มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2016 ระลึกถึงพระนางมารีย์พรหมจารีถวายองค์ในพระวิหาร

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์                                             วว 14:1-3,4ข-5
     ข้าพเจ้าเห็นภาพนิมิต ลูกแกะทรงยืนอยู่บนภูเขาศิโยน ประชาชนจำนวนหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคนอยู่กับพระองค์ แต่ละคนมีพระนามของลูกแกะและพระนามพระบิดาของพระองค์เขียนไว้ที่หน้าผาก ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหนึ่งดังจากสวรรค์ เหมือนเสียงน้ำไหลเชี่ยว และเหมือนเสียงฟ้าร้องกึกก้อง เสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินเหมือนเสียงพิณจำนวนมากที่นักเล่นพิณกำลังดีด เขาเหล่านั้นร้องเพลงบทใหม่หน้าพระบัลลังก์ ต่อหน้าผู้มีชีวิตทั้งสี่ตนและต่อหน้าบรรดาผู้อาวุโส ไม่มีใครเรียนรู้บทเพลงนี้ได้ นอกจากคนบนแผ่นดินจำนวนหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคนผู้ได้รับการไถ่กู้ เขาบริสุทธิ์เหมือนพรหมจารี เพราะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า เขาติดตามลูกแกะไปทุกแห่งที่พระองค์เสด็จ ในบรรดามนุษย์ทั้งหลาย คนเหล่านั้นเป็นผู้ได้รับการไถ่กู้ เป็นเหมือนผลแรกถวายแด่พระเจ้าและลูกแกะ ปากของเขาไม่เคยกล่าวคำเท็จ เขาไม่มีมลทิน

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                    ลก 21:1-4
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นคนมั่งมีกำลังใส่เงินถวายลงในตู้ทาน ทรงเห็นหญิงม่ายยากจนคนหนึ่งใส่เหรียญทองแดงสองเหรียญลงในตู้ทานด้วย จึงตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ทำทานมากกว่าทุกคน เพราะทุกคนนำเงินที่เหลือใช้มาทำทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมดสำหรับเลี้ยงชีพมาทำทาน”

 

ข้อคิด
     หญิงม่ายในพระวรสารวันนี้เป็นคนยากจนและไม่มีตำแหน่งชื่อเสียงอะไร แต่ความศรัทธาที่เรียบง่ายและสุภาพถ่อมตนของนางโดดเด่นมากในสายพระเนตรของพระเยซูเจ้าและตรงกันข้ามกับความหยิ่งจองหองและความทะเยอทะยานของผู้นำศาสนาบางคนในสมัยนั้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งกว่านั้น ทานที่นางให้ยังแตกต่างจากทานที่คนอื่นให้ในวันนั้นด้วย คนอื่นนำเงินที่เหลือใช้มาทำทาน แต่ด้วยความไว้วางใจในพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้าหญิงม่ายคนนี้ได้นำเงินทั้งหมดสำหรับเลี้ยงชีพมาทำทาน แน่นอน ในวันต่อไปนางจะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นางมีเงินเหลืออยู่เพียงเหรียญทองแดงสองเหรียญเท่านั้น และนางได้ใส่ลงในตู้ทานทั้งหมด นางสามารถเก็บเหรียญหนึ่งไว้สำหรับเลี้ยงชีพตนเอง แต่การรับใช้พระเจ้าที่แท้จริงไม่สามารถเป็นแบบครึ่งๆ กลางๆ และนางได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงประการนี้ นางได้ให้ทั้งหมดและทุ่มเทแบบสุดๆ

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2016 ระลึกถึง น.เซซีลีอา พรหมจารีและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์                                               วว 14:14-19
     ข้าพเจ้าเห็นนิมิต มีเมฆขาวก้อนหนึ่ง บนเมฆนั้นมีผู้หนึ่งเหมือนบุตรแห่งมนุษย์นั่งอยู่ ศีรษะสวมมงกุฎทองคำ มือถือเคียวคม ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกจากพระวิหารร้องเสียงดังบอกผู้ที่นั่งอยู่บนก้อนเมฆว่า “จงใช้เคียวของท่านเกี่ยวเถิด เพราะเวลาเก็บเกี่ยวมาถึงแล้ว และพืชผลของแผ่นดินพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว” ผู้ที่นั่งบนเมฆจึงใช้เคียวเกี่ยวลงไปบนแผ่นดิน และพืชผลของแผ่นดินก็ถูกเก็บเกี่ยว
     ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกจากพระวิหารในสวรรค์ ถือเคียวคมมาด้วย ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งมีอำนาจเหนือไฟออกมาทางพระแท่นบูชา ร้องเสียงดังบอกทูตสวรรค์ผู้ถือเคียวคมว่า “จงใช้เคียวคมของท่านเก็บพวงองุ่นจากสวนองุ่นของ แผ่นดิน เพราะผลองุ่นสุกแล้ว” ทูตสวรรค์นั้นจึงใช้เคียวเกี่ยวลงไปบนแผ่นดิน เก็บเกี่ยวสวนองุ่นของแผ่นดิน แล้วโยนผลองุ่นลงไปในบ่อย่ำองุ่นบ่อใหญ่ซึ่งหมายถึงการลงโทษจากพระเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 21:5-11
     ขณะนั้นบางคนให้ข้อสังเกตว่าพระวิหารมีหินและของถวายตกแต่งอย่างงดงาม พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย” เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และมีเครื่องหมายใดบอกว่าเหตุการณ์นี้กำลังจะเกิดขึ้น”
     พระองค์ตรัสตอบว่า “จงระวังอย่าให้ผู้ใดหลอกลวงท่านได้ หลายคนจะอ้างนามของเรา พูดว่า ‘ฉันเป็นพระคริสต์’ และ ‘เวลากำหนดมาถึงแล้ว’ อย่าตามเขาไป เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามและการปฏิวัติ จงอย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้จำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อน แต่ยังไม่ถึงวาระสุดท้าย” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “ชาติหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชาติหนึ่ง อาณาจักรหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง แผ่นดินไหวใหญ่หลวง ความอดอยาก และโรคระบาดจะเกิดขึ้นหลายแห่ง จะมีเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว และเครื่องหมายยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในท้องฟ้า”

 

ข้อคิด
     ทำไมพระศาสนจักรจึงให้ภาพที่น่าสะพรึงกลัวกับเราในตอนท้ายของปีพิธีกรรม? เป็นไปได้ว่าพระศาสนจักรซึ่งสานต่อพันธกิจแห่งการไถ่กู้ของพระเยซูเจ้า ต้องการนำผู้คนมาหาพระองค์ให้มากเท่าที่จะทำได้ ทั้งพระเจ้าและพระศาสนจักรรู้ว่าบางคนจะตอบรับเสียงเรียกและความรักที่พระองค์ได้ทรงทุ่มเทเพื่อพวกเขา อย่างไรก็ตาม มีบางคนอาจต้องการคำเตือนเกี่ยวกับผลที่ตามมาของการกระทำของพวกเขาเพื่อว่าพวกเขาจะตระหนักถึงความสำคัญของพระเยซูเจ้าในชีวิต บางครั้ง ความกลัวที่จะไม่บรรลุถึงชีวิตนิรันดร หรือความกลัวตกนรก เป็นแรงจูงใจอันหนึ่งที่ทำให้หลายคนต้องทำความดี ดำเนินชีวิตตามหลักศีลธรรมอันดีงาม พระเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ดี พระองค์จึงทรงนำภาพเหล่านี้มาเตือนเรา เพื่อเราจะเข้าใจว่าชีวิตที่ปราศจากพระองค์นั้นเป็นอย่างไร เราจะได้ระวังตัวเองและทำสิ่งที่ควรทำ ดังนั้น เราต้องเข้าใจว่าที่พระองค์เตือนเราด้วยภาพที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงต้องการให้เราอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ตลอดนิรันดรนั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน 2016 ระลึกถึง น.อันดรูว์ ดุง-ลัก พระสงฆ์ และเพื่อนมรณสักขีชาวเวียดนาม

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์                                              วว 18:1-2,21-23,19:1-3,9ก
      หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงจากสวรรค์ มีอำนาจยิ่งใหญ่ ทำให้แผ่นดินสว่างจ้าด้วยความรุ่งโรจน์ของเขา เขาร้องตะโกนเสียงดังว่า “บาบิโลนล่มแล้ว บาบิโลนนครใหญ่ล่มแล้ว กลายเป็นที่อาศัยของบรรดาปีศาจ เป็นที่ขังบรรดาจิตโสโครก เป็นที่ขังบรรดานกโสโครก และเป็นที่ขังสัตว์ร้ายโสโครกและน่ารังเกียจทั้งหลาย
     ทูตสวรรค์ทรงพลังองค์หนึ่งยกหินก้อนหนึ่งใหญ่เท่าหินโม่ทุ่มลงทะเล กล่าวว่า “บาบิโลนนครใหญ่จะถูกทุ่มลงอย่างรุนแรงเช่นนี้ จะไม่มีใครพบเห็นนครนี้อีกเลย”
     จะไม่มีใครได้ยินเสียงคนดีดพิณ คนเล่นดนตรี คนเป่าขลุ่ย คนเป่าแตรในเจ้าอีกต่อไป จะไม่มีใครพบเห็นนายช่างใดๆ ในเจ้าอีกต่อไป จะไม่มีใครได้ยินเสียงหินโม่ในเจ้าอีกต่อไป แสงตะเกียงจะไม่ส่องสว่างในเจ้าอีกต่อไป จะไม่มีใครได้ยินเสียงเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในเจ้าอีกต่อไป เพราะบรรดาพ่อค้าของเจ้าล้วนเคยเป็นใหญ่ในแผ่นดิน และเวทมนตร์ของเจ้าล่อลวงนานาชาติให้ลุ่มหลง
     ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังในสวรรค์เหมือนเสียงของประชาชนจำนวนมากร้องว่า “อัลเลลูยา ความรอดพ้น พระสิริรุ่งโรจน์ พระอานุภาพเป็นของพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์ทรงพิพากษาอย่างสัตย์จริงและยุติธรรม พระองค์ทรงพิพากษาลงโทษหญิงแพศยาผู้เลวร้าย ซึ่งล่วงประเวณี ทำให้แผ่นดินเสื่อมทราม พระองค์ทรงลงโทษแทนโลหิตของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ซึ่งนางได้ประหารชีวิต” เสียงนั้นยังร้องอีกว่า “อัลเลลูยา ควันไฟจากนครนั้นจะพลุ่งขึ้นตลอดนิรันดร”
ทูตสวรรค์กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “จงบันทึกลงไปว่า ผู้ที่ได้รับเชิญมาในงานวิวาหมงคลของลูกแกะย่อมเป็นสุข”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 21:20-28
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเห็นกองทัพต่างๆ ล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ก็จงรู้ไว้เถิดว่าความพินาศของนครนั้นใกล้เข้ามาแล้ว เวลานั้นผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียจงหนีไปยังภูเขา ผู้ที่อยู่ในกรุงจงรีบออกไปเสีย ผู้ที่อยู่ในชนบทก็จงอย่าเข้ามาในกรุง เพราะวันเหล่านั้นจะเป็นวันพิพากษาลงโทษ ข้อความที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์จะเป็นจริงทุกประการ น่าสงสารหญิงมีครรภ์และหญิงแม่ลูกอ่อนในวันนั้น ทุกขเวทนาใหญ่หลวงจะครอบคลุมทั่วแผ่นดินและพระพิโรธจะลงมาเหนือชนชาตินี้ บางคนจะตายด้วยคมดาบ บางคนจะถูกจับเป็นเชลยไปอยู่ในประเทศต่างๆ กรุงเยรูซาเล็มจะถูกคนต่างศาสนาเหยียบย่ำจนกว่าจะครบเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้
     จะมีเครื่องหมายในดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ ชนชาติต่างๆ บนแผ่นดินจะทนทุกข์ทรมาน ฉงนสนเท่ห์ต่อเสียงกึกก้องของทะเลที่ปั่นป่วน มนุษย์จะสลบไปเพราะความกลัว และหวั่นใจถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในโลก เพราะสิ่งต่างๆ ในท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน หลังจากนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ เมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เริ่มเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายจงยืนตรง เงยหน้าขึ้นเถิด เพราะในไม่ช้าท่านจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว”

 

ข้อคิด
      เมื่อใดก็ตามที่เราต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากลำบากในชีวิตและถูกล่อลวงให้รู้สึกหมดกำลังใจ ท้อแท้สิ้นหวัง อยากจะเลิกติดตามพระเจ้าบนเส้นทางที่เราได้เลือกและกำลังเดินอยู่ในเวลานี้ จำไว้ว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่เราและทรงเฝ้ามองดูเรา พระองค์ทรงพร้อมที่จะช่วยเหลือเราและนำทางเราให้ผ่านพ้นความทุกข์ยากลำบากที่เรากำลังเผชิญอยู่ เราต้องมีความไว้วางใจในความรักของพระองค์ที่มีต่อเราแต่ละคน และเชื่อมั่นว่าความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ในชีวิตเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องผ่านเพื่อเข้าสู่ชีวิตนิรันดร และที่สำคัญให้เรานึกถึงพระดำรัสของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ที่ว่า “ท่านทั้งหลายจงยืนตรง เงยหน้าขึ้นเถิด เพราะในไม่ช้าท่านจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว” (ลก 21:28)

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน 2016 ระลึกถึง น.เคลเมนต์ ที่ 1 พระสันตะปาปาและมรณสักขี ชาวเวียดนาม

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์                                               วว 15:1-4
     ข้าพเจ้าเห็นเครื่องหมายยิ่งใหญ่และน่าพิศวงอีกประการหนึ่งในสวรรค์ ทูตสวรรค์เจ็ดองค์ถือภัยพิบัติเจ็ดประการสุดท้าย เพราะภัยพิบัติทั้งเจ็ดนี้จะทำให้ การลงโทษจากพระเจ้าสิ้นสุดลง ข้าพเจ้าเห็นสิ่งหนึ่งเหมือนทะเลแก้วปนไฟ เห็นบรรดาผู้มีชัยชนะต่อสัตว์ร้าย ต่อรูปปั้นของมัน และต่อเลขชื่อของมันกำลังยืนอยู่ริมทะเลแก้วนั้น ถือพิณของพระเจ้า และขับร้องบทเพลงของโมเสส ผู้รับใช้พระเจ้าและบทเพลงของลูกแกะว่า
     ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ พระราชกิจของพระองค์ยิ่งใหญ่และน่าพิศวงยิ่งนัก ข้าแต่พระราชาแห่งนานาชาติ วิถีทางของพระองค์นั้นเที่ยงธรรมและสัตย์จริง ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าจะไม่ยำเกรงพระองค์และจะไม่ถวายพระเกียรติแด่พระนามพระองค์ เพราะพระองค์ผู้เดียวทรงศักดิ์สิทธิ์ ประชาชาติทั้งหลายจะมาและกราบนมัสการพระองค์ เพราะการพิพากษาเที่ยงธรรมของพระองค์ปรากฏชัดแจ้งแล้ว

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                     ลก 21:12-19
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “แต่ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น เขาจะจับกุมท่าน จะเบียดเบียนท่าน จะนำท่านไปไต่สวนในศาลาธรรม และจะจองจำท่านในคุก เขาจะนำท่านไปยืนต่อหน้ากษัตริย์และผู้ว่าราชการเพราะนามของเรา และนี่จะเป็นโอกาสให้ท่านเป็นพยานถึงเรา จงตัดสินใจว่าท่านจะไม่หาคำแก้ตัวไว้ก่อน เราจะให้คำพูดและปรีชาญาณแก่ท่าน ซึ่งศัตรูของท่านจะต้านทานหรือโต้แย้งไม่ได้ บิดามารดา พี่น้อง ญาติและมิตรสหายจะทรยศต่อท่าน บางท่านจะต้องถูกประหารชีวิตด้วย ท่านทั้งหลายจะเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะนามของเรา แต่เส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่เสียไปแม้แต่เส้นเดียว ด้วยการยืนหยัดมั่นคงท่านจะรักษาชีวิตของท่านไว้ได้”

 

ข้อคิด
     การเบียดเบียนเป็นเครื่องหมายประการหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าพระเจ้ากำลังเรียกเราให้มีความเพียรทนและความเชื่อที่มั่นคงว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราประสบนั้นจะนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร ดังนั้น เราต้องไม่ท้อถอยหรือหมดกำลังใจง่ายๆ ในสมัยของเราการเบียดเบียนมีหลายรูปแบบ อาจเป็นความตรึงเครียดซึ่งคู่สมรสหลายคนรู้สึกเมื่อพวกเขาพยายามที่จะรักษาชีวิตครอบครัวของพวกเขาไว้ให้ตลอดรอดฝั่ง อาจเป็นค่านิยมทางโลก สังคมแบบวัตถุนิยมที่สร้างแรงกดดันต่อการดำเนินชีวิตของเราตามคุณค่าพระวรสาร หรืออาจเป็นความท้อแท้ใจส่วนตัวของเราก็ได้ แทนที่จะมองความเป็นจริงเหล่านี้ในทางลบ เราควรพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส พยายามมองพวกมันในฐานะรูปแบบหนึ่งของเครื่องหมายแห่งความรักจากพระเจ้าเพื่อทดสอบความเชื่อและความซื่อสัตย์ของเรา เราต้องพยายามยืนหยัดต่อสู้ด้วยความเพียรทน และต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงมีพระหรรษทานที่เพียงพอสำหรับเราในยามที่เราต้องการเสมอ

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2016 สัปดาห์ที่ 34 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์                                                  วว 20:1-4,11-21:2
     ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ถือกุญแจแห่งบาดาลและโซ่ใหญ่เส้นหนึ่ง เขาจับมังกร หรืองูดึกดำบรรพ์คือปีศาจและซาตาน แล้วล่ามมันไว้เป็นเวลาหนึ่งพันปี โยนมันลงไปในบาดาล ปิดกุญแจทางเข้าและประทับตราไว้ข้างบน เพื่อมิให้มันหลอกลวงนานาชาติให้หลงผิดได้อีกจนกว่าจะครบกำหนดหนึ่งพันปี หลังจากนั้น มันจะต้องถูกปล่อยออกมาชั่วระยะเวลาสั้นๆ
ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายองค์ และบรรดาผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นได้รับอำนาจที่จะพิพากษา ข้าพเจ้าเห็นวิญญาณของผู้ที่ถูกตัดศีรษะเพราะคำพยานถึงพระเยซูเจ้าและเพราะพระวาจาของพระเจ้า ข้าพเจ้ายังเห็นผู้ที่ไม่ได้กราบนมัสการสัตว์ร้ายและรูปปั้นของมัน และไม่ยอมประทับตราไว้บนหน้าผากหรือที่มือ เขาเหล่านั้นกลับมีชีวิต และเข้าครองราชย์พร้อมกับพระคริสตเจ้าเป็นเวลาหนึ่งพันปี
     ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์ใหญ่สีขาวและเห็นพระองค์ผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์ ท้องฟ้าและแผ่นดินสูญหายไปเฉพาะพระพักตร์พระองค์ แล้วข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ตายทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระบัลลังก์ หนังสือหลายม้วนถูกคลี่ออก หนังสืออีกม้วนหนึ่งคือม้วนหนังสือแห่งชีวิตก็ถูกคลี่ออกด้วย บรรดาผู้ตายถูกพิพากษาตามข้อความที่บันทึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น ตามกิจการของเขา
ทะเลคืนบรรดาผู้ตายที่อยู่ในทะเล ความตายและแดนผู้ตายก็คืนบรรดา ผู้ตายที่อยู่ในแดนผู้ตาย ทุกคนถูกพิพากษาตามกิจการของตน ความตายและแดน ผู้ตายถูกโยนลงไปในทะเลไฟ ทะเลไฟนี้คือความตายครั้งที่สอง ผู้ใดไม่มีชื่อบันทึกอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตก็ถูกโยนลงในทะเลไฟ
     แล้วข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ เพราะฟ้าและแผ่นดินเดิมสูญหายไป ไม่มีทะเล อีกต่อไป ข้าพเจ้าเห็นนครศักดิ์สิทธิ์ คือนครเยรูซาเล็มใหม่ลงมาจากสวรรค์ ลงมาจากพระเจ้า เตรียมพร้อมเหมือนกับเจ้าสาวที่แต่งตัวรอเจ้าบ่าว

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 21:29-33
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสคำอุปมาให้บรรดาศิษย์ฟังว่า “จงมองดูต้นมะเดื่อเทศและต้นไม้ทั้งหลายเถิด เมื่อมันแตกใบอ่อน ท่านย่อมรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว เช่นเดียวกันเมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าคนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่สูญสิ้นไปเลย”

 

ข้อคิด
     หนังสือวิวรณ์ได้รับการเขียนขึ้นระหว่างช่วงเวลาแห่งการเบียดเบียนข่มเหง เมื่อคริสตชนจำนวนมากต้องถูกประหารชีวิตอย่างทารุณและกลายเป็นมรณสักขี คำว่า “มรณสักขี” หรือเราเคยเรียกกันว่า “มารตีร์” ซึ่งเป็นภาษากรีกนั้น แปลตัวตามอักษรว่า “พยาน” บรรดามรณสักขีเป็นพยานถึงความเชื่อโดยทางความตายของพวกเขา แม้ว่าในสมัยของเรายังคงมีคริสตชนจำนวนไม่น้อยในหลายประเทศที่ต้องสละชีวิตของตนเองเพื่อเป็นพยานถึงความเชื่อในพระคริสตเจ้า อย่างไรก็ตาม การเป็นพยานไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นมรณสักขีเท่านั้นจึงจะเป็นพยานได้ ทุกคนที่ตายต่อบาปในชีวิตของเขาเองและดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าถือได้ว่าเป็นพยานถึงความเชื่อของเขาเช่นกัน ดังนั้น ทุกคนที่มั่นคงซื่อสัตย์ต่อความเชื่อของตน ก็จะได้รับรางวัลตอบแทนเช่นเดียวกัน

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown