มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2016 ระลึกถึง น.มาร์ติน แห่งตูร์ พระสังฆราช

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่สอง     2 ยน 1:4-9
     ข้าพเจ้ามีความปีติมากที่รู้ว่า บุตรบางคนของท่านดำเนินชีวิตตามความจริงตลอดมา โดยปฏิบัติตามที่เราได้รับพระบัญชาจากพระบิดา เวลานี้ ข้าพเจ้าเขียนมาขอให้ท่านทั้งหลายที่เป็นพระศาสนจักรทำสิ่งหนึ่ง สิ่งนี้ไม่ใช่บทบัญญัติใหม่ แต่เป็นบทบัญญัติที่เรามีมาตั้งแต่แรกเริ่ม นั่นคือ เราจงรักกันเถิด
     ความรักคือการดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติ บทบัญญัตินี้ท่านเรียนรู้มาแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม คือให้ดำเนินชีวิตในความรัก
คนหลอกลวงจำนวนมากออกไปทั่วโลก พวกนี้ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสตเจ้าเสด็จมาเป็นมนุษย์ คนเหล่านี้คือคนหลอกลวงและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้า ท่านจงระวังไว้ มิฉะนั้นงานทุกอย่างของเราจะสูญเปล่า และท่านจะไม่ได้รับค่าตอบแทนอย่างสมบูรณ์ ผู้ใดไม่ดำรงอยู่ในคำสอนของพระคริสตเจ้า และออกไปจากคำสอนนั้น เขาไม่มีพระเจ้าอยู่กับตน แต่ผู้ที่ดำรงอยู่ในสิ่งที่ทรงสอนเท่านั้นมีพระบิดาและพระบุตรอยู่ด้วย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 17:26-37
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาสาวกว่า “เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นในสมัยของโนอาห์ฉันใด ก็จะเกิดขึ้นในสมัยของบุตรแห่งมนุษย์ฉันนั้น ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานเป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ น้ำวินาศก็ได้ท่วมเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น ในสมัยของโลทก็เช่นเดียวกัน ผู้คนกิน ดื่ม ซื้อขาย ปลูกพืช สร้างบ้าน แต่ในวันที่โลทออกจากเมืองโสโดม ไฟและกำมะถันได้ตกจากท้องฟ้ามาเผาผลาญเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น ในวันที่บุตรแห่งมนุษย์จะทรงสำแดงองค์ ก็จะเป็นเช่นเดียวกันด้วย
     ในวันนั้น คนที่อยู่บนดาดฟ้าและมีข้าวของอยู่ในบ้าน จงอย่าลงมาเอาของเหล่านั้นเลย คนที่อยู่ในทุ่งนาก็เช่นเดียวกัน จงอย่าหวนกลับมาอีก ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงเรื่องภรรยาของโลทไว้เถิด ผู้ใดที่พยายามรักษาชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น และผู้ใดที่เสียชีวิตของตน ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้ได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนนั้น สองคนที่นอนเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้” บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า “เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่ใด พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงตอบว่า “ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดาแร้งจะมาชุมนุมกัน”

 

ข้อคิด
     สังคมที่เราดำรงชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เป็นสังคมเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญอย่างมาก เราได้เห็นการประดิษฐ์เครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เมื่อเราอยู่ในสภาพแบบนี้ อาจทำให้เราเหินห่างจากองค์พระผู้สร้างของเราโดยไม่รู้ตัว เราเองจะต้องดำเนินชีวิตอยู่ในความจริง ที่พระเจ้านำมาสู่เรามนุษย์ และวอนขอพระองค์ให้เราไวต่อการดลใจของพระจิตในชีวิตของเราเช่นกัน เพื่อเราจะได้ไม่หลงอยู่ในโลกที่ไร้แก่นสาร

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2016 ระลึกถึง น.โยซาฟัต พระสังฆราชและมรณสักขี

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์น อัครสาวก ฉบับที่สาม      3 ยน 1:5-8
      เพื่อนรัก ท่านทำงานอย่างซื่อสัตย์โดยช่วยเหลือพี่น้องแปลกหน้าเหล่านี้ เขาเป็นพยานยืนยันต่อพระศาสนจักรถึงความรักของท่าน เป็นการดีที่ท่านจะช่วยเขาให้เดินทางต่อไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า เขาเดินทางไปเพราะเห็นแก่พระนามพระคริสตเจ้าเท่านั้น และไม่ได้รับสิ่งใดจากคนต่างศาสนา เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้อนรับ และร่วมงานกับบุคคลเหล่านี้ในงานเผยแผ่ความจริง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 18:1-8
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาเรื่องหนึ่งแก่บรรดาศิษย์เพื่อสอนว่าจำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย พระองค์ตรัสว่า “ผู้พิพากษาคนหนึ่งอยู่ในเมืองหนึ่ง เขาไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด หญิงม่ายคนหนึ่งอยู่ในเมืองนั้นด้วย นางมาพบเขาครั้งแล้วครั้งเล่าพูดว่า ‘กรุณาให้ความยุติธรรมแก่ดิฉันสู้กับคู่ความเถิด’ ผู้พิพากษาผู้นั้นไม่ยอมทำตามที่นางขอร้องจนเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จึงคิดว่า ‘แม้ว่าฉันไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด แต่เพราะหญิงม่ายผู้นี้มาทำให้ฉันรำคาญ ฉันจึงจะให้นางได้รับความยุติธรรม เพื่อมิให้นางรบเร้าฉันอยู่ตลอดเวลา’”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงฟังคำที่ผู้พิพากษาอธรรมคนนั้นพูดซิ แล้วพระเจ้าจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่ผู้เลือกสรรที่ร้องหาพระองค์ทั้งวันทั้งคืนดอกหรือ พระองค์จะไม่ทรงช่วยเขาทันทีหรือ เราบอกท่านทั้งหลายว่าพระองค์จะประทานความยุติธรรมแก่เขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา จะทรงพบความเชื่อในโลกนี้หรือ”

 

ข้อคิด
     พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนหลายประการในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน สิ่งแรก เราต้องภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย การภาวนาคือเครื่องพิสูจน์ที่ดียิ่งสำหรับผู้ที่อุทิศตนเพื่อพระคริสตเจ้า และเป็นอาวุธที่ทรงพลานุภาพที่จะช่วยเราให้สามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่าง พระเจ้าทรงทราบทุกอย่างว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราและการภาวนาต้องมาจากน้ำใสใจจริงด้วย ประการที่สองเราต้องทำส่วนของเราให้ดีที่สุดและประการที่สามเราต้องแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า ที่สำคัญเราภาวนามิใช่เพื่อเปลี่ยนพระประสงค์ของพระเจ้า แต่เพื่อแสวงหาและทำตามพระประสงค์ของพระองค์

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2016 สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์                                               วว 1:1-4,2:1-5ก
     ต่อไปนี้เป็นการเปิดเผยเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่พระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะได้แจ้งแก่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ถึงสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ พระเยซูคริสตเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์มาพบยอห์นผู้รับใช้ของพระองค์เพื่ออธิบายความหมาย ยอห์นเป็นพยานถึงพระวาจาของพระเจ้าและเป็นพยานถึงคำยืนยันของพระเยซูคริสตเจ้าตามที่เขาเห็น ความสุขจงมีแก่บรรดาผู้อ่านและผู้ฟังถ้อยคำของการประกาศพระวาจานี้และปฏิบัติตามข้อความที่เขียนไว้ เพราะเหตุการณ์นั้นใกล้เข้ามาแล้ว
จากยอห์น ถึงพระศาสนจักรทั้งเจ็ดแห่งในแคว้นอาเซีย ขอพระหรรษทานและสันติสุขสถิตกับท่านทั้งหลาย จากพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบัน ผู้ทรงดำรงอยู่ในอดีตและผู้เสด็จมา จากจิตทั้งเจ็ดซึ่งอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระองค์
     จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของพระศาสนจักรที่เมืองเอเฟซัสว่า “พระองค์ผู้ทรงถือดาวทั้งเจ็ดดวงไว้ในพระหัตถ์ขวา และทรงดำเนินอยู่ในหมู่เชิงตะเกียงทองคำทั้งเจ็ดเชิง ตรัสดังนี้ เรารู้จักกิจการ ความเหน็ดเหนื่อยและความเพียรทนของท่าน และรู้ว่าท่านทนคนชั่วร้ายไม่ได้ ท่านทดสอบผู้ที่อ้างว่าเป็นอัครสาวก แต่ไม่เป็น และพบว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนพูดคำเท็จ ท่านมีความเพียรทนและทนทุกข์เพราะนามของเรา โดยไม่ท้อถอย ถึงกระนั้น เรามีเรื่องตำหนิท่านด้วย คือท่านละทิ้งความรักที่เคยมีแต่ก่อน ดังนั้น จงระลึกว่าท่านตกจากสภาพเดิมที่เคยเป็น จงกลับใจและทำกิจการอย่างเดิม

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                    ลก 18:35-43
     ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินมาใกล้เมืองเยรีโค ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมทาง เมื่อได้ยินเสียงผู้คนผ่านมา เขาจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนบอกเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่านมา คนตาบอดจึงร้องขึ้นว่า “ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” ผู้คนที่เดินข้างหน้า ได้ดุว่าเขา บอกให้เงียบ แต่เขากลับตะโกนดังยิ่งกว่าเดิมว่า “พระโอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” พระเยซูเจ้าทรงหยุด ตรัสสั่งให้นำคนนั้นเข้ามา เมื่อเขาเข้ามาใกล้ พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านอยากให้เราทำอะไรให้” เขาทูลว่า “พระเจ้าข้า ให้ข้าพเจ้ามองเห็นเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงมองเห็นเถิด ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้อีก และเดินตามพระองค์ไป พลางถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ประชาชนทั้งปวงเห็นเช่นนั้น ต่างร้องสรรเสริญพระเจ้า

 

ข้อคิด
     พระวาจาวันนี้ทำให้เราเห็นพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักความเมตตาสงสารและให้อภัย ซึ่งไม่ใช้เป็นเพียงแค่ความรู้สึกแต่เป็นการกระทำที่แสดงออกที่มาจากภายในจิตใจของพระองค์อย่างแท้จริง เราแต่ละคนน่าจะวอนขอความเชื่อและความวางใจในพระองค์ เหมือนดังเช่นบารทิเมอัส ชายตาบอดคนนี้ได้กลับมองเห็นอีก ขอพระองค์โปรดสอนให้เราแต่ละคน ให้รู้จักร้องเรียกหาพระองค์เสมอ คือ การเปิดดวงตาแห่งจิตที่นำพระองค์เข้ามาประทับ มารักษา และเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไปในเราแต่ละคน เพื่อที่จะมองเห็นความจริงที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือการติดตามพระเยซูเจ้าอย่างจริงจัง เพราะพระองค์เป็นหนทาง ความจริง และชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน 2016 สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกมาลาคี                                 มลค 3:19-20ก
     พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า “ดูซิ วันนั้นกำลังมาถึง คือวันที่จะลุกไหม้เหมือนเตาอบ แล้วคนอวดดีทั้งหลายและคนทำความชั่วร้ายทุกคนจะเป็นเหมือนซังข้าว วันที่จะมานั้นจะไหม้เขาทั้งหลาย องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัส จนไม่มีรากหรือกิ่งก้านเหลืออยู่เลย แต่สำหรับท่านทั้งหลายที่ยำเกรงนามของเรา ความเที่ยงธรรมของเราจะขึ้นมาเหมือนดวงอาทิตย์ซึ่งส่องรัศมีรักษาโรคให้หายได้”

 

เพลงสดุดี                                                                   สดด 98:5-6,7-8,9
     ก) จงบรรเลงเพลงพิณถวายพระองค์พระผู้เป็นเจ้า
ด้วยพิณใหญ่คลอเสียงพิณเล็ก
ทั้งเสียงแตรและเสียงเป่าเขาสัตว์
จงโห่ร้องสรรเสริญเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นกษัตริย์
     ข) ทะเลและทุกสิ่งที่อยู่ในทะเล จงส่งเสียงกึกก้อง
แผ่นดินและผู้อาศัยบนแผ่นดินจงทำเช่นเดียวกัน
สายน้ำทั้งหลายจงปรบมือ
ภูเขาทั้งหลายจงโห่ร้องด้วยความยินดีร่วมกัน
     ค) เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์กำลังเสด็จมาเพื่อทรงพิพากษาแผ่นดิน
พระองค์จะทรงพิพากษาโลกด้วยความเที่ยงธรรม
และจะทรงพิพากษาประชาชาติด้วยความยุติธรรม

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่สอง            2 ธส 3:7-12
     พี่น้อง ท่านรู้อยู่แล้วว่า ท่านต้องยึดถือเราเป็นแบบฉบับอย่างไร เพราะเมื่อเราอยู่กับท่าน เรามิได้อยู่นิ่งเฉย เรามิได้กินอาหารของผู้ใดโดยไม่ทำงานตอบแทน แต่เราตรากตรำทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเราจะได้ไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด ทั้งนี้มิใช่เพราะเราไม่มีสิทธิ์ แต่เพื่อทำตนเป็นแบบฉบับแก่ท่าน
     เมื่อเราอยู่กับท่าน เรายังกำชับท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่อยากทำงานก็อย่ากิน แต่เราได้ยินว่า บางท่านดำเนินชีวิตอย่างเกียจคร้านไม่ทำงานเลย แต่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับธุระของผู้อื่น เรากำชับและเตือนคนเช่นนี้ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ให้ทำงานอย่างสงบและหาเลี้ยงชีพด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 21:5-19
     ขณะนั้นบางคนให้ข้อสังเกตว่าพระวิหารมีหินและของถวายตกแต่งอย่างงดงาม พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย” เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และมีเครื่องหมายใดบอกว่าเหตุการณ์นี้กำลังจะเกิดขึ้น”
     พระองค์ตรัสตอบว่า “จงระวังอย่าให้ผู้ใดหลอกลวงท่านได้ หลายคนจะอ้างนามของเรา พูดว่า ‘ฉันเป็นพระคริสต์’ และ ‘เวลากำหนดมาถึงแล้ว’ อย่าตามเขาไป เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามและการปฏิวัติ จงอย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้จำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อน แต่ยังไม่ถึงวาระสุดท้าย” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “ชาติหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชาติหนึ่ง อาณาจักรหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง แผ่นดินไหวใหญ่หลวง ความอดอยาก และโรคระบาดจะเกิดขึ้นหลายแห่ง จะมีเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว และเครื่องหมายยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในท้องฟ้า
     แต่ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น เขาจะจับกุมท่าน จะเบียดเบียนท่าน จะนำท่านไปไต่สวนในศาลาธรรม และจะจองจำท่านในคุก เขาจะนำท่านไปยืนต่อหน้ากษัตริย์และผู้ว่าราชการเพราะนามของเรา และนี่จะเป็นโอกาสให้ท่านเป็นพยานถึงเรา จงตัดสินใจว่าท่านจะไม่หาคำแก้ตัวไว้ก่อน เราจะให้คำพูดและปรีชาญาณแก่ท่าน ซึ่งศัตรูของท่านจะต้านทานหรือโต้แย้งไม่ได้ บิดามารดา พี่น้อง ญาติและมิตรสหายจะทรยศต่อท่าน บางท่านจะต้องถูกประหารชีวิตด้วย ท่านทั้งหลายจะเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะนามของเรา แต่เส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่เสียไปแม้แต่เส้นเดียว ด้วยการยืนหยัดมั่นคงท่านจะรักษาชีวิตของท่านไว้ได้”

 

ข้อคิด
     พระวรสารบทนี้ไม่ง่ายเลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน นั่นคือพระเยซูทรงรู้ว่าบรรดาสาวกของพระองค์จะไม่มีชีวิตที่ราบรื่น พระองค์ทรงเตือนไว้หลายๆที่ด้วยกันว่าบรรดาสาวกของพระองค์จะต้องเผชิญกับปฏิปักษ์และความมุ่งร้ายเช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ประสบมาแล้ว พระเยซูคริสต์ทรงประสงค์ให้เรามีความชัดเจนว่าเราเป็นใครและจุดยืนของเราอยู่ตรงไหน เมื่อผู้ที่เป็นปฏิปักษ์มาถึงเรา เรารู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราและเราสามารถเชื่อวางใจได้ว่าพระเยซูคริสต์จะทรงช่วยเราอย่างไรก็ตาม พระเจ้าตรัสผ่านทางประกาศกมาลาคี เตือนให้เราคิดถึงวันพระเจ้า ที่จะมาถึง จะเป็นวันที่พระเจ้าประทานวันแห่งความยุติธรรมและวันแห่งความยินดี จึงทำให้เรามีความวางใจในพระเจ้า ไม่กลัวความยากลำบาก การเบียดเบียน การผจญล่อลวงต่าง ๆ

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน 2016 น.อัลเบิร์ต พระสังฆราชและนักปราชญ์

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์                                               วว 3:1-6,14-22
     จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของพระศาสนจักรที่เมืองซาร์ดิสว่า “พระองค์ผู้ทรงมีจิตทั้งเจ็ดของพระเจ้าและทรงมีดาวเจ็ดดวง ตรัสว่า เรารู้จักกิจการของท่าน ใครๆ คิดว่าท่านมีชีวิต แต่ท่านตายแล้ว จงตื่นขึ้นและเสริมกำลังส่วนที่เหลือซึ่งใกล้จะตาย เพราะเราไม่ได้พบกิจการใดของท่านดีพร้อมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของเรา จงระลึกเถิดว่า ท่านได้รับ ได้ยินพระวาจาอย่างไร จงปฏิบัติตามและกลับใจเถิด ถ้าท่านไม่ตื่นเฝ้า เราจะมาเหมือนขโมย และท่านจะไม่รู้ว่าเราจะมาพบท่านเมื่อไร แต่มีบางคนที่เมืองซาร์ดิสซึ่งไม่ได้ทำให้เสื้อผ้าของตนมีมลทิน เขาเหล่านั้นจะสวมเสื้อขาวเดินกับเราเพราะเขาเป็นผู้เหมาะสม ผู้ใดมีชัยชนะจะสวมเสื้อขาวเช่นนี้ เราจะไม่ลบนามของเขาออกจากหนังสือแห่งชีวิต เราจะรับรู้นามของเขาเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราและต่อหน้าบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ ผู้มีหู จงฟังสิ่งที่พระจิตเจ้าตรัสแก่พระศาสนจักรทั้งหลายเถิด”
     จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของพระศาสนจักรที่เมืองเลาดิเซียว่า “พระองค์ผู้ทรงเป็นอาเมน ผู้ทรงเป็นพยานที่ซื่อสัตย์และน่าเชื่อถือ ผู้ทรงเป็นปฐมเหตุของทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ตรัสว่า เรารู้จักกิจการของท่าน รู้ว่าท่านไม่เย็นไม่ร้อน ท่านจะเย็นหรือร้อนไปเลยก็จะดีกว่า แต่ท่านมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะท่านอุ่นๆ ไม่เย็นไม่ร้อน เรากำลังจะคายท่านออกจากปากของเรา ท่านพูดว่า ฉันร่ำรวย มีสมบัติมากมายและไม่ต้องการอะไรอีก แต่ท่านไม่รู้ว่าท่านเป็นคนอาภัพ น่าสงสาร ยากจน ตาบอดและเปลือยเปล่า เราแนะนำท่านให้ซื้อทองคำที่หลอมบริสุทธิ์แล้วจากเราเพื่อท่านจะร่ำรวย ซื้อเสื้อขาวเพื่อสวมใส่ปกปิดความเปลือยเปล่าน่าอับอายของท่าน ซื้อยาหยอดตาเพื่อจะแลเห็นได้อีก เราตักเตือนและเฆี่ยนตีสั่งสอนผู้ที่เรารัก ดังนั้น จงมีความกระตือรือร้นและกลับใจ ดูเถิด เรากำลังยืนเคาะประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปกินอาหารร่วมกับเขา เขาจะกินอาหารร่วมกับเรา ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะให้เขานั่งกับเราบนบัลลังก์ เหมือนกับที่เรามีชัยชนะแล้วและได้นั่งกับพระบิดาของเราบนพระบัลลังก์ของพระองค์ ผู้มีหู จงฟังสิ่งที่พระจิตเจ้าตรัสแก่พระศาสนจักรทั้งหลายเถิด”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                      ลก 19:1-10
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะเสด็จผ่านเมืองนั้น ชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นหัวหน้าคนเก็บภาษี เป็นคนมั่งมี เขาพยายามมองดูว่าใครคือพระเยซูเจ้า แต่ก็มองไม่เห็นเพราะมีคนมากและเพราะเขาเป็นคนร่างเตี้ย เขาจึงวิ่งนำหน้าไป ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ เพื่อให้เห็นพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์กำลังจะเสด็จผ่านไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงที่นั่น ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรตรัสกับเขาว่า “ศักเคียส รีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้” เขารีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี ทุกคนที่เห็นต่างบ่นว่า “เขาไปพักที่บ้านคนบาป” ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจน และถ้าข้าพเจ้าโกงสิ่งใดของใครมา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วันนี้ ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วย บุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อแสวงหาและช่วยคนเลวทรามเสียไปให้รอดพ้น”

 

ข้อคิด
     พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้เป็นการสนทนาระหว่างพระเยซูกับศักเคียสที่เมืองเยรีโค เมื่อศักเคียสเชื่อพระเยซูแล้ว มีอะไรเกิดขึ้น เราเห็นชัดว่า มีการเปลี่ยน แปลงเกิดขึ้น ศักเคียสไม่ได้พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตน แต่ได้ประสบการเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นในชีวิตของตน หมายความว่า พระเยซูทรงเปลี่ยนชีวิตของศักเคียสอย่างสิ้นเชิงเป็นเหมือนคนละคน ประการแรก พระเยซูเจ้าทรงเปลี่ยนฐานะภายในของเขาจากคนบาปให้เป็นลูกของอับราฮัมประการที่สองชีวิตภายนอกของเขาด้วย ส่วนเราเชื่อพระเยซูแล้ว ชีวิตก่อนและหลังเป็นอย่างไร เหมือนเดิม หรือแตกต่างกันไป พี่น้องได้สัมผัสกับชีวิตใหม่ที่น่าอัศจรรย์และน่าตื่นเต้นเหมือนศักเคียสไหม

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown