานั้นอย่าหมดกำลังใจในการทำดี เพราะความดีก็คือความดี ผลของความดีให้คำตอบในตัวของมันเอง ชื่งพระเยซูเจ้าเองก็ไม่ได้ท้อแท้สิ้นหวังในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า แม้จะต้องเจออุปสรรคมากเพียงใดก็ตาม

 

วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2023 สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                        ปฐก 28:10-22ก

         ในเวลานั้น ยาโคบออกจากเบเออร์เชบา เดินทางมุ่งหน้าไปฮาราน เขามาถึงที่แห่งหนึ่ง ก็หยุดพักแรมที่นั่น เพราะดวงอาทิตย์ตกแล้ว เขาเอาหินก้อนหนึ่งมาหนุนศีรษะ แล้วนอนที่นั่น เขาฝันเห็นบันไดอันหนึ่งทอดจากพื้นดินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า และทูตสวรรค์ของพระเจ้าเดินขึ้นลงบนบันไดนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนอยู่ข้างเขา ตรัสว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของอับราฮัมบิดาของท่าน พระเจ้าของอิสอัค แผ่นดินที่ท่านนอนอยู่นี้เราจะให้ท่านและลูกหลานของท่าน ลูกหลานของท่านจะมีจำนวนมากเหมือนฝุ่นผงบนแผ่นดิน ท่านจะแผ่ขยายออกไปทางทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ทิศเหนือ และทิศใต้ บรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นทั่วแผ่นดินจะได้รับพรเพราะท่านและเพราะลูกหลานของท่าน เราอยู่กับท่าน เราจะพิทักษ์รักษาท่านทุกแห่งที่ท่านไปและจะนำท่านกลับมายังแผ่นดินนี้ เราจะไม่ทอดทิ้งท่าน จนกว่าเราจะได้ทำตามที่เราสัญญาไว้กับท่าน” ยาโคบตื่นขึ้น แล้วพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่ที่นี่แน่ทีเดียว แต่ข้าพเจ้าไม่รู้” เขากลัวมาก พูดว่า “สถานที่แห่งนี้น่าเกรงขาม จะต้องเป็นที่ประทับของพระเจ้าและเป็นประตูสวรรค์แน่ทีเดียว” ยาโคบลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เอาก้อนหินที่ใช้หนุนศีรษะมาตั้งเป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ แล้วเทน้ำมันบนยอดเสานั้นเพื่อถวายแด่พระเจ้า เขาเรียกสถานที่นั้นว่าเบธเอล ก่อนหน้านี้เมืองนั้นชื่อลูซ

         แล้วยาโคบกล่าวปฏิญาณว่า “ถ้าพระเจ้าทรงอยู่กับข้าพเจ้า และทรงพิทักษ์รักษาข้าพเจ้าในการเดินทางครั้งนี้ ประทานอาหารให้กิน และเสื้อผ้าให้สวมใส่ จนข้าพเจ้ากลับถึงบ้านของบิดาอย่างปลอดภัย องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า หินก้อนนี้ซึ่งข้าพเจ้าตั้งเป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นที่ประทับของพระเจ้า”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                  มธ 9:18-26

         เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสอยู่นั้น หัวหน้าคนหนึ่งเข้ามากราบพระบาท ทูลว่า “บุตรหญิงของข้าพเจ้าเพิ่งสิ้นใจ เชิญพระองค์เสด็จไปปกพระหัตถ์เหนือเขาเถิด เขาจะได้มีชีวิต” พระเยซูเจ้าทรงลุกขึ้นเสด็จตามเขาไปพร้อมกับบรรดาศิษย์

          ขณะนั้น หญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว เข้ามาข้างหลังสัมผัสฉลองพระองค์ นางคิดว่า “ถ้าฉันเพียงสัมผัสฉลองพระองค์เท่านั้น ฉันก็จะหายจากโรค” พระเยซูเจ้าทรงหันมาเห็นเข้า จึงตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ทำใจดีๆ ไว้ ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” หญิงนั้นก็หายจากโรคนับแต่เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงบ้านของหัวหน้าคนนั้น ทรงเห็นคนเป่าขลุ่ย และผู้คนกำลังชุลมุนวุ่นวาย จึงตรัสว่า “ออกไปเถิด เด็กหญิงคนนี้ยังไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้น” พวกนั้นต่างหัวเราะเยาะพระองค์ เมื่อคนกลุ่มนั้นถูกไล่ออกไปข้างนอกแล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไป ทรงจับมือเด็กหญิง เด็กนั้นก็ลุกขึ้น ข่าวเรื่องนี้จึงแพร่ออกไปทั่วแคว้นนั้น

 

 

ข้อคิด
      ความเชื่อนำไปสู่การอัศจรรย์อันน่าทึ่ง ซึ่งพระเยซูเจ้าเองก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ในหลายๆ เหตุการณ์ด้วยกัน วันนี้หญิงที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้จ็บมาอย่างยาวนานเชื่อและมั่นใจว่า การสัมผัสพระเยซูเจ้าจะทำให้เธอนั้นหายจากโรค และความเชื่ออันแรงกล้านี้เองทำให้เธอหายจากโรคจริงๆ บางทีเราแต่ละคนอาจกำลังเผชิญโรคเรื้อรังทางจิตวิญญาณไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บาปที่เราทำอยู่เป็นประจำ นิสัยที่ไม่ดีต่างเราจึงจำเป็นที่จะต้องแสวงหาพระเยซูเจ้าอยู่เสมอ เพื่อที่เราจะได้สัมผัสพระองค์ด้วยความเชื่อและให้พระองค์นั้นได้เยียวยารักษาเรา

 

วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม 2023 สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                        ปฐก 27:1-5,15-20

            เมื่ออิสอัคชรามาก และตามืดมัวจนมองไม่เห็น เขาเรียกเอซาวบุตรคนโตเข้ามาแล้วพูดว่า “ลูกเอ๋ย” เอซาวถามว่า “อะไรครับพ่อ” อิสอัคจึงว่า “ดูซิ พ่อแก่แล้ว ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร จงเอาอาวุธของลูก คือ แล่งลูกศรและคันธนูออกไปในท้องทุ่ง ล่าสัตว์มาให้พ่อ และทำอาหารอร่อยๆ ให้พ่อกิน พ่อจะได้อวยพรลูกก่อนที่พ่อจะตาย”

           นางเรเบคาห์ได้ยินอิสอัคพูดกับเอซาวบุตรของตน เมื่อเอซาวออกไปล่าสัตว์ในท้องทุ่งให้บิดา แล้วนางเรเบคาห์ก็เอาเสื้อตัวดีที่สุดของเอซาวบุตรคนโต เป็นเสื้อที่นางเก็บไว้ในบ้านมาให้ยาโคบบุตรคนเล็กสวม เอาหนังแพะมาคลุมแขนและคอส่วนที่เกลี้ยงของเขา แล้วจึงส่งอาหารอร่อยกับขนมปังซึ่งนางจัดทำนั้นให้ยาโคบบุตรชายของนาง

          เขาจึงเข้าไปหาบิดา พูดว่า “พ่อครับ” อิสอัคพูดว่า “พ่ออยู่นี่ เจ้าเป็นลูกคนไหนของพ่อ” ยาโคบตอบบิดาว่า “ลูกคือเอซาว บุตรคนโตของพ่อ ลูกทำตามที่พ่อสั่งลูกแล้ว เชิญลุกขึ้นนั่ง กินเนื้อที่ลูกล่ามาได้เถิด เพื่อพ่อจะได้อวยพรลูก” อิสอัคถามบุตรของตนว่า “ลูกเอ๋ย ทำอย่างไรลูกจึงล่าสัตว์มาได้เร็วเช่นนี้” เขาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของพ่อทรงบันดาลให้ลูกล่ามันได้” แล้วอิสอัคพูดกับยาโคบว่า “ลูกเอ๋ย เข้ามาใกล้ๆ พ่อเถิด พ่อจะได้คลำดู เพื่อจะได้รู้ว่า ลูกคือเอซาวลูกของพ่อจริงหรือไม่” ยาโคบก็เข้าไปใกล้อิสอัคผู้บิดา อิสอัคคลำตัวเขา พูดว่า “เสียงเป็นเสียงของยาโคบ แต่แขนเป็นแขนของเอซาว” อิสอัคจำยาโคบไม่ได้เพราะแขนของเขามีขนดกเหมือนกับแขนของเอซาวพี่ชาย อิสอัคจึงอวยพรเขา แต่ถามว่า “ลูกคือเอซาว ลูกของพ่อจริงหรือ” เขาตอบว่า “ใช่ครับ” อิสอัคจึงพูดว่า “จงนำเนื้อที่ลูกล่าได้มาให้พ่อกิน แล้วพ่อจะอวยพรลูก” ยาโคบจึงนำอาหารมาให้ อิสอัคก็กิน ยาโคบรินเหล้าองุ่นให้ อิสอัคก็ดื่ม แล้วอิสอัคผู้บิดาพูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ย จงเข้ามาใกล้และจูบพ่อเถิด” เขาจึงเข้าไปใกล้และจูบบิดา พออิสอัคได้กลิ่นเสื้อผ้าของเขา ก็อวยพรเขาว่า

          “ดูซิ กลิ่นลูกชายของข้า เป็นเหมือนกลิ่นทุ่งนา ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพร ขอพระเจ้าประทานน้ำค้างจากฟ้า และความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน ทั้งข้าวสาลีและเหล้าองุ่นใหม่แก่ลูกอย่างมาก ขอให้ชนชาติทั้งหลายรับใช้ลูก ขอให้ประชาชาติทั้งหลายกราบไหว้ลูก ขอให้ลูกเป็นนายเหนือพี่น้อง ขอให้บุตรของมารดาของลูก กราบไหว้ลูก ผู้ใดสาปแช่งลูกให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งด้วย     ผู้ใดอวยพรลูกให้ผู้นั้นได้รับพรด้วย”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                         มธ 9:14-17

         วันหนึ่งบรรดาศิษย์ของยอห์นเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมพวกเราและพวกฟาริสีจำศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำศีลเลย” พระองค์ทรงตอบว่า “ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจะโศกเศร้าหรือ ขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขา แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกแยกไป วันนั้นเขาจะจำศีลอดอาหาร ไม่มีใครนำผ้าใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่นำมาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัว ทำให้รอยขาดมากกว่าเดิม ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะถุงหนังจะขาด เหล้าองุ่นจะรั่ว และถุงหนังจะเสียหายไปด้วย แต่เขาย่อมใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังใหม่ และทั้งสองอย่างจะไม่เสียหาย”

 

 

ข้อคิด
     ทุกสิ่งทุกอย่างมีเวลาของมัน คำกล่าวนี้ยังเป็นจริงเสมอในประสบการณ์ชีวิตของพวกเราพระวรสาววันนี้เชื้อเชิญให้เราพิจารณาถึงความหมาะสมตามห้วงเวลาต่างๆ ของชีวิต ซึ่งเรื่องของการทำตามกฎเกณฑ์ ระเบียบ แบบแผน ประเพณีนั้น ถือเป็นสิ่งที่ดี แต่การคำนึงถึงความเหมาะสมต่อสถานการณ์สำคัญด้วย เราจำเป็นที่จะต้องอ่านเครื่องหมายของกาลเวลาอยู่เสมอ และใช้ชีวิต ณ ห้วงเวลานั้นอย่างหมาะสมและดีที่สุด การที่บรรดาศิษย์ได้ใช้เวลาชื่นชมยินดีและมีความสุขกับพระเยซูเจ้า ณ ห้วงเวลานั้น คงมีคุณค่าและความหมายมากกว่าวิถีปฏิบัติที่สามารถทำได้ในโอกาสอื่นๆ ถัดไป

 

วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม 2023 สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเศคาริยาห์                                             ศคย 9:9-10

        พระเจ้าตรัสว่า “ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร่าเริงอย่างยิ่ง

                 ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงโห่ร้องด้วยความยินดีเถิด

        ดูซิ กษัตริย์ของท่านกำลังเสด็จมาหาท่าน

                  พระองค์ทรงเที่ยงธรรมและทรงชัยชนะ

        ทรงถ่อมพระองค์และประทับบนหลังลา

                  บนหลังลาตัวน้อย ลูกแม่ลา

        พระองค์จะทรงกำจัดรถศึกจากเอฟราอิม

                   จะทรงกำจัดม้าศึกออกจากกรุงเยรูซาเล็ม

        คันธนูสำหรับสงครามจะถูกกำจัดไปด้วย

                   พระองค์จะทรงประกาศสันติแก่นานาชาติ

        การปกครองของพระองค์แผ่จากทะเลนี้ไปถึงทะเลโน้น

                    และจากแม่น้ำยูเฟรติสไปถึงสุดปลายแผ่นดิน

 

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม                       รม 8:9,11-13

       พี่น้อง ส่วนท่านทั้งหลาย ท่านไม่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ แต่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า เพราะพระจิตของพระเจ้าสถิตในตัวท่าน ถ้าผู้ใดไม่มีพระจิตของพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ และถ้าพระจิตของพระผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายนั้นสถิตในท่าน พระผู้ทรงบันดาลให้พระคริสตเยซูทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ก็จะทรงบันดาลให้ร่างกายที่ตายได้ของท่านกลับมีชีวิต เดชะพระจิตของพระองค์ ซึ่งสถิตในท่านด้วย

         ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราไม่มีภารกิจใดๆ ที่จะต้องดำเนินชีวิตตามธรรมชาติฝ่ายต่ำ ถ้าท่านดำเนินชีวิตตามธรรมชาติฝ่ายต่ำ ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านกำจัดกิจการตามธรรมชาติฝ่ายต่ำ ด้วยเดชะพระจิตเจ้า ท่านก็จะมีชีวิต

 

บทอ่านจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว                       มธ 11:25-30

           เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ที่ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้

           ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน จงรับแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพ อ่อนโยน และถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รับการพักผ่อน เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา”

 

 

ข้อคิด
     ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าตรัสถึงความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระบิดา และความปรารถนาอย่างลึกซึ้งที่จะโอบกอดเราแต่ละคนในความอ่อนแอและความเหน็ดเหนื่อยของเรา จากเรื่องราวนี้เอง ทำให้เราได้รู้ว่า ความเหน็ดเหนื่อยเป็นประตูสู่พระมตตาอันอ่อนโยนของพระเยซูเจ้า พระองค์เชื้อเชิญให้เราเรียนรู้จากชีวิตของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงมีจิตใจอ่อนโยนและถ่อมตน พระองค์เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเมตตา พระองค์ห่วงใยและใส่ใจพวกเราเสมอ ดังนั้น ให้เราภาวนาวอนขอพระเยซูเจ้าได้ทรงโปรดทำให้เราแต่ละคนเป็นเหมือนกับพระหฤทัยของพระองค์ เพื่อที่เราจะได้แบ่งเบาภาระของกันและเกื้อกูลกัน

 

วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2023 สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                        ปฐก 23:1-4,19 และ 24:1-8,62-67

           นางซาราห์มีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดปี นางถึงแก่กรรมที่เมืองคีริยาทอารบา คือเฮโบรน ในแผ่นดินคานาอัน อับราฮัมไว้ทุกข์ให้นางซาราห์และร่ำไห้คิดถึงนาง

          อับราฮัมลุกขึ้นจากศพนางไปพูดกับชาวฮิตไทต์ว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนต่างถิ่นมาอาศัยอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลาย โปรดขายที่ดินให้ข้าพเจ้าทำที่ฝังศพที่นี่เถิด ข้าพเจ้าจะได้ฝังผู้ตายของข้าพเจ้า”

          แล้วอับราฮัมฝังศพนางซาราห์ภรรยาของตนในถ้ำซึ่งอยู่ในนาที่มัคเปลาห์ ตรงข้ามมัมเร คือเฮโบรน ในแผ่นดินคานาอัน

         ขณะนั้น อับราฮัมชรามากแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมทุกด้าน อับราฮัมบอกผู้รับใช้อาวุโสที่สุดในบ้าน ผู้ดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาว่า “จงวางมือที่โคนขาของฉันเถิด ฉันจะให้ท่านสาบานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าแห่งสวรรค์และแผ่นดินว่า แม้ฉันจะอาศัยในหมู่ชาวคานาอัน ท่านก็อย่าเลือกลูกสาวของเขาเป็นภรรยาลูกชายของฉัน ท่านจงไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของฉัน ไปพบญาติของฉัน เพื่อเลือกภรรยาให้อิสอัคลูกชายของฉัน” ผู้รับใช้จึงถามว่า “ถ้าหญิงคนนั้นไม่ยอมตามข้าพเจ้ามายังแผ่นดินนี้ ข้าพเจ้าจะต้องพาบุตรชายของท่านกลับไปยังแผ่นดินที่ท่านจากมาหรือไม่” อับราฮัม ตอบว่า “ท่านอย่านำลูกชายของฉันกลับไปที่นั่นเป็นอันขาด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าแห่งสวรรค์และแผ่นดิน ทรงนำฉันออกจากบ้านของบิดาและจากแผ่นดินของญาติพี่น้องของฉัน ทรงสัญญากับฉันโดยทรงปฏิญาณไว้ว่า ‘จะประทานแผ่นดินนี้ให้แก่ลูกหลานของฉัน’ พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์นำหน้าท่านไป เพื่อท่านจะหาภรรยาจากที่นั่นให้ลูกชายของฉันได้ แต่ถ้าหญิงคนนั้นไม่ยอมตามท่านมา ท่านก็พ้นจากคำสาบานที่ให้ไว้กับฉัน แต่ท่านอย่าพาลูกชายของฉันกลับไปที่นั่นเป็นอันขาด”

         ขณะนั้น อิสอัคกลับจากบ่อน้ำลาไคโรอี เขาอาศัยอยู่ในดินแดนเนเกบ เย็นวันหนึ่ง อิสอัคออกไปเดินเล่นในทุ่งนา เขาเงยหน้าขึ้นเห็นอูฐหลายตัวกำลังเดินตรงมา เรเบคาห์เงยหน้าขึ้นเห็นอิสอัค จึงลงจากหลังอูฐ และถามผู้รับใช้ว่า “ชายที่กำลังเดินอยู่ในทุ่งนาตรงมาหาเราเป็นใครคะ” ผู้รับใช้ตอบว่า “เขาคือนายของข้าพเจ้า” เธอจึงเอาผ้าคลุมหน้าไว้ ผู้รับใช้เล่าให้อิสอัครู้ทุกสิ่งที่เขาได้ทำ อิสอัคจึงพาเรเบคาห์เข้าไปในกระโจมที่เคยเป็นของนางซาราห์มารดาของตน เขาแต่งงานกับเรเบคาห์ และรักนางมาก อิสอัคจึงได้รับการปลอบใจหลังจากมารดาเสียชีวิต

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                        มธ 9:9-13

         เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินไปจากที่นั่น ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว กำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป

     ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของมัทธิว คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เมื่อเห็นดังนี้ ชาวฟาริสีจึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงกินอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า” พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้น จึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ จงไปเรียนรู้ความหมายของพระวาจาที่ว่า ‘เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา’ เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป”

 

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าทรงใช้ชีวิตร่วมกันกับทุกคน ซึ่งรวมถึงคนเก็บภาษีและคนบาปด้วย พระองค์ต้อนรับทุกคนให้เข้ามาในชีวิตของพระองค์ แม้ว่าพวกเขาจะมีอาชีพและสถานะทางสังคมที่ไม่น่านับถือ แต่พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่า พระองค์เสด็จมาในโลกนี้เพื่อทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากจน คนป่วย และคนบาป พระเยซูเจ้าทรงเข้าใจและเห็นอกเห็นใจคนเหล่านี้เป็นพิเศษในพันธกิจของพระองค์ เราจึงควรถามตัวเองเสมอๆ ว่า เรามีอคติต่อบุคคลหรือกลุ่มใดๆ หรือไม่ และเราได้เปิดหัวใจต้อนรับผู้คนต่างๆ มากน้อยเพียงใดในชีวิตเรา โดยเฉพาะคนที่ด้อยโอกาสกว่าเราและคนที่ไม่น่ารักในสังคม

 

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown