มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม 2020 ระลึกถึง น.เบเนดิ๊กต์ เจ้าอธิการ

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                                อสย 6:1-8
     ในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สิ้นพระชนม์ ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่บนพระบัลลังก์สูงและตั้งอยู่บนที่สูง ชายฉลองพระองค์แผ่เต็มพระวิหาร เสราฟหลายตนยืนอยู่เหนือพระองค์โดยรอบ แต่ละตนมีปีกหกปีก ใช้สองปีกบังหน้า สองปีกคลุมเท้า และสองปีกใช้บิน เสราฟแต่ละตนต่างร้องรับกันว่า
“ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล
แผ่นดินทั้งหมดเต็มไปด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์”
     เสาประตูทั้งหลายสั่นสะเทือนเพราะเสียงของผู้ร้อง และพระวิหารก็มีควันเต็มไปหมด ข้าพเจ้าพูดว่า “วิบัติจงเกิดแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากมีมลทิน อาศัยอยู่ในหมู่ชนชาติริมฝีปากมีมลทิน ถึงกระนั้น นัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นกษัตริย์ คือองค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล”
แล้วเสราฟตนหนึ่งบินมาหาข้าพเจ้า ถือคีมคีบถ่านที่ลุกอยู่มาจากพระแท่นบูชา เสราฟตนนั้นสัมผัสปากข้าพเจ้า พูดว่า “ดูซิ สิ่งนี้สัมผัสริมฝีปากของท่านแล้ว ความผิดของท่านก็ถูกลบล้างแล้ว บาปของท่านก็ได้รับการอภัยแล้ว”
แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะส่งใคร ใครจะไปแทนเรา”
ข้าพเจ้าทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ โปรดส่งข้าพเจ้าไปเถิด”

 

สดด 93:1-2ข,2ค-3,5

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                    มธ 10:24-33
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ และผู้รับใช้ย่อมไม่อยู่เหนือนาย ถ้าศิษย์เท่าเทียมกับอาจารย์ และผู้รับใช้เท่าเทียมกับนาย ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถ้าเขาเรียกเจ้าบ้านว่า ‘เบเอลเซบูล’ เขาจะเรียกลูกบ้านร้ายกว่านั้นสักเท่าใด” “อย่ากลัวมนุษย์เลย ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้น จะไม่มีใครรู้ สิ่งที่เราบอกท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวออกมาในที่สว่าง สิ่งที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู จงประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน” “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไปในนรก นกกระจอกสองตัว เขาขายกันเพียงหนึ่งบาทมิใช่หรือ ถึงกระนั้น ก็ไม่มีนกสักตัวเดียวที่ตกถึงพื้นดินโดยที่พระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว ดังนั้น อย่ากลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำนวนมาก”
“ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ และผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ด้วย”

 

ข้อคิด
     พระวรสารวันนี้มีข้อคิด 3 เรื่องคือ หนึ่ง ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ ความหมายคือให้ศิษย์ทุกคนทำใจ ถ้าหากถูกคนอื่นดูหมิ่น กล่าวร้ายหรือข่มเหง เพราะอาจารย์ก็ถูกกระทำเช่นนั้นด้วย หากเรารักอาจารย์คือพระเยซูเจ้า เราก็ควรจะพร้อมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ข้อคิดประการที่สองคือให้ศิษย์ยึดมั่นในความจริง ประกาศความจริงและรักความจริงไม่ว่าจะถูกข่มเหงเพียงใดก็ตาม ถ้าจะเขาถูกฆ่าจริงๆ ก็ให้คิดว่าฆ่าได้แต่กาย จิตใจที่ยึดมั่นในความจริงไม่อาจจะถูกฆ่าได้จิตเช่นนี้เองที่มีคุณค่ายิ่ง ข้อคิดประการที่สามเป็นการเตือนใจศิษย์เมื่อการเบียดเบียนเกิดขึ้น ขออย่าได้ปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระองค์

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2020 สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                               อสย 55:9-10
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ฝนและหิมะลงมาจากท้องฟ้า และไม่กลับไปที่นั่นถ้าไม่ได้รดแผ่นดิน ทำให้แผ่นดินอุดม ทำให้พืชงอกขึ้น เพื่อให้ผู้หว่านมีเมล็ดพันธุ์ และให้ผู้กินมีอาหารฉันใด ถ้อยคำที่ออกจากปากของเรา จะไม่กลับมาหาเราโดยไม่เกิดผล ไม่ทำตามที่เราปรารถนา และไม่บรรลุจุดประสงค์ที่เราส่งมาฉันนั้น”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม        รม 8:18-23
      พี่น้อง ข้าพเจ้าคิดว่า ความทุกข์ทรมานในปัจจุบันเปรียบไม่ได้เลยกับพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะทรงบันดาลให้ปรากฏแก่เรา เพราะสรรพสิ่งต่างกำลังรอคอยอย่างกระวนกระวาย เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงบันดาลให้บรรดาบุตรของพระองค์ปรากฏในพระสิริรุ่งโรจน์ สรรพสิ่งต้องอยู่ใต้อำนาจของความไม่เที่ยงแท้มิใช่โดยสมัครใจ แต่ตามความประสงค์ของผู้ที่บังคับให้สรรพสิ่งต้องอยู่ในสภาพดังกล่าว ถึงกระนั้น สรรพสิ่งยังมีความหวังว่า จะได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสของความเสื่อมสลาย เพื่อไปรับอิสรภาพอันรุ่งเรืองของบรรดาบุตรของพระเจ้า เรารู้ดีว่า จนถึงเวลานี้ สรรพสิ่งกำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร มิใช่เพียงแต่สรรพสิ่งเท่านั้น แม้แต่เราเองซึ่งได้รับผลิตผลครั้งแรกของพระจิตเจ้าแล้ว ก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ในเมื่อเรามีความกระตือรือร้นรอคอยให้พระเจ้าทรงรับเราเป็นบุตรบุญธรรม ให้ร่างกายของเราได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 13:1-23
     วันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากบ้านมาประทับที่ริมทะเลสาบ ประชาชนจำนวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในเรือ ส่วนประชาชนยืนอยู่บนฝั่ง พระองค์ตรัสสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา
     พระองค์ตรัสว่า “จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกแดดเผาและเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำให้เหี่ยวเฉาตายไป บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมีหู ก็จงฟังเถิด”
     บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมา” พระองค์ทรงตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผู้อื่น เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้นจนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย ดังนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงแม้พวกเขามองดู ก็ไม่เห็น แม้ฟังก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ สำหรับคนเหล่านี้ คำทำนายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริง ที่ว่า ‘ท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ
จะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็น
เพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้าง
เขาทำหูทวนลม และปิดตาเสีย
เพื่อไม่ต้องมองด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหู
จะได้ไม่เข้าใจ
จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา’
ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง
      ดังนั้น จงฟังความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านเถิด เมื่อคนหนึ่งฟังพระวาจาเรื่องพระอาณาจักรและไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไปเสีย นั่นได้แก่ เมล็ดที่ตกริมทาง เมล็ดที่ตกบนหินคือผู้ฟังพระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ เข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดที่หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”

 

ข้อคิด
     ทำไมพระเยซูเจ้าทรงตรัสสอนเป็นคำเปรียบเทียบ? คำตอบคือถ้าพูดตรงๆ คนรับยาก และการพูดเป็นคำเปรียบเทียบ ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายและจำได้นาน ความจริงของพระเจ้านั้นล้ำลึกมาก ผู้ฟังจะเข้าใจได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจและระดับปัญญาของเขา คำสอนจากพระวรสารวันนี้พระองค์อยากสอนว่าการที่คนๆ หนึ่งจะทำดีนั้นไม่ง่าย แม้จะมีความตั้งใจดีเพียงใดก็ตาม สภาพแวดล้อมและสถานุการณ์มักจะทำให้ความดีนั้นเกิดผลน้อยหรือไม่เกิดผลเลย คนที่ทำดีจึงต้องยอมรับและทำใจเมื่อความดีของตนไม่เกิดผลดั่งที่คาดหวัง วิธีง่ายที่สุดเมื่อทำดีคือ ขอให้คิดว่าทำเพื่อพระเจ้า หรือให้ถือว่าเพราะเป็นความดีจึงต้องทำ

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม 2020 น.คามิลโล เด เลลลิส พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                              อสย 7:1-9
     ในรัชสมัยของกษัตริย์อาคัส พระโอรสของกษัตริย์โยธาม พระโอรสของกษัตริย์อุสซียาห์แห่งยูดาห์ กษัตริย์เรซีนแห่งซีเรีย และกษัตริย์เปคาห์แห่งอิสราเอล บุตรของเรมาลิยาห์ ยกทัพขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อทำสงครามกับเมือง แต่เอาชนะไม่ได้ เมื่อมีผู้มาส่งข่าวแก่ราชวงศ์กษัตริย์ดาวิดว่า “ชาวซีเรียมาตั้งค่ายอยู่ในเขตแดนเอฟราอิมแล้ว” พระทัยของกษัตริย์และจิตใจของประชาชนก็สั่นเหมือนต้นไม้ในป่าสั่นเมื่อถูกลมพัด
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอิสยาห์ว่า “ท่านกับเชอาร์ยาชูบบุตรชาย จงออกไปพบกษัตริย์อาคัสที่ปลายท่อน้ำของสระข้างบนที่ถนนลานช่างซักฟอก ทูลกษัตริย์ว่า “ขอพระองค์โปรดฟัง สงบพระทัย อย่าทรงกลัว อย่าให้พระทัยหวั่นไหวเพราะความกริ้วรุนแรงของกษัตริย์เรซีนแห่งซีเรีย และบุตรของเรมาลิยาห์ กษัตริย์ทั้งสององค์นี้เป็นเหมือนฟืนสองดุ้นที่จวนจะมอดอยู่แล้ว มีแต่ควัน ซีเรียพร้อมกับเอฟราอิมและบุตรของเรมาลิยาห์ได้คิดการชั่วร้ายต่อพระองค์ พูดว่า ‘เราจงขึ้นไปโจมตียูดาห์ ทำให้ประชาชนมีความกลัว เราจะได้ยึดเมืองและแต่งตั้งบุตรของทาเบเอล ให้เป็นกษัตริย์ที่นั่น’”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “สิ่งนี้จะไม่เป็นไป จะไม่เกิดขึ้นเลย กรุงดามัสกัสเป็นเมืองหลวงของซีเรีย และกษัตริย์เรซีนเป็นหัวของกรุงดามัสกัส อีกหกสิบห้าปี เอฟราอิมจะไม่เป็นประชากรอีกต่อไป กรุงสะมาเรียเป็นเมืองหลวงของเอฟราอิม และบุตรของเรมาลิยาห์เป็นหัวของกรุงสะมาเรีย ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชื่อมั่น พระองค์จะทรงตั้งมั่นอยู่ไม่ได้”

 

สดด 48:1-2,3-5,6-8ก

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 11:20-24
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงตำหนิบรรดาเมืองที่พระองค์ทรงทำอัศจรรย์มากกว่าที่เมืองอื่น เพราะชาวเมืองไม่ยอมกลับใจว่า“จงวิบัติเถิด เมืองโคราซิน จงวิบัติเถิด เมืองเบธไซดา เพราะถ้าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเจ้าเกิดขึ้นที่เมืองไทระและเมืองไซดอนแล้ว ชาวเมืองเหล่านั้นคงได้นุ่งกระสอบ เอาขี้เถ้าโรยศีรษะ กลับใจเสียนานแล้ว ฉะนั้น เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา เมืองไทระและเมืองไซดอนจะได้รับโทษเบากว่าเจ้า
ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้ายกตนขึ้นถึงฟ้าเทียวหรือ ตรงกันข้าม เจ้าจะตกลงไปถึงแดนผู้ตาย เพราะว่าถ้าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเจ้าเกิดขึ้นที่เมืองโสโดมแล้ว เมืองโสโดมก็คงจะอยู่จนถึงวันนี้ ฉะนั้น เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา เมืองโสโดมจะได้รับโทษเบากว่าเจ้า”

 

ข้อคิด
     พระวรสารวันนี้กล่าวถึงความรู้สึกอึดอัดและหนักใจของพระเยซูเจ้ที่ชาวเมืองเบธไซดา เมืองไทระ และเมืองไซดอนไม่ใส่ใจในคำสอนและข้อเรียกร้องให้พวกเขากลับใจ เมื่อดูจากสภาพภูมิประเทศของหัวเมืองดังกล่าว เป็นเมืองที่เจริญกว่าเมืองอื่นๆ เพราะความเจริญรุ่งเรืองจึงนำมาซึ่งปัญหาทางจริยธรรมพวกเขาไม่สนใจเรื่องพระเจ้า คนในเมืองเหล่านี้ไม่รู้สึกว่าพวกเขาต้องการพระเจ้า พระเยซูเจ้าตรัสไว้ถ่วงหน้าว่าจะมีการพิพากษาเกิดขึ้นกับเมืองเหล่านี้และต่อมาก็เกิดจริง..... คนที่มั่นใจในทรัพย์สมบัติและเงินทอง มักจะมืดบอดในทางศีลธรรมและที่สุดหายนะก็จะตามมาในระดับสังคมก็เช่นกัน หากสังคมใดมืดบอดทางศีลธรรม การล่มสลายก็จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2020 น.เฮนรี่

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                               อสย 1:11-17
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า“เครื่องบูชามากมายของท่านไม่เป็นประโยชน์ใดแก่เรา เราเอือมระอาแกะเพศผู้ที่เผาบูชาถวายเรา เบื่อไขมันของโคหนุ่มที่ขุนไว้ เราไม่พอใจเลือดของโคเพศผู้ ลูกแกะ และแพะเพศผู้ เมื่อท่านทั้งหลายเข้ามาต่อหน้าเรา ใครเรียกร้องให้ท่านทำเช่นนี้ เหยียบย่ำลานวิหารของเรา อย่านำของถวายไร้ประโยชน์เข้ามาอีกเลย กำยานเป็นสิ่งน่ารังเกียจสำหรับเรา เราทนการฉลองที่ปนกับความชั่วร้ายไม่ได้ เราเกลียดวันต้นเดือน และวันฉลองของท่าน วันเหล่านี้เป็นเหมือนภาระหนักสำหรับเรา เราเหนื่อยที่จะต้องแบกภาระนั้น เมื่อท่านชูมือขึ้น เราจะเบือนสายตาไปจากท่าน แม้ท่านจะอธิษฐานภาวนามากขึ้น เราก็จะไม่ฟัง มือของท่านเปื้อนเลือด จงล้าง จงชำระตนให้สะอาด จงนำกิจการชั่วร้ายของท่านออกไปให้พ้นจากสายตาเรา จงเลิกทำความชั่ว จงเรียนรู้ที่จะทำความดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงช่วยเหลือผู้ถูกข่มเหง จงให้ความเป็นธรรมแก่ลูกกำพร้า จงปกป้องสิทธิของหญิงม่าย”

 

สดด 50:8-10,16-18,19-21,22-23

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 10:34-11:1
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า“อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติภาพมาให้โลก เรามิได้มาเพื่อนำสันติภาพ แต่มาเพื่อนำดาบมาให้ เรามาเพื่อแยกบุตรชายจากบิดา แยกบุตรหญิงจากมารดา แยกบุตรสะใภ้จากมารดาของสามี ศัตรูของคนก็คือคนที่อยู่ร่วมบ้านกับเขานั่นเอง”
“ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ใดไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา”
“ผู้ที่หวงชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ที่ยอมเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวิตนั้นอีก”
“ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”
“ผู้ที่ต้อนรับประกาศก เพราะเป็นประกาศก จะได้รับบำเหน็จรางวัลของประกาศก ผู้ที่ต้อนรับผู้ชอบธรรม เพราะเขาเป็นผู้ชอบธรรม จะได้รับบำเหน็จรางวัลของผู้ชอบธรรม”
“ผู้ใดที่ให้น้ำเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคนธรรมดาๆ เหล่านี้ เพราะเขาเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้นั้นจะได้รับบำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน”
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสสั่งสอนศิษย์สิบสองคนแล้ว ก็เสด็จจากที่นั่นไปเทศนาสั่งสอนตามเมืองต่างๆ ในแคว้นกาลิลี

 

ข้อคิด

     พระวรสารวันนี้สะท้อนถึงภารกิจที่พระเยซูเจ้าทรงทำแล้วมีคนต่อต้านมากมาย พระองค์อยากให้ศิษย์ทำใจเสมอว่า การติดตามพระองค์นั้นพวกเขาจะพบความขัดแย้ง พบปัญหาการไม่ยอมรับ รู้สึกอับอาย เมื่อพบปัญหาเช่นนี้พวกเขาจะเกิดความสงสัยและลังเลใจว่าการติดตามพระองค์นั้นถูกหรือผิด ใช่หรือไม่ใช่? ดังนั้น พระองค์จึงตรัสย้ำว่าปัญหาและอุปสรรคเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นศิษย์ของพระองค์ ใครก็ตามที่ซื่อสัตย์ไม่ทิ้งพระองค์ไปก็จะได้รับรางวัลคือชีวิตนิรันดร์อย่างแน่นอน ศิษย์จึงต้องชั่งใจตัวเองว่าเขาพร้อมที่จะเผชิญอุปสรรคหรือไม่? สิ่งที่จะดึงรั้งจิตใจของพวกเขาได้ก็มีเพียงความเชื่อมั่น ความรักและวางใจในพระอาจารย์เท่านั้น

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2020 ระลึกถึง น.บอนาแวนตูรา พระสังฆราชและนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                                อสย 10:5-7,13-16
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า“วิบัติจงเกิดแก่อัสซีเรีย ไม้เรียวที่เราใช้เมื่อเราโกรธ ไม้พลองที่เราใช้เมื่อเราโกรธจัด เราจะส่งเขาไปต่อสู้กับชนชาติที่ไม่เคารพนับถือเรา จะสั่งเขาให้ไปต่อสู้ประชากรที่ทำให้เราโกรธ เพื่อไปริบข้าวของ ไปปล้น และเหยียบย่ำชนชาตินี้เหมือนเหยียบเลนบนถนน แต่อัสซีเรียมิได้ตั้งใจเช่นนั้น จิตใจของเขาก็มิได้คิดดังนี้ เขาคิดแต่จะทำลาย และทำลายล้างชนชาติจำนวนมาก”
     เพราะกษัตริย์ทรงคิดว่า “เราได้ทำการนี้ด้วยกำลังมือ และปรีชาญาณของเรา เพราะเรามีปรีชา เราได้ย้ายเขตแดนของประชาชนหลายชาติ ได้ปล้นทรัพย์สมบัติของเขา ได้ใช้อำนาจคว่ำผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ มือของเราได้ฉวยทรัพย์สมบัติของประชาชนหลายชาติ เหมือนฉวยรังนก คนเก็บไข่ที่ถูกทิ้งไว้ในรังนกฉันใด เราก็จะยึดแผ่นดินทั้งหมดฉันนั้น ไม่มีผู้ใดขยับปีก ไม่มีผู้ใดอ้าปากหรือร้องจิ๊บๆ”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ขวานจะอวดตัวว่าเก่งกว่าผู้ที่ใช้มันหรือ เลื่อยจะทะนงตัวเหนือผู้ที่ใช้มันเลื่อยหรือ เหมือนกับว่าไม้ตะบองจะยกผู้ถือมันขึ้น หรือเหมือนไม้พลองจะยกสิ่งที่มิใช่ไม้ขึ้นได้” ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมจักรวาล จะทรงส่งโรคภัยมาทำให้คนแข็งแรงกลับผอมแห้ง โรคนี้จะเผาผลาญผู้ที่เป็นเกียรติของเขาเหมือนไฟไหม้

 

สดด 94:5-6,7-8,9-10,14-15

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 11:25-27
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ที่ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้”

 

ข้อคิด

     พระวรสารวันนี้สอนเราให้ภาวนาอย่างถูกต้องโดยดูจากการภาวนาของพระเยซูเจ้า การภาวนาของพระองค์คือการสนทนา การติดต่อกับพระบิดาด้วยจิตใจที่รักและมั่นใจว่าพระบิดาทรงอยู่กับพระองค์และพระองค์ก็อยู่ในพระบิดา พระองค์ทรงรู้สึกว่าได้เข้าใจโลกอย่างดี เข้าใจมนุษย์ มองจิตใจคนได้ทะลุปรุโปร่ง พระองค์สำนึกว่าพระพรนี้เป็นพระบิดาเจ้าที่ทรงมอบให้ การภาวนาเช่นนี้เองที่เป็นแบบอย่างแก่เราเมื่อเราภาวนา เราภาวนาต่อพระบิดาที่มองไม่ห็น แต่เชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ เราภาวนาด้วยจิตถ่อมตนในพระพรที่ได้รับ เราภาวนาเพื่อเราจะได้เป็นเครื่องมือสะท้อน
ความดีงามของพระเจ้าไปสู่ทุกคนที่อยู่รอบข้างนี่คือการภาวนาแบบคริสตชนที่แท้จริง

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown