มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2020 น.คริสโตเฟอร์ มักอัลลาเนส และเพื่อนมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 18:1-8
     หลังจากนั้น เปาโลออกจากกรุงเอเธนส์ไปเมืองโครินธ์ เขาพบชาวยิวคนหนึ่ง ชื่ออาควิลา ชาวแคว้นปอนทัส เพิ่งมาจากอิตาลีพร้อมกับภรรยาชื่อปริสซิลลา เพราะพระจักรพรรดิคลาวดิอัสทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ชาวยิวทุกคนออกจากกรุงโรม เปาโลไปพบเขาทั้งสองคน พักอยู่และทำงานร่วมกัน เพราะมีอาชีพเดียวกันคือเป็นช่างทำกระโจม ทุกวันสับบาโตเปาโลถกเถียงในศาลาธรรม พยายามชักชวนชาวยิวและชาวกรีกให้มีความเชื่อ
     เมื่อสิลาสและทิโมธีกลับมาจากแคว้นมาซิโดเนียแล้ว เปาโลอุทิศตนเต็มที่ในการประกาศพระวาจาเป็นพยานยืนยันแก่ชาวยิวว่า พระเยซูเป็นพระคริสตเจ้า แต่เมื่อชาวยิวเหล่านั้นต่อต้านและพูดดูหมิ่นพระเจ้า เปาโลก็สะบัดฝุ่นจากเสื้อผ้าเป็นการตอบโต้ พูดกับเขาว่า “ถ้าท่านไม่รอดพ้น ก็เป็นเรื่องของท่าน ข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบแล้ว ตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะไปหาคนต่างศาสนา”
     เปาโลออกจากศาลาธรรมไปยังบ้านของทิธีอัสยุสตัส ผู้เลื่อมใสในพระเจ้า บ้านของเขาอยู่ติดกับศาลาธรรม คริสปัสหัวหน้าศาลาธรรมและทุกคนในครอบครัวมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ชาวโครินธ์หลายคนที่ฟังเปาโล ก็มีความเชื่อและรับศีลล้างบาปด้วย

 

สดด 98:1-2,3-4

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                  ยน 16:16-20
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “อีกไม่นาน ท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเรา และต่อไปไม่นาน ท่านจะเห็นเราอีก”ศิษย์บางคนจึงถามกันว่า “ที่พระองค์ตรัสกับเราว่า ‘อีกไม่นาน ท่านจะไม่เห็นเรา แล้วต่อไปไม่นาน ท่านจะเห็นเราอีก’ หมายความว่าอย่างไร และที่พระองค์ตรัสว่า ‘เรากำลังไปเฝ้าพระบิดา’ หมายความว่าอย่างไร” เขาพูดกันอีกว่า “ที่พระองค์ตรัสว่า ‘อีกไม่นาน’ นั้นหมายความว่าอย่างไร เราไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังตรัสอะไร” พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าบรรดาศิษย์ต้องการทูลถามพระองค์ จึงตรัสว่า “ท่านกำลังถามกันใช่ไหมถึงเรื่องที่เราบอกว่า อีกไม่นานท่านจะไม่เห็นเรา แล้วต่อไปไม่นานท่านจะเห็นเราอีก
     เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ท่านจะร้องไห้ คร่ำครวญ แต่โลกจะยินดี ท่านจะเศร้าโศก แต่ความเศร้าโศกของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดี”

 

ข้อคิด

     พระวรสารวันนี้เป็นพระดำรัสของพระเยซูเจ้าระหว่างอาหารค่ำมื้อสุดท้ายพระองค์กำลังจะออกเดินทางและปล่อยบรรดาศิษย์ไว้เบื้องหลัง แต่การเดินทางครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อความดีของพวกเขาแม้ว่าในเวลานั้นพวกเขาไม่เข้าใจทั้งหมด พระเยซูเจ้าทรงพยายามทำให้พวกเขามั่นใจว่าพวกเขาจะโศกเศร้าสักระยะหนึ่ง แต่ความเศร้าโศกของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นความยินดีในเวลาต่อมา การเดินทางของพระองค์จะต้องผ่านประตูแห่งความตายที่น่าเกรงขามเพื่อเข้าสู่ความรุ่งเรืองแห่งชีวิตนิรันดร พระองค์ทรงปรารถนาที่จะแบ่งปันความรุ่งเรืองนี้กับบรรดาศิษย์และเราทุกคน พระองค์เสด็จไปล่วงหน้าเพื่อเตรียมที่สำหรับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ชีวิตบนโลกนี้ของเราเป็นการเดินทางไปสู่บ้านแท้นิรันดรในสวรรค์ เหมือนพระเยซูเจ้าที่ต้องผ่านประตูแห่งความตาย แต่เราก็มั่นใจว่าในฐานะผู้มีความเชื่อในพระองค์ เราจะมีส่วนร่วมในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ในสวรรค์อย่างแน่นอน

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2020 น.ริต้า แห่งคาเซีย นักบวช

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 18:9-18
     คืนหนึ่ง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เปาโลในนิมิตว่า “อย่ากลัว จงพูดต่อไป อย่าเงียบเลย เพราะเราอยู่กับท่าน ไม่มีใครกล้าทำร้ายท่าน เพราะหลายคนในเมืองนี้เป็นประชากรของเราแล้ว” เปาโลพักอยู่ที่นั่นและสั่งสอนพระวาจาของพระเจ้าแก่ชาวเมืองนั้นเป็นเวลาหนึ่งปีหกเดือน
     ขณะที่กัลลิโอเป็นผู้ว่าราชการแคว้นอาคายา ชาวยิวช่วยกันจู่โจมจับเปาโลและนำเขาไปขึ้นศาล กล่าวฟ้องว่า “ชายผู้นี้ชักชวนประชาชนให้นมัสการพระเจ้าอย่างผิดกฎหมาย”
     เปาโลกำลังจะกล่าวตอบ กัลลิโอก็พูดกับชาวยิวว่า “ชาวยิวเอ๋ย ถ้าเป็นเรื่องอาชญากรรมหรือการฉ้อฉลเลวร้าย ข้าพเจ้ายินดีจะรับฟังคำร้องของท่านอย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นเพียงปัญหาเรื่องคำสอน เรื่องถ้อยคำ เรื่องชื่อ และเรื่องธรรมบัญญัติของท่าน ท่านจงไปจัดการกันเองเถิด ข้าพเจ้าไม่ต้องการเป็นผู้พิพากษาตัดสินในเรื่องเช่นนี้” กัลลิโอจึงสั่งชาวยิวเหล่านั้นให้ออกไปจากศาล ทุกคนจับโสสเธเนสหัวหน้าศาลาธรรม และโบยตีต่อหน้าศาล แต่กัลลิโอมิได้สนใจเลย
     เปาโลพักอยู่ในเมืองโครินธ์อีกหลายวัน กล่าวลาบรรดาพี่น้อง แล่นเรือไปยังแคว้นซีเรีย พร้อมกับ ปริสซิลลาและอาควิลา ก่อนออกเรือที่เมืองเคนเครีย เปาโลโกนศีรษะ เพราะได้บนขอไว้

 

สดด 47:1-2,3-4,5-7

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                  ยน 16:20-23ก
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า“เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ท่านจะร้องไห้ คร่ำครวญ แต่โลกจะยินดี ท่านจะเศร้าโศก แต่ความเศร้าโศกของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดี หญิงที่กำลังจะคลอดบุตรย่อมมีความทุกข์ เพราะถึงเวลาของนางแล้ว แต่เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็จำความทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป เพราะความยินดีที่มนุษย์คนหนึ่งเกิดมาในโลก ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน บัดนี้ท่านมีความทุกข์ แต่เราจะเห็นท่านอีก และใจของท่านจะยินดี ไม่มีใครนำความยินดีไปจากท่านได้ วันนั้น ท่านทั้งหลายจะไม่ถามอะไรจากเราอีก”

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าทรงมองหาวิธีที่จะทำให้บรรดาศิษย์เข้าใจว่าความเศร้าโศกเสียใจและความทุกข์ยากลำบากเนื่องจากการติดตามพระองค์จะไม่เพียงแค่ถูกลืมในเวลาต่อมา แต่จะถูกถือว่าเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่านี่คือสาเหตุที่ทำให้พระองค์พูดเกี่ยวกับหญิงที่กำลังจะคลอดบุตร การเปรียบเทียบนี้เหมาะสม เพราะความเจ็บปวดของการคลอดบุตรนำไปสู่ชีวิตใหม่ และความทุกข์ทรมานของคริสตชนนำไปสู่ชีวิตนิรันดรพระเยซูเจ้าทรงเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้พระองค์ทรงยอมรับความทุกข์ทรมานและความตายด้วยความนบนอบเชื่อฟังต่อพระบิดา และพระบิดาทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้นสูงเด่น การเป็นศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้าหมายถึงการมีส่วนร่วมในความทุกข์ทรมานและในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ชีวิตบนโลกนี้ของเราไม่ต่างจากหญิงที่กำลังจะคลอดบุตร เรามีความทุกข์ยากลำบาก ความเศร้าโศกเสียใจ ต่างกันเพียงว่า เมื่อเวลาของเรามาถึง เราจะไม่ให้กำเนิดชีวิตใหม่ แต่เราจะเป็นผู้เกิดใหม่ในชีวิตนิรันดร

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2020 สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 1:1-11
     เธโอฟีลัสที่รัก ในหนังสือเล่มแรก ข้าพเจ้าเล่าถึงทุกสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำและทรงสั่งสอน เริ่มตั้งแต่ต้น จนกระทั่งถึงวันที่พระองค์ทรงได้รับการยกขึ้นสวรรค์ หลังจากที่ทรงแนะนำสั่งสอนบรรดาอัครสาวกที่ทรงเลือกสรรโดยทางพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกเหล่านั้น และทรงพิสูจน์ด้วยวิธีการต่าง ๆ ว่าหลังจากทรงรับทุกข์ทรมานแล้ว พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ตลอดเวลาสี่สิบวันที่พระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่เขาทั้งหลาย ทรงกล่าวถึงพระอาณาจักรของพระเจ้า ขณะที่ทรงร่วมโต๊ะกับเขา พระองค์ทรงกำชับว่า “อย่าออกจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่จงคอยรับพระพรที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ ดังที่ท่านได้ยินจากเรา ยอห์นทำพิธีล้างด้วยน้ำ แต่ภายในไม่กี่วัน ท่านจะได้รับพิธีล้างเดชะพระจิตเจ้า
     ผู้ที่มาชุมนุมกับพระเยซูเจ้า ทูลถามพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์จะทรงสถาปนาอาณาจักรอิสราเอลอีกครั้งหนึ่งในเวลานี้หรือ” พระองค์ตรัสตอบว่า “ไม่ใช่ธุระของท่านที่จะรู้วันเวลาที่พระบิดาทรงกำหนดไว้โดยอำนาจของพระองค์ แต่พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและท่านจะรับอานุภาพเพื่อจะเป็นพยานถึงเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรียจนถึงสุดปลายแผ่นดิน”
     เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เมฆบังพระองค์จากสายตาของเขา เขายังคงจ้องมองท้องฟ้าขณะที่พระองค์ทรงจากไป ทันใดนั้นมีชายสองคนสวมเสื้อขาวปรากฏกับเขา กล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ท่านทั้งหลายยืนแหงนมองท้องฟ้าอยู่ทำไม พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ที่เสด็จสู่สวรรค์ จะเสด็จกลับมาเช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงจากไปสู่สวรรค์

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส      อฟ 1:17-23
     ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระบิดาผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ประทานพระพรแห่งปรีชาญาณและการเปิดเผยให้แก่ท่านเดชะพระจิตเจ้า เพื่อท่านจะได้รู้ซึ้งถึงพระองค์ยิ่งๆ ขึ้น ขอพระองค์โปรดให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่าพระองค์ทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการใด และความรุ่งเรืองที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้รับเป็นมรดกนั้นบริบูรณ์เพียงไร อีกทั้งรู้ด้วยว่า พระอานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อเราผู้มีความเชื่อนั้นล้ำเลิศเพียงใด พระอานุภาพและพละกำลังนี้ พระองค์ทรงแสดงในองค์พระคริสตเจ้า เมื่อทรงบันดาลให้พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย และให้ประทับเบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์ เหนือเทพนิกรเจ้า เทพนิกรอำนาจ เทพนิกรฤทธิ์ เทพนิกรนายและเหนือนามทั้งปวงที่อาจเรียกขานได้ทั้งในภพนี้และในภพหน้า พระเจ้าทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้พระบาทของพระ คริสตเจ้า และทรงแต่งตั้งพระคริสตเจ้าไว้เหนือสรรพสิ่ง ให้ทรงเป็นศีรษะของพระ ศาสนจักร ซึ่งเป็นพระวรกายของพระองค์ เป็นความบริบูรณ์ของพระผู้ทรงอยู่ในทุกสิ่งและทรงกระทำให้ทุกสิ่งบริบูรณ์

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 28:16-20
     เวลานั้น บรรดาศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนได้ไปยังแคว้นกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูเจ้าทรงกำหนดไว้ เมื่อเขาเห็นพระองค์ ก็กราบนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่
     พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ตรัสแก่เขาเหล่านั้นว่า “พระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา ทำพิธีล้างบาปให้เขาเดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต จงสอนเขาให้ปฏิบัติตามคำสั่งทุกข้อที่เราให้แก่ท่าน แล้วจงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ”

 

ข้อคิด
     ก่อนจะพูดถึงภารกิจสำคัญที่บรรดาศิษย์ต้องทำ พระเยซูเจ้าทรงบอกพวกเขาว่าพระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินแก่พระองค์ พระองค์จึงทรงมีอำนาจบนแผ่นดินเช่นเดียวกับที่ทรงมีในสวรรค์ เป็นอำนาจที่ไม่มีขอบเขตและได้รับจากพระบิดา จากนั้นพระองค์ทรงสั่งพวกเขาให้นำนานาชาติมาเป็นศิษย์ของพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงมอบอำนาจแห่งการสั่งสอนแก่บรรดาศิษย์ พวกเขาต้องทำสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเคยทำ เมื่อยังทรงมีพระชนม์อยู่บนโลกนี้ พวกเขาจะมีอำนาจในการทำให้คนบาปคืนดีกับพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องมีอำนาจในการตัดสินว่าใครยังไม่พร้อมสำหรับการคืนดีและใครยังไม่พร้อมที่จะมีส่วนร่วมอย่างสมบูรณ์ในกิจการต่างๆ ของพระศาสนจักร พวกเขาต้องเทศน์สอน รักษา และทำลายกำแพงแห่งการแบ่งแยกทุกชนิดที่เกิดขึ้นในกลุ่มคริสตชน ศีลล้างบาปในพระนามพระบิดาพระบุตรและพระจิต จะเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นศิษย์ของพระองค์ พร้อมกันนี้พระองค์ทรงสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างพวกเขาตลอดไป เราจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องหวาดกลัวสิ่งชั่วร้ายอีกต่อไป

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม 2020 สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                กจ 18:23-28
     หลังจากอยู่ในเมืองอันทิโอกระยะหนึ่ง เปาโลออกจากที่นั่น เดินทางไปทั่วแคว้น กาลาเทียและฟรีเจียเพื่อทำให้บรรดาศิษย์มีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น
     ในช่วงเวลานั้น ชาวยิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล ชาวเมืองอเล็กซานเดรีย มาที่เมืองเอเฟซัส เขารอบรู้พระคัมภีร์ มีวาทศิลป์ ได้รับการสั่งสอนเรื่องวิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า มีจิตใจกระตือรือร้นมากในการพูดและการสอนเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าอย่างถูกต้อง แต่รู้จักเพียงพิธีล้างของยอห์นเท่านั้น เขาเริ่มเทศน์สอนอย่างกล้าหาญในศาลาธรรม ปริสซิลลาและ อาควิลาได้ฟังจึงเชิญเขาไปที่บ้านและอธิบายให้เขาเข้าใจวิถีทางของพระเจ้าอย่างละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น
     อปอลโลต้องการไปยังแคว้นอาคายา บรรดาพี่น้องก็ให้กำลังใจและเขียนจดหมายถึงบรรดาศิษย์ที่นั่นให้ต้อนรับเขา เมื่อไปถึง อปอลโลให้ความช่วยเหลืออย่างมากแก่ผู้ที่พระเจ้าทรงบันดาลให้มีความเชื่อ เขาตอบโต้อย่างแข็งขันกับชาวยิวต่อหน้าคนทั้งหลาย โดยอ้างข้อความจากพระคัมภีร์พิสูจน์ว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระคริสตเจ้า

 

สดด 47:1-2,8-9

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 16:23ข-28
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดา พระองค์จะประทานให้ท่านในนามของเรา จนถึงบัดนี้ ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเราเลย จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ เพื่อความยินดีของท่านจะสมบูรณ์ เราใช้อุปมาบอกเรื่องเหล่านี้กับท่าน จะถึงเวลาที่เราจะไม่ใช้อุปมาพูดกับท่านอีก แต่จะบอกถึงพระบิดาของเราให้ท่านรู้อย่างชัดแจ้ง วันนั้น ท่านจะขอในนามของเรา เราไม่บอกท่านว่า เราจะขอพระบิดาเพื่อท่าน พระบิดาทรงรักท่าน เพราะท่านรักเรา และเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า เรามาจากพระบิดา เข้ามาในโลกนี้ บัดนี้ เรากำลังจะละโลกนี้กลับไปเฝ้าพระบิดาอีก”

 

ข้อคิด
     อปอลโลสมควรได้รับคำชมเชยสำหรับความนอบน้อมและการมีจิตใจที่เปิดรับ ท่านได้รับการยอมรับจากกลุ่มคริสตชนที่เมืองเอเฟซัสว่าเป็นผู้รอบรู้ด้านพระคัมกีร์และได้รับการสั่งสอนเรื่องวิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ความรู้ของท่านยังไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะในเรื่องศีลล้างบาป เมื่อปริสซิลลาและอาควิลาเชิญท่านไปที่บ้านเพื่ออธิบายให้เข้าใจวิถีทางของพระเจ้าอย่างละเอียดมากขึ้น ท่านไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อต้าน ท่านกระหายที่จะเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราไม่ควรทึกทักเอาเองว่าเรารู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราควรรู้เกี่ยวกับศาสนา บรรดานักบุญผู้ยิ่งใหญ่บรรดานักปราชญ์หรือนักวิชาการทั้งหลายได้ใช้เวลาตลอดชีวิตเพื่อศึกษาและรำพึงไตร่ตรองเกี่ยวกับพระธรรมล้ำลึกแห่งความเชื่อ แต่การที่จะเข้าใจพระธรรมล้ำลึกต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่ได้มาทางการศึกษาและการรำพึงไตร่ตรองเท่านั้น แต่ได้มาทางการสนทนากับบรรดาผู้มีความเชื่อทั้งหลายและโดยทางการอธิษฐานภาวนา

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2020 น.เบดา ผู้น่าเคารพ พระสงฆ์และนักปราชญ์ น.เกรโกรีที่ 7 พระสันตะปาปา น.มารีย์ มักดาเลนา เดปัสซี พรหมจารี

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 19:1-8
     ขณะที่อปอลโลยังอยู่ที่เมืองโครินธ์ เปาโลเดินทางผ่านที่ราบสูงมาถึงเมืองเอเฟซัส พบศิษย์บางคน จึงถามว่า “เมื่อท่านทั้งหลายมีความเชื่อนั้น ท่านได้รับพระจิตเจ้าหรือไม่” เขาตอบว่า “พวกเรายังไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำไปว่ามีพระจิตเจ้า” เปาโลจึงถามว่า “แล้วท่านได้รับพิธีล้างแบบใด” เขาตอบว่า “พิธีล้างของยอห์น”
     เปาโลจึงกล่าวว่า “ยอห์นทำพิธีล้างแสดงการกลับใจ โดยบอกประชาชนให้เชื่อผู้ที่จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซูเจ้า” เมื่อเขาเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ก็ได้รับศีลล้างบาปเดชะพระนามพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เปาโลปกมือเหนือเขา พระจิตเจ้าก็เสด็จลงมาประทับอยู่ด้วย เขาจึงพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจและกล่าวคำทำนาย คนกลุ่มนี้มีประมาณสิบสองคน
     เปาโลเข้าไปในศาลาธรรมและเทศน์สอนอย่างกล้าหาญตลอดเวลาสามเดือน ใช้เหตุผลหว่านล้อมผู้ฟังให้เชื่อเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า

 

สดด 68:1-2,3-4,5-6ก

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 16:29-33
     เวลานั้น บรรดาศิษย์ทูลพระเยซูเจ้าว่า “ใช่แล้ว บัดนี้พระองค์ตรัสอย่างชัดแจ้ง มิได้ใช้อุปมาใดๆ บัดนี้พวกเรารู้ว่าพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง และไม่จำเป็นที่ใครจะทูลถามพระองค์อีก ดังนั้น เราจึงเชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า”
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บัดนี้ ท่านทั้งหลายเชื่อแล้วหรือ จะถึงเวลา และเวลานั้นก็มาถึงแล้วที่ท่านทั้งหลายจะกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง และจะทิ้งเราไว้คนเดียว แต่เราไม่อยู่คนเดียว เพราะพระบิดาทรงอยู่กับเรา เราบอกเรื่องเหล่านี้กับท่านแล้ว เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ ท่านจะมีความทุกข์ยาก แต่อย่าท้อแท้ เราชนะโลกแล้ว”

 

ข้อคิด
      ในพิธีล้างของยอห์นบัปติสต์ ผู้รับพิธีล้างแสดงตัวว่าเขาปรารถนาจะกลับใจ เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น ละทิ้งบาปเพื่ออุทิศชีวิตทั้งครบแด่พระเจ้า ศีลล้างบาปของคริสตชนรวมความปรารถนาเหล่านี้เข้าไปด้วย แต่มีบางอย่างที่มากกว่า ผลของพิธีล้างของยอห์นบัปติสต์ขึ้นอยู่กับน้ำใจดีของผู้รับ พิธีล้างโดยตัวเองไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้รับ พิธีศีลล้างบาปของคริสตชนมีอำนาจของพระจิตเจ้าในตัวเองซึ่งให้เอกลักษณ์ใหม่แก่เราในฐานะสมาชิกของพระศาสนจักร ทำให้เราเป็นส่วนหนึ่งของพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า การเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ได้เป็นเงื่อนไขที่เรียกร้องก่อนเพื่อรับศีลล้างบาป แต่เป็นผลที่ตามมามากกว่า เป็นเอกลักษณ์ใหม่ที่เรียกร้องวิถีทางการดำเนินชีวิตแบบใหม่ เอกลักษณ์ใหม่ควรทำให้เราเข้มแข็งพระเยซูเจ้าตรัสว่า "อย่าท้อแท้ เราชนะโลกแล้ว" (ยน 16:33) เพราะความเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าเราชนะโลกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบาปและความตายเช่นเดียวกัน

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown