มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2020 น.โยเซฟ กรรมกร

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                กจ 9:1-20
     ขณะนั้น เซาโลยังคงเคียดแค้นคุกคามจะฆ่าบรรดาศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเข้าไปพบมหาสมณะ ขอหนังสือมอบอำนาจไปยังศาลาธรรมต่างๆ ในเมืองดามัสกัส เพื่อจะได้จับกุมทุกคนที่พบ ไม่ว่าชายหรือหญิงที่ดำเนินชีวิตตามวิถีทางของพระคริสตเจ้า แล้วนำไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
     ขณะที่เขาเดินทางใกล้ถึงเมืองดามัสกัส ทันใดนั้นมีแสงสว่างจากท้องฟ้าล้อมรอบตัวเขาไว้ เขาล้มลงที่พื้นดินและได้ยินเสียงกล่าวว่า “เซาโล เซาโล ท่านเบียดเบียนเราทำไม” เซาโลจึงถามว่า “พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร” พระองค์ตรัสว่า “เราคือเยซู ซึ่งท่านกำลังเบียดเบียน ท่านจงลุกขึ้น เข้าไปในเมืองแล้วจะมีคนบอกให้รู้ว่าจะต้องทำอะไร” คนที่เดินทางพร้อมกับเซาโลยืนนิ่งพูดไม่ออก เขาได้ยินเสียงพูดแต่ไม่เห็นใครเลย เซาโลจึงลุกขึ้นจากพื้นดิน ลืมตา แต่ก็มองสิ่งใดไม่เห็น คนอื่นจึงจูงมือเขา พาเข้าไปในเมืองดามัสกัส เซาโลมองไม่เห็นสิ่งใดเลยเป็นเวลาสามวัน ไม่ได้กินและไม่ได้ดื่ม
     ที่เมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่อ อานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกเขาในนิมิตว่า “อานาเนีย” อานาเนียทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้นไปที่ถนนซึ่งเรียกว่าถนนตรง จงไปที่บ้านของยูดาส ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลที่มาจากเมืองทาร์ซัส ขณะนี้เซาโลกำลังอธิษฐานภาวนาอยู่ และเห็นชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียในนิมิต เข้ามาปกมือให้ เพื่อให้เขามองเห็นได้อีก”
     แต่อานาเนียทูลตอบว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินหลายคนพูดถึงชายผู้นี้ และได้ยินว่า ที่กรุงเยรูซาเล็มเขาได้ทำร้ายบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เพียงใด และที่นี่เขาได้รับอำนาจจากบรรดาหัวหน้าสมณะให้มาจับกุมทุกคนที่เรียกขานพระนามพระองค์” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบอานาเนียว่า “จงไปเถิด เพราะชายผู้นี้เป็นเครื่องมือที่เราเลือกสรรไว้เพื่อนำนามของเราไปประกาศแก่คนต่างศาสนา บรรดากษัตริย์และลูกหลานของอิสราเอล เราจะแสดงให้เขารู้ว่า เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมากเท่าใดเพราะนามของเรา” อานาเนียจึงจากไป และเข้าไปในบ้าน ปกมือเหนือเซาโล กล่าวว่า “เซาโลน้องรัก พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งทรงสำแดงพระองค์แก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ทรงส่งข้าพเจ้ามาเพื่อท่านจะมองเห็นได้อีกและได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” ทันใดนั้นมีสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดตกจากนัยน์ตาของเซาโล เขามองเห็นได้อีก จึงลุกขึ้นรับศีลล้างบาป เมื่อกินอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น
เซาโลพักอยู่กับบรรดาศิษย์ที่เมืองดามัสกัสระยะหนึ่ง เขาเทศน์สอนในศาลาธรรมทันที ประกาศว่า “พระเยซูเจ้าพระองค์นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

 

สดด 117:1-2

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 6:52-59
     เวลานั้น ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อของบุตรแห่งมนุษย์ และไม่ดื่มโลหิตของเขา ท่านจะไม่มีชีวิตในตนเอง ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำรงอยู่ในเรา และเราก็ดำรงอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น นี่คือปังที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนปังที่บรรดาบรรพบุรุษได้กินแล้วยังตาย ผู้ที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป”
      พระองค์ตรัสเช่นนี้ขณะที่ทรงสอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม

 

ข้อคิด

     ชีวิตมีกระบวนการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป สำหรับผู้มีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ต้องยอมมอบชีวิตฝ่ายโลกนี้ เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเปลี่ยนแปลงเขา ทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต นักบุญเปาโลเป็นตัวอย่างการพัฒนาชีวิตคริสตชน มื่อท่านรับความเชื่อ ความรัก และการหลุดพ้นจากธรรมบัญญัติเดิม มารับแนวคำสอนของพระคริสตเจ้าแบบหมดรูปเก่า เข้าสู่รูปแบบใหม่

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2020 ระลึกถึง น.อาทานาส พระสังฆราชและนักปราชญ์

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 9:31-42
     ขณะนั้น พระศาสนจักรมีสันติภาพทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลีและสะมาเรีย พระศาสนจักรเติบโตขึ้น มีความเคารพยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้รับกำลังใจจากพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
เมื่อเปโตรเดินทางไปเยี่ยมผู้มีความเชื่อในที่ต่างๆ เขาไปเยี่ยมบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในเมืองลิดดาด้วย ที่นั่นเขาพบชายคนหนึ่งชื่อไอเนอัส เป็นอัมพาตนอนอยู่บนแคร่มาแปดปีแล้ว เปโตรจึงพูดกับเขาว่า “ไอเนอัสเอ๋ย พระเยซูคริสตเจ้าทรงรักษาท่านให้หาย จงลุกขึ้นและเก็บที่นอนเถิด” เขาก็ลุกขึ้นทันที เมื่อเห็นดังนี้ ทุกคนที่อยู่ในเมืองลิดดาและในที่ราบชาโรนก็กลับใจมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า
     ในบรรดาศิษย์ที่เมืองยัฟฟามีหญิงคนหนึ่งชื่อทาบีธา แปลว่า “เนื้อทราย” ทำความดีและให้ทานเป็นอันมาก ระหว่างนั้นนางป่วยและถึงแก่กรรม เขาทำความสะอาดศพและตั้งศพไว้ในห้องชั้นบน เมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา บรรดาศิษย์รู้ว่าเปโตรอยู่ที่เมืองลิดดา จึงส่งชายสองคนไปเชิญเขาว่า “โปรดรีบมาหาเราเถิด”
     เปโตรไปกับเขาทันที เมื่อไปถึง เขาก็พาเปโตรขึ้นไปยังห้องชั้นบน บรรดาหญิงม่ายมาห้อมล้อม ทุกคนต่างร้องไห้และชี้ให้เปโตรดูเสื้อผ้าทั้งชั้นนอกชั้นในที่ทาบีธาตัดเย็บให้เมื่อนางยังมีชีวิต เปโตรจึงสั่งให้ทุกคนออกไปข้างนอก เขาคุกเข่าอธิษฐานภาวนาแล้วหันมาดูศพ พูดว่า “ทาบีธาเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” นางก็ลืมตาขึ้นมองดูเปโตรและลุกขึ้นนั่ง เปโตรจึงยื่นมือพยุงให้นางยืน แล้วเรียกบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์และบรรดาหญิงม่ายเข้ามา ชี้ให้เห็นว่านางยังมีชีวิต เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วเมืองยัฟฟา หลายคนมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า

 

สดด 116:12-13,14-16,17

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 6:60-69
     เวลานั้น เมื่อศิษย์หลายคนได้ยินพระองค์ตรัสดังนี้ก็กล่าวว่า “ถ้อยคำนี้ขัดหูจริง ใครจะฟังได้” พระเยซูเจ้าทรงทราบด้วยพระองค์ว่าบรรดาศิษย์กำลังบ่นกันเรื่องนี้ จึงตรัสแก่เขาว่า “เรื่องนี้ทำให้ท่านเคลือบแคลงใจหรือ แล้วถ้าท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์กลับขึ้นสู่สถานที่ที่เคยอยู่แต่ก่อนเล่า ท่านจะว่าอย่างไร พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้ประทานชีวิต ลำพังมนุษย์ทำอะไรไม่ได้ วาจาที่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้นให้ชีวิต เพราะมาจากพระจิตเจ้า แต่บางท่านไม่เชื่อ” พระเยซูเจ้าทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ใดไม่เชื่อ และผู้ใดจะทรยศต่อพระองค์ พระองค์ตรัสต่อไปว่า “ดังนั้น เราจึงบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ใดมาหาเราได้ เว้นแต่ผู้ที่พระบิดาประทานให้เขามา” หลังจากนั้น ศิษย์หลายคนเปลี่ยนใจ ไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป
     พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับอัครสาวกสิบสองคนว่า “ท่านทั้งหลายจะไปด้วยหรือ” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์มีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร พวกเราเชื่อและรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”

 

ข้อคิด
     ในการทำหน้าที่ผู้แพร่ธรรมต่อจากพระเยซูเจ้า นักบุญเปโตรได้ใช้วิธีการของพระองค์ กล่าวคือ การรักษาความเจ็บป่วยฝ่ายกาย และการบำรุงรักษาฝ่ายจิต พระเยซูเจ้าทรงทราบดีว่า การยอมรับพระวาจาที่ทรงประกาศอาจยากสำหรับหลายคน เพราะต้องรับความเชื่อด้วยความเต็มใจ และต้องแสดงออกในการดำเนินชีวิตใหม่ของพระองค์อย่างซื่อสัตย์ตลอดชีวิตด้วย แม้ต้องพลีชีวิตเพื่อพิสูจน์ก็ตาม

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2020 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                กจ 11:1-18
     ในครั้งนั้น บรรดาอัครสาวกและพี่น้องที่อยู่ในแคว้นยูเดียรู้ว่าคนต่างศาสนาได้ยอมรับพระวาจาของพระเจ้าด้วย เมื่อเปโตรขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็ม บรรดาผู้มีความเชื่อที่เข้าสุหนัตตำหนิเขา ถามว่า “ทำไมท่านเข้าไปในบ้านของผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตและกินอาหารร่วมกับเขา” เปโตรจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟังตามลำดับว่า “วันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังอธิษฐานภาวนาอยู่ที่เมืองยัฟฟา ข้าพเจ้าเข้าสู่ภวังค์และเห็นนิมิต สิ่งหนึ่งคล้ายผ้าผืนใหญ่ ถูกมัดไว้ทั้งสี่มุมกำลังถูกหย่อนลงจากท้องฟ้ามาที่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจ้องดูสิ่งนั้นอย่างตั้งใจ ก็เห็นสัตว์สี่เท้าของแผ่นดิน สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลาน และนกในท้องฟ้า ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหนึ่งกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ‘เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้น ฆ่าสัตว์เหล่านี้กินซิ’ ข้าพเจ้าทูลตอบว่า ‘ทำไม่ได้ พระเจ้าข้า เพราะสิ่งมีมลทินและไม่สะอาดไม่เคยเข้าปากข้าพเจ้าเลย’ เสียงจึงตอบจากท้องฟ้าเป็นครั้งที่สองว่า ‘สิ่งที่พระเจ้าทรงชำระให้สะอาดแล้ว ท่านอย่าเรียกว่ามีมลทินเลย’ เสียงจากท้องฟ้านี้เกิดขึ้นถึงสามครั้ง แล้วทุกสิ่งก็ถูกดึงขึ้นไปบนท้องฟ้า
     ทันใดนั้นมีชายสามคนมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านที่ข้าพเจ้าพัก เขาถูกส่งจากเมือง ซีซารียามาพบข้าพเจ้า พระจิตเจ้าทรงบอกข้าพเจ้าให้ไปกับเขาโดยไม่ต้องลังเล พี่น้องหกคนเหล่านี้ไปพร้อมกับข้าพเจ้าด้วย เราเข้าไปในบ้านของโครเนลิอัส เขาเล่าให้เราฟังว่า เขาเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏมาในบ้านของเขาพูดว่า ‘จงส่งคนไปที่เมืองยัฟฟา ไปเชิญซีโมนที่รู้จักกันในนามว่าเปโตรมาที่นี่ เขาจะกล่าวถ้อยคำที่จะนำความรอดพ้นมาให้ท่านและทุกคนในครอบครัว’
     ขณะที่ข้าพเจ้าเริ่มพูด พระจิตเจ้าก็เสด็จลงมาเหนือเขาเหล่านั้น เหมือนกับที่ได้เสด็จลงมาเหนือเราในตอนแรก ข้าพเจ้าจึงระลึกถึงพระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า ‘ยอห์นทำพิธีล้างด้วยน้ำ แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับการล้างเดชะพระจิตเจ้า’ ในเมื่อพระเจ้าประทานพระพรแก่เขาเช่นเดียวกับที่ประทานแก่เราผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นใครเล่าที่จะขัดขวางพระเจ้าได้”
     เมื่อได้ยินดังนี้ ทุกคนก็สงบลง สรรเสริญพระเจ้าว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ พระเจ้าก็ประทานให้คนต่างศาสนากลับใจมารับชีวิตด้วยเช่นเดียวกัน”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 10:11-18
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า“เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้เลี้ยงแกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน ลูกจ้างที่ไม่ใช่ผู้เลี้ยงแกะ และไม่เป็นเจ้าของแกะ เมื่อเห็นสุนัขป่าเข้ามา ก็ละทิ้งบรรดาแกะและหนีไป สุนัขป่าแย่งชิงแกะ และฝูงแกะก็กระจัดกระจายไป ลูกจ้างวิ่งหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้าง ไม่มีความห่วงใยฝูงแกะเลย เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี เรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา พระบิดาทรงรู้จักเราฉันใด เราก็รู้จักพระบิดาฉันนั้น เรายอมสละชีวิตเพื่อแกะของเรา เรายังมีแกะอื่นๆ ซึ่งไม่อยู่ในคอกนี้ เราต้องนำหน้าแกะเหล่านี้ด้วย แกะจะฟังเสียงของเรา จะมีแกะเพียงฝูงเดียว และผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว พระบิดาทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเรา เพื่อจะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก ไม่มีใครเอาชีวิตไปจากเราได้ แต่เราเองสมัครใจสละชีวิตนั้น เรามีอำนาจที่จะสละชีวิตของเรา และมีอำนาจที่จะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก นี่คือพระบัญชาที่เราได้รับจากพระบิดาของเรา”

 

ข้อคิด
     พระศาสนจักร 350 ปีมิสซังสยาม ยังคงอยู่ในหนทางที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานพระพรผ่านทางพระจิตเจ้า ขณะที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงด้วยวิทยาการต่างๆ พระศาสนจักรต้องไม่หยุดนิ่งเช่นกันเพราะพระจิตเจ้าที่แต่ละคนรับไว้ในชีวิตคริสตชน ต้องแสดงฐานะเป็นประกาศก ประกาศข่าวดี ข่าวความรอดพ้น จากความมืดของธรรมชาติฝ่ายต่ำ สู่ความสว่างของความจริงความรัก และความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยไม่เสียดายชีวิตของโลกนี้

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2020 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 2:14ก,36-41
     เปโตรยืนขึ้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วยเสียงดังว่า “ขอให้เผ่าพันธุ์อิสราเอลทั้งมวลรู้แน่เถิดว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูผู้นี้ที่ท่านทั้งหลายนำไปตรึงบนไม้กางเขน ให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสตเจ้า”
     ถ้อยคำเหล่านี้ เสียดแทงใจของทุกคน เขาเหล่านั้น จึงถามเปโตรและอัครสาวกอื่นๆ ว่า “พี่น้อง พวกเราจะต้องทำอย่างไร” เปโตรตอบว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเถิด แต่ละคนจงรับศีลล้างบาปเดชะพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะได้รับการอภัยบาป แล้วท่านจะได้รับพระพรของพระจิตเจ้า พระสัญญานี้มีไว้สำหรับท่านทั้งหลาย สำหรับบุตรหลานของท่านและสำหรับทุกคนที่อยู่ห่างไกล ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราจะทรงเรียก” เปโตรกล่าวถ้อยคำอีกมาก อ้อนวอน และตักเตือนเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงช่วยตนให้รอดพ้นจากคนชั่วร้ายในยุคนี้เถิด” คนเหล่านั้นรับถ้อยคำของเปโตรและได้รับศีลล้างบาป วันนั้นผู้มีความเชื่อมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกประมาณสามพันคน

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง     1 ปต 2:20ข-25
     ลูกที่รักยิ่ง ถ้าท่านทำความดี แล้วยอมทนทุกข์ จึงจะเป็นพระหรรษทานของพระเจ้าพระเจ้าทรงเรียกท่านให้ปฏิบัติดังนี้ พระคริสตเจ้าทรงรับทรมานเพื่อท่าน และประทานแบบฉบับไว้ให้ท่านดำเนินตามรอยพระบาท พระองค์มิได้ทรงกระทำบาป มิได้ตรัสหลอกลวงผู้ใด เมื่อเขาดูหมิ่นพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงโต้ตอบ เมื่อทรงรับทรมาน พระองค์มิได้ทรงข่มขู่จะแก้แค้น แต่ทรงมอบพระองค์ไว้แด่พระผู้ทรงพิพากษาด้วยความเที่ยงธรรม พระองค์ทรงแบกบาปของเราไว้ในพระวรกายบนไม้กางเขน เพื่อเราจะได้ตายจากบาปและมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม รอยแผลของพระองค์รักษาท่านให้หาย ท่านเคยเป็นเหมือนแกะที่พลัดหลงจากฝูง แต่บัดนี้กลับมาหาผู้เลี้ยงและผู้ดูแลวิญญาณของท่านแล้ว

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 10:1-10
    เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่ไม่เข้าคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าทางอื่น ก็เป็นขโมยและโจร ผู้ที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ คนเฝ้าประตูย่อมเปิดประตูให้เขาเข้าไป บรรดาแกะก็ฟังเสียงเขา เขาเรียกชื่อแกะของตนทีละตัว และพาออกไปข้างนอก เมื่อเขาพาแกะออกไปหมดแล้ว เขาจะเดินนำหน้า และแกะก็ตามไปเพราะจำเสียงของเขาได้ แกะจะไม่ตามคนแปลกหน้าเลย แต่จะหนีจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของคนแปลกหน้า”
     พระเยซูเจ้าตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้คนเหล่านั้นฟัง แต่เขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นหมายถึงสิ่งใด
พระเยซูเจ้ายังตรัสกับเขาอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราเป็นประตูคอกแกะ ทุกคนที่มาก่อนหน้าเรา เป็นขโมยและโจร แต่แกะมิได้ฟังเสียงของเขาเหล่านั้น เราเป็นประตู ผู้ที่เข้ามาทางเราก็จะรอดพ้น เขาจะเข้าจะออก และจะพบทุ่งหญ้า ขโมยย่อมมา เพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย เรามา เพื่อให้แกะมีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์”


ข้อคิด
     หนทางที่พระเยซูเจ้าประกาศให้บรรดาอัครสาวกรับไว้ ไม่ใช่ทางสะดวก เพราะทรงทราบล่วงหน้าว่า การรับฟังพระวาจาแต่ไม่นำไปปฏิบัติในชีวิต ย่อมทำให้หนทางตีบตันและหาทางออกลำบาก นักบุญเปโตรจึงเขียนจดหมายถึงศิษย์ในบทอ่านที่สองของวันนี้ว่า ถ้าทำความดีแล้วยอมทนทุกข์ จะเป็นพระหรรษทานของพระเจ้า จงวางใจในพระเจ้าเสมอ แล้วพระองค์จะเดินนำหน้า พาสู่ชีวิตปลอดภัย

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2020 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                              กจ 11:19-26
     ในครั้งนั้น การเบียดเบียนที่เกิดขึ้นสมัยสเทเฟนทำให้บรรดาศิษย์กระจัดกระจายไปและมาถึงแคว้นฟีนีเซีย เกาะไซปรัสและเมืองอันทิโอก บรรดาศิษย์ประกาศพระวาจาแก่ชาวยิวเท่านั้น ในบรรดาคนเหล่านี้ บางคนเป็นชาวไซปรัสและชาวไซรีน เขาไปถึงเมืองอันทิโอก เทศน์สอนชาวกรีกด้วย ประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา คนจำนวนมากเชื่อและกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
     บรรดาศิษย์ในพระศาสนจักรที่กรุงเยรูซาเล็มรู้ข่าวนี้ จึงส่งบารนาบัสไปยังเมืองอันทิโอก เมื่อบารนาบัสมาถึงและเห็นผลแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า ก็มีความชื่นชม จึงเตือนทุกคนให้มีจิตใจซื่อสัตย์มั่นคงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า บารนาบัสเป็นคนดี เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า จึงมีผู้คนจำนวนมากเข้ามาเป็นศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
บารนาบัสเดินทางไปที่เมืองทาร์ซัสเพื่อตามหาเซาโล เมื่อพบแล้ว ก็พามาที่เมือง อันทิโอก ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในพระศาสนจักรที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม สั่งสอนคนจำนวนมาก ที่เมืองอันทิโอกนี้เองบรรดาศิษย์ได้รับชื่อว่า “คริสตชน” เป็นครั้งแรก

 

สดด 87:1-3,4-5,6-7

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 10:22-30
     ขณะนั้นเป็นเทศกาลฉลองพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม และเป็นฤดูหนาว พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินอยู่ในพระวิหารที่เฉลียงซาโลมอน ชาวยิวมาล้อมพระองค์ไว้ ทูลว่า “ท่านจะปล่อยให้ใจของพวกเราสงสัยอยู่นานเท่าใด ถ้าท่านเป็นพระคริสตเจ้า ก็จงบอกพวกเราให้ชัดเจนเถิด”
     พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกท่านทั้งหลายแล้ว แต่ท่านไม่เชื่อ กิจการที่เราทำในนามของพระบิดาของเราก็เป็นพยานให้เรา แต่ท่านไม่เชื่อ เพราะท่านไม่ใช่แกะของเรา แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักมัน และมันก็ตามเรา เราให้ชีวิตนิรันดรแก่แกะเหล่านั้น และมันจะไม่พินาศเลยตลอดนิรันดร ไม่มีใครแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือเราได้ พระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะเหล่านี้ให้เรา ทรงยิ่งใหญ่กว่าทุกคน และไม่มีใครแย่งชิงไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้ เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน”

 

ข้อคิด
     ความเจริญฝ่ายโลกในรูปของการค้าขายที่สังคมยุคเผยแผ่ข่าวดีของพระเยซูเจ้าต้องแทรกซึมในสังคมนั้นๆ ด้วยเมืองอันทิโอกที่มีการบันทึกว่า ผู้เชื่อในข่าวดีของพระเยซูเจ้า รับชื่อเป็นทางการว่า "คริสตชน" ต้องยึดมั่นแบบทวนกระแสของสังคมยุคนั้น แต่เมื่อเป็นต้นไม้เล็ก ต้นอ่อน บรรดาธรรมทูต เป็นต้น บารนาบัสและเปาโลต้องประคับประคองเพื่อให้เจริญเติบโต และแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาแก่ผู้อื่น ดังที่พระเยซูเจ้าทรงประกาศวันนี้ว่า "เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน แกะจะไม่พินาศแม้แต่ตัวเดียว"

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown