มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2020 น.ลอเรนซ์ แห่งบรินดิซี พระสงฆ์และนักปราชญ์

บทอ่านจากหนังสือประกาศกมีคาห์                                มคา 7:14-15,18-20
      โปรดทรงใช้ไม้ขอของผู้เลี้ยงแกะเลี้ยงดูประชากร คือฝูงแพะแกะที่เป็นมรดกของพระองค์ ซึ่งอาศัยโดดเดี่ยวอยู่ในป่า ที่มีแผ่นดินอุดมสมบูรณ์อยู่โดยรอบ โปรดทรงให้เขาหากินอยู่ในแคว้นบาชานและกิเลอาด เหมือนในสมัยก่อน โปรดทรงแสดงปาฏิหาริย์แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย เหมือนในสมัยที่ทรงนำข้าพเจ้าทั้งหลายออกมาจากแผ่นดินอียิปต์
      เทพเจ้าใดเล่าเป็นเหมือนพระองค์ ผู้ทรงให้อภัยความผิด และทรงมองข้ามการล่วงละเมิด แก่ผู้ที่เหลืออยู่เป็นมรดกของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงเก็บพระพิโรธไว้ตลอดไป แต่พอพระทัยแสดงความรักมั่นคง ขอพระองค์ทรงพระเมตตาต่อข้าพเจ้าทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง โปรดทรงเหยียบย่ำความผิดของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์จะทรงเหวี่ยงบาปของข้าพเจ้าทั้งหลายลงไปในทะเลลึก พระองค์จะทรงแสดงความซื่อสัตย์แก่ยาโคบ ทรงแสดงความรักมั่นคงแก่อับราฮัม ดังที่เคยทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่นานมาแล้ว

 

สดด 85:1-3,4-5,6-7

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 12:46-50
     ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสกับประชาชน พระมารดาและพระประยูรญาติของพระองค์ มายืนอยู่ข้างนอก ต้องการพูดกับพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามผู้ที่มาทูลนั้นว่า “ใครเป็นมารดา ใครเป็นพี่น้องของเรา” แล้วทรงยื่นพระหัตถ์ชี้บรรดาศิษย์ ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา”

 

ข้อคิด
      พระเยซูเจ้าทรงให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าเป็นเอก ส่วนการเป็นญาติทางสายโลหิตเป็นอันดับรอง พระองค์ทรงให้บทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากเรามีเวลาไตร่ตรองให้ลึกซึ้งเราจะพบว่าชีวิตของเราทุกคน ทุกฐานะ มิได้เป็นอะไรอื่น นอกจากแสวงหาพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าและปฏิบัติตามพระประสงค์นั้น เราไม่ได้อยู่บนโลกนี้เพียงเพื่อสร้างโลกใหม่ให้น่าอยู่มิได้มีชีวิตอยู่ในแต่ละวันเพื่อค้นพบสิ่งใหม่ๆ สำหรับมนุษชาติการมีทรัพย์สินเงินทองมากๆ มีสุขภาพดี มีชีวิตยืนยาว ล้วนเป็นสิ่งที่ดี แต่มิใช่เป้าหมายสุดท้ายของการมีชีวิตบนโลกนี้ เพราะทุกสิ่งเหล่านี้จะผ่านพ้นไปสักวันเป้าหมายสุดท้ายของชีวิตเรามีเพียงอย่างเดียวคือ ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระประสงค์ของพระองค์นั้นมีอย่างเดียวคือความรอดพ้นสู่ความสุขนิรันตรกับพระองค์ในโลกหน้าดังนั้น เราจึงต้องแสวงหา และถามพระองค์อยู่เสมอๆ ด้วยทำทีที่เงียบสงบในใจและปฏิบัติตามการดลใจเหล่านั้นด้วยความสุภาพออนน้อมถ่อมตนเสมอ

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2020 ฉลองนักบุญมารีย์ ชาวมักดาลา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง      2 คร 5:14-17
     พี่น้อง เพราะความรักของพระคริสตเจ้าผลักดันเรา เราแน่ใจว่า ถ้าคนหนึ่งตายเพื่อทุกคน ก็เหมือนกับว่าทุกคนได้ตายด้วย พระองค์สิ้นพระชนม์แทนทุกคน เพื่อผู้ที่มีชีวิตจะได้ไม่มีชีวิตเพื่อตนเองอีกต่อไป แต่มีชีวิตเพื่อพระองค์ผู้ได้สิ้นพระชนม์ และทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อเขา
     ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามมาตรฐานมนุษย์อีก แม้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยพิจารณาพระคริสตเจ้าตามมาตรฐานมนุษย์ แต่บัดนี้เราไม่พิจารณาพระองค์ตามมาตรฐานนี้อีกต่อไป ดังนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่ สภาพเก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว

 

สดด 63:1-2,3-5,6-9

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                         ยน 20:1,11-18
     เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้วมารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมองในพระคูหา ก็เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท ทูตสวรรค์ทั้งสององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” นางตอบว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำพระองค์ไปไว้ที่ใด” เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำไม กำลังแสวงหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำพระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่าท่านนำพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้ไปนำพระองค์กลับมา” พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไป ทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์ พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” มารีย์ ชาวมักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง


ข้อคิด
      ความรักของพระคริสตเจ้าผลักดันเรา...ผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้าผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่สภาพเก่าผ่านพ้นไป....นักบุญมารีย์ ชาวมักดาลา เป็นสตรีที่พระวรสารบันทึกไว้ว่าเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ติดตามรับใช้พระเยซูเจ้าและอัครสาวกในช่วงชีวิตเปิดเผยของพระองค์ และท่านก็ติดตามพระเยซูเจ้าจนถึงเนินกัลวารีโอ (ลก 8:1-3) ท่านเป็นประจักษ์พยานแรกของการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า...ด้วยรูปแบบของพระศาสนจักรที่เป็นเจ้าสาวและวิญญาณที่แสวงหาพระคริสตเจ้าด้วยน้ำตาแห่งความรักในความมืดมิดและไม่เข้าใจในสถานการณ์... ผู้แสวงหาก็จะได้พบ

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2020 น.ชาร์เบล มาคลุฟ พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                               ยรม 3:14-17
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ลูกหลานที่ไม่ซื่อสัตย์เอ๋ย จงกลับมาเถิด เพราะเราเป็นเจ้านายของท่าน เราจะนำท่านกลับมายังศิโยน จะนำคนหนึ่งจากแต่ละเมือง และสองคนจากแต่ละครอบครัว เราจะให้ผู้เลี้ยงที่ทำตามใจเราแก่ท่าน เขาจะเลี้ยงดูท่านด้วยความรู้และความเข้าใจ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เมื่อท่านทั้งหลายจะทวีจำนวนในแผ่นดิน เวลานั้น เขาทั้งหลายจะไม่พูดถึง ‘หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ อีกต่อไป จะไม่มีใครคิดถึง ไม่มีใครจดจำ ไม่มีใครรู้สึกเสียดาย ไม่มีใครทำขึ้นใหม่เลย เวลานั้นเขาจะเรียกกรุงเยรูซาเล็มว่าเป็นพระบัลลังก์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า นานาชาติจะรวมกันเข้ามาที่นั่น ที่กรุงเยรูซาเล็ม เดชะพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะไม่ปฏิบัติตามใจชั่วและดื้อกระด้างอีกต่อไป”

 

ยรม 31:10.11-12กข,13

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                  มธ 13:18-23
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า“จงฟังความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านเถิด เมื่อคนหนึ่งฟังพระวาจาเรื่องพระอาณาจักรและไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไปเสีย นั่นได้แก่ เมล็ดที่ตกริมทาง เมล็ดที่ตกบนหินคือผู้ฟังพระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติเข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดที่หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”

 

ข้อคิด
     "จงกลับมาเถิด" คำนี้เป็นคำเชื้อเชิญให้เปลี่ยนวิถีชีวิต...น้อมรับพระเจ้าและยินยอมให้พระองค์ทรงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด...ทำตามพระประสงค์ของพระองค์มิใช่เดินตามแผนการของตนเองอีกตัวบทพระวรสารวันนี้เป็น "คำอธิบายอุปมาเรื่องผู้หว่าน" ...การเข้าใจพระวาจาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะผลจะเกิดหรือไม่ เกิดมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจเป็นสำคัญ ดังนั้น เมื่อเราฟังพระวาจาทุกครั้ง เราจึงถามตัวเราเองว่า "พระวาจาตอนนี้หมายความว่าอะไร"ประสบการณ์สอนเราว่า การฟังพระวาจาให้เข้าใจทุกบททุกตอนนั้นมิใช่เรื่องง่ายจึงจำเป็นต้องศึกษาด้วยการอ่าน ไต่ถามผู้รู้ สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันแล้วเราจะเข้าใจพระวาจานั้นที่ละเล็กละน้อยที่สำคัญ ก่อนอ่านพระวาจา เราต้องสวดขอความสว่างจากองค์พระจิตเจ้า ช่วยเราให้เข้าใจสิ่งที่อ่าน เพราะพระองค์ตรัสว่า "จงขอแล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหา แล้วท่านจะพบ"

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2020 ระลึกถึง น.บรียิต นักพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                             ยรม 2:1-3,7-8,12-13

     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า จงไปประกาศให้ชาวกรุงเยรูซาเล็มได้ยินว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เรายังระลึกถึงความจงรักภักดีในวัยสาวของท่าน ระลึกถึงความรักเมื่อท่านยังเป็นคู่หมั้น เมื่อท่านติดตามเราในถิ่นทุรกันดาร ในแผ่นดินที่ไม่มีผู้ใดหว่านพืช อิสราเอลถูกแยกไว้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นผลิตผลแรกที่ทรงเก็บเกี่ยว ทุกคนที่กินผลแรกนี้ย่อมมีความผิด เหตุร้ายจะมาถึงเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส”
     เราได้นำท่านทั้งหลายเข้ามาในแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ เพื่อจะได้กินผลผลิตและสิ่งดีๆ แต่เมื่อท่านเข้ามา ท่านทำให้แผ่นดินของเราเป็นมลทิน และทำให้มรดกของเราเป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียน บรรดาสมณะไม่เคยถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน” ผู้เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติไม่รู้จักเรา บรรดาผู้ปกครองก็เป็นกบฏต่อเรา บรรดาประกาศกประกาศวาจาในนามของพระบาอัล และดำเนินตามสิ่งที่ไร้ประโยชน์
     สวรรค์เอ๋ย จงตกตะลึงเพราะเหตุการณ์เช่นนี้ จงสยดสยองและจงตกใจอย่างที่สุดเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส ประชากรของเราได้ทำความชั่วสองประการ เขาได้ละทิ้งเราซึ่งเป็นพุน้ำไหล แล้วไปสกัดหินเป็นที่ขังน้ำสำหรับตน เป็นที่ขังน้ำรั่วซึ่งเก็บน้ำไว้ไม่ได้

 

สดด 36:5-6,7-8,9-10

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                              มธ 13:10-17
      เวลานั้น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมา” พระองค์ทรงตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผู้อื่น เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย ดังนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงแม้พวกเขามองดู ก็ไม่เห็น แม้ฟัง ก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ สำหรับคนเหล่านี้ คำทำนายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริงที่ว่าท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจจะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็นเพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้างเขาทำหูทวนลม และปิดตาเพื่อไม่ต้องมองด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหูจะได้ไม่เข้าใจ
จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา“ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง”

 

ข้อคิด
      เมื่อชาวอิสราเอลเข้าครอบครองและอาศัยในแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ดำเนินชีวิตมีความสุขสบายแล้วกลับลืมพระเจ้าแท้แต่ผู้เดียว หันเหไปนมัสการพระเท็จเทียม ลืมว่าพระองค์เท่านั้นทรงเป็นผู้นำแท้จริงของพวกเขา เขาทำผิดร้ายแรงสองประการ คือหนึ่ง "เขาได้ละทิ้งเราซึ่งเป็นพุน้ำไหล" (สมณะและผู้เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติไม่รู้จักพระองค์ ผู้ปกครองเป็นกบฏ) และสอง "แล้วไปสกัดหินเป็นน้ำที่ขังสำหรับตน เป็นที่ขังน้ำรั่วเก็บน้ำไว้ไม่ได้" (ประกาศกประกาศพระบาอัลดำเนินตามสิ่งที่ไร้ประโยชน์) พระเจ้าทรงส่งประกาศกเยเรมีห์มาประกาศเตือนถึงเหตุการณ์สยดสยองและน่าตกใจอย่างที่สุดที่จะเกิดขึ้น

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม 2020 ฉลองนักบุญยากอบ อัครสาวก

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกชาวโครินธ์ ฉบับที่     สอง 2 คร 4:7-15
     พี่น้อง เรามีสมบัตินี้เก็บไว้ในภาชนะดินเผา เพื่อแสดงว่าอานุภาพล้ำเลิศนั้นมาจากพระเจ้า มิใช่มาจากตัวเรา เราทนทุกข์ทรมานรอบด้าน แต่ไม่อับจน เราจนปัญญา แต่ก็ไม่หมดหวัง เราถูกเบียดเบียน แต่ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีล้มลง แต่ไม่ถึงตาย เราแบกความตายของพระเยซูเจ้าไว้ในร่างกายของเราอยู่เสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูเจ้าจะปรากฏอยู่ในร่างกายของเราด้วย ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เราเสี่ยงกับความตายอยู่เสมอเพราะความรักต่อพระเยซูเจ้า เพื่อให้ชีวิตของพระเยซูเจ้าปรากฏชัดในธรรมชาติที่ตายได้ของเรา ดังนั้น ความตายกำลังทำงานอยู่ในเรา แต่ชีวิตกำลังทำงานอยู่ในท่าน
     มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ข้าพเจ้าได้เชื่อ จึงได้พูด เรามีจิตแห่งความเชื่อเดียวกันนี้ เราเชื่อ เราจึงพูด เพราะรู้ว่าพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ จะทรงบันดาลให้เรากลับคืนชีพพร้อมกับพระเยซูเจ้า และจะทรงนำเราและท่านทั้งหลายไปอยู่กับพระองค์ด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นสำหรับท่าน เพื่อว่าเมื่อพระหรรษทานแผ่ไปถึงคนมากขึ้น การขอบพระคุณจะทวียิ่งขึ้น เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

 

สดด 126:1-2,3-4,5-6

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 20:20-28
     เวลานั้น มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้าพร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางทูลว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บุตรทั้งสองคนของข้าพเจ้า นั่งข้างขวาคนหนึ่ง นั่งข้างซ้ายคนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่” เขาทั้งสองคนทูลตอบว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดื่มถ้วยของเรา แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้”
เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมาพบ ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าในหมู่คนต่างชาติ ผู้ปกครองย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้ใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ เหมือนกับที่บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย”

 

ข้อคิด

     วันนี้เป็นวันฉลองนักบุญยากอบอัครสาวก ท่านเป็นพี่ชายของยอห์นผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกเป็นอัครสาวกของพระองค์เช่นเดียวกัน ท่านมาจากหมู่บ้านเบธไซดา เช่นเดียวกับเปโตรและอันดรูว์ มีอาชีพเป็นชาวประมงเหมือนกัน เป็นหนึ่งในศิษย์สี่คนแรกที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกและเลือกมาร่วมงานกับพระองค์คือ เปโตร อันดรูว์ ยากอบ และยอห์น อยู่ใกล้ชิดพระองค์ในเหตุการณ์สำคัญๆ และเป็นประจักษ์พยานถึงเหตุการณ์ต่างๆ พร้อมกับพระองค์ ท่านถูกเฮโรดอากริปปาประหารชีวิตในปี ค.ศ. 44 ท่านจึงเป็นอัครสาวกองค์แรกที่หลั่งเลือดเป็นมรณสักขีส่วนยอห์นแม้ได้เป็นมรณสักขีด้วยการหลั่งโลหิต แต่ชีวิตของท่านก็ทุกข์ทรมานมากมายเพราะพระวาจาของพระเจ้า

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown