มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2016 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกดาเนียล                                  ดนล3:25,34-43
     อาซาริยาห์ยืนอธิษฐานภาวนาเสียงดังอยู่กลางไฟว่าดังนี้ “ขออย่าทรงละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดไปเพราะเห็นแก่พระนามพระองค์ ขออย่าทรงทำลายพันธสัญญาของพระองค์เลยขออย่าทรงเพิกถอนพระกรุณาไปจากข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะเห็นแก่อับราฮัมมิตรสหายของพระองค์เพราะเห็นแก่อิสอัคผู้รับใช้ของพระองค์ และเพราะเห็นแก่อิสราเอลผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์พระองค์ทรงสัญญาแก่เขาเหล่านี้ว่า จะให้เขามีลูกหลานจำนวนมากดุจดวงดาวในท้องฟ้าดุจเม็ดทรายบนชายทะเล ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายกลายเป็นชนชาติเล็กน้อยที่สุดวันนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องอับอายทั่วแผ่นดินเพราะบาปของข้าพเจ้าทั้งหลายบัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่มีผู้นำ ไม่มีประกาศก ไม่มีเจ้านาย ไม่มีเครื่องเผาบูชา ไม่มีเครื่องบูชา ไม่มีของถวาย ไม่มีการถวายกำยานไม่มีสถานที่ที่จะถวายผลิตผลแรกแด่พระองค์เพื่อจะได้รับพระกรุณาแต่ขอให้จิตที่ตรมตรอมและใจที่ถ่อมตนเป็นที่พอพระทัย ดังแกะเพศผู้และโคเพศผู้ที่ถวายเป็นเครื่องเผาบูชาดังลูกแกะอ้วนพีนับพันๆ ตัวถวายพระองค์ ขอทรงพระกรุณารับข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นเครื่องบูชาเฉพาะพระพักตร์ในวันนี้แล้วข้าพเจ้าทั้งหลายจะติดตามพระองค์ต่อไป เพราะผู้ที่วางใจในพระองค์ย่อมไม่ได้รับความอับอาย บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายติดตามพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจยำเกรงพระองค์และแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องได้รับความอับอายแต่โปรดทำกับข้าพเจ้าทั้งหลายตามพระกรุณา และตามพระเมตตายิ่งใหญ่ของพระองค์เถิดโปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นด้วยกิจการอัศจรรย์ของพระองค์ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดประทานพระเกียรติแก่พระนามพระองค์เถิด”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ18:21-35
      เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้าถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้าข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้งถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้งแต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง”
     อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้นมีผู้นำชายผู้หนึ่งเข้ามาชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่หนึ่งหมื่นตะลันต์เขาไม่มีสิ่งใดจะชำระหนี้ได้กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขาบุตรภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ผู้รับใช้กราบพระบาททูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิดแล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด’ กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ขณะที่ผู้รับใช้ออกไปก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเหรียญ เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่นพูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไรจงจ่ายให้หมด’
     “เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิดแล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ยอมฟังนำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมดเพื่อนผู้รับใช้อื่นๆเห็นดังนั้นต่างสลดใจมากจึงนำความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมาตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลวข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้องเจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันเหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ 34กษัตริย์กริ้วมากตรัสสั่งให้นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมดพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกันถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”

 

ข้อคิด
     มหาพรต เป็น เทศกาลที่เชิญชวนเรามองเข้ามายังตนเอง เพื่อเห็นความเป็นจริงที่ว่า “...วันนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องอับอายไปทั่วแผ่นดินเพราะบาปของข้าพเจ้าทั้งหลาย...” ความจริงก็คือ ข้าพเจ้าเป็นคนบาปนั่นเอง และความบาปทำให้เราอ่อนแอ ทำให้สายตาของเราพร่ามัว เรามองอะไรไม่ไกลเกินไปกว่าตัวเรา ส่วนคนอื่นเราเห็นเขาราง ๆ เมื่อเราเห็นเราชัดอยู่คนเดียว เราจึงว่า “เรานี้ดีที่สุด”
     เมื่อมีความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นในตัวเรา จงรับรู้เถิดว่า “วิญญาณเรากำลังใกล้จะมืดบอด” เข้าไปทุกที จงรีบเข้ารับการรักษาจากพระเยซูในคลีนิคที่ตู้แก้บาปเถิด

วันพุธที่ 2 มีนาคม 2016 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ                                  ฉธบ4:1,5-9
     โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “บัดนี้ ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ที่ข้าพเจ้าสอนท่านทั้งหลายให้ปฏิบัติ แล้วท่านจะมีชีวิต และเข้ายึดครองแผ่นดินซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงมอบให้ท่าน
     ดูซิ ข้าพเจ้าสอนท่านให้รู้จักข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของข้าพเจ้าทรงบัญชา เพื่อท่านจะได้ปฏิบัติตามในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะเข้าไปยึดครอง ท่านจะต้องปฏิบัติตามอย่างซื่อสัตย์ เพื่อชนชาติอื่นๆ จะได้เห็นว่าท่านมีความเข้าใจและปรีชาญาณ เมื่อเขาได้ยินคำพูดถึงข้อกำหนดเหล่านี้ เขาจะพูดว่า ชนชาติยิ่งใหญ่นี้เท่านั้นเป็นประชากรที่มีความเข้าใจและปรีชาญาณ เพราะไม่มีชนชาติใดแม้ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตามจะมีพระเจ้าอยู่ใกล้ชิด ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราสถิตอยู่ใกล้ชิดเรา ทุกครั้งที่เราร้องทูลพระองค์ ไม่มีชนชาติยิ่งใหญ่ชาติใดมีข้อกำหนดและกฎเกณฑ์เที่ยงธรรมเท่ากับธรรมบัญญัตินี้ที่ข้าพเจ้ากำลังสอนท่านอยู่ในวันนี้
     จงจำใส่ใจ จงทำทุกอย่างเพื่อจะไม่ลืมเหตุการณ์ที่ท่านได้เห็นกับตาตราบที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่าให้เหตุการณ์เหล่านี้เลือนไปจากใจ ท่านจะต้องเล่าให้บุตรหลานทุกรุ่นของท่านฟัง”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                    มธ5:17-20
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศกเรามิได้มาเพื่อลบล้างแต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไปแม้แต่ตัวอักษรหรือจุดเพียงจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จไปดังนั้นผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียวแม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วยจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วยจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์
     เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้วท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย”

 

ข้อคิด
     สวรรค์ คือ เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้... เรียนเก่ง ได้ปริญญามาหลายใบ คนชื่นชมทั่วหน้า แต่ไม่ได้ไปสวรรค์ ... มีประโยชน์อะไร, ทำงานเก่งมาก ลูกน้องเยอะแยะ กิจการยิ่งใหญ่ แต่ไม่ได้ไปสวรรค์ ... มีประโยชน์อะไร, มีเงินในบัญชีธนาคารมากมาย ใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมด ฟุ้งเฟ้ออย่างไรก็ไม่มีวันเกลี้ยง แต่ไม่ได้ไปสวรรค์ ... ชีวิตที่ผ่านมามีประโยชน์อะไร !!! เพราะมนุษย์ทุกคน “ต้องการความสุข” นั่นก็คือ “ต้องการไปสวรรค์” ดังนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกนี้ จึงต้องดำเนินชีวิตคล้ายคลึงกับที่ชาวสวรรค์เขาดำเนินกัน ... ทำอย่างไร ? จงฟังที่พระเยซูสอนและปฏิบัติตาม เพราะพระองค์คือผู้ที่ลงมาจากสวรรค์นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม 2016 น.กาสิมีร์

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโฮเชยา                                   ฮชย14:2-10
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านเถิดท่านได้สะดุดล้มลงเพราะความผิดของท่าน จงเตรียมถ้อยคำที่จะพูดมาด้วย และกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทูลพระองค์ว่า ‘โปรดทรงลบล้างความผิดทั้งหมดและทรงรับสิ่งที่ดี ข้าพเจ้าทั้งหลายจะนำคำสรรเสริญจากปากมาถวายแทนโคเพศผู้อัสซีเรียจะไม่ช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ขี่ม้าอีก จะไม่เรียกสิ่งที่มือของข้าพเจ้าได้สร้างขึ้นอีกต่อไปว่า ‘พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย’ เพราะลูกกำพร้าพบพระกรุณาในพระองค์’”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะรักษาเขาให้หายจากความไม่ซื่อสัตย์ของเขา เราจะรักเขาด้วยใจจริงเพราะเราจะไม่โกรธเขาอีกแล้ว เราจะเป็นเหมือนน้ำค้างสำหรับอิสราเอล เขาจะผลิดอกเหมือนดอกลิลลี่เขาจะหยั่งรากเหมือนต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอนกิ่งก้านของเขาจะแผ่ขยายเขาจะงดงามเหมือนต้นมะกอกเทศ และจะมีกลิ่นหอมเหมือนเลบานอน เขาทั้งหลายจะกลับมานั่งอยู่ใต้ร่มเงาของเราเขาจะปลูกข้าวสาลีอีก จะทำให้เถาองุ่นผลิตผลอุดม มีชื่อเสียงเหมือนเหล้าองุ่นแห่งเลบานอนเอฟราอิมจะต้องเกี่ยวข้องอะไรกับรูปเคารพอีกเราเองจะตอบและดูแลเขาเราเป็นเหมือนต้นไซเปรสใบเขียวสดอยู่เสมอ ท่านจะได้รับผลของท่านจากเรา
     ผู้มีปรีชาพึงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ผู้ใดฉลาดก็จงรู้ เพราะหนทางทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนเที่ยงธรรมผู้ชอบธรรมย่อมเดินตามทางนี้ แต่ผู้ล่วงละเมิดจะสะดุดล้ม”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                                  มก12:28-34
     เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้าได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบได้ดีจึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่นๆ”
     พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คืออิสราเอลเอ๋ยจงฟังเถิดองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจสุดวิญญาณสุดสติปัญญาและสุดกำลังของท่านบทบัญญัติประการที่สองก็คือท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้”
     ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ท่านตอบได้ดีจริงทีเดียวที่ท่านกล่าวว่าพระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นเลยการจะรักพระองค์สุดจิตใจสุดความเข้าใจและสุดกำลังและรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสักการบูชาใดๆทั้งสิ้น”
พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาดจึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระอาณาจักรของพระเจ้า” หลังจากนั้นไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย

 

ข้อคิด
     “ กลับใจ “ เป็นคำสำคัญที่สุดในเทศกาลมหาพรต เป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมและความคิดใหม่ เป็นการเรียกร้องให้เรา “เข้าหาพระเจ้า” ผู้เป็นต้นกำเนิดของชีวิตของเรา...เหตุที่พระเจ้าเรียกร้องให้เรา “รักพระองค์” ก่อนที่จะรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะหัวใจของมนุษย์นั้นมัน “คับแคบ” เราไม่สามารถที่จะรักเพื่อนมนุษย์ได้ทั้งครบ ซึ่งมนุษย์แต่ละคนนั้น มีทั้ง “ดีและไม่ดี” อยู่ในตัวคนเดียวกันไม่เว้นแม้กระทั่งตัวของเราเอง แต่เมื่อหัวใจเราคับแคบ เราจึงรับได้เฉพาะส่วนที่ดี ส่วนที่ไม่ดีเราจะปฏิเสธ ซึ่งความเป็นจริงเราจะต้องเปิด “รับ” เพื่อนพี่น้องทั้งครบ และนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งของความทุกข์ของมนุษย์...ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงเรียกร้องให้เรา “รักพระองค์” ก่อน เพื่อหัวใจของเราจะได้ถูก “ขยายออก” อย่างใหญ่โต จะส่งผลให้เรา “รัก” เพื่อนมนุษย์หรือแม้แต่ตัวเราได้ทั้งครบ หรือ “อย่างที่เขาเป็น” เมื่อนั้นแหละ เราจะพบความสุขของชีวิตอย่างแท้จริง ตั้งแต่บนโลกใบนี้

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2016 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                                   ยรม7:23-28
     พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงฟังเสียงของเรา แล้วเราจะเป็นพระเจ้าของท่าน และท่านจะเป็นประชากรของเรา จงเดินตามทางที่เราจะสั่งท่านไว้ แล้วท่านจะได้อยู่อย่างเป็นสุข”แต่เขาทั้งหลายมิได้เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง กลับดำเนินตามแผนการในความดื้อกระด้างของใจชั่วของตน หันหลังให้เราแทนที่จะหันหน้า ตั้งแต่วันที่บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายออกจากแผ่นดินอียิปต์จนทุกวันนี้ เราได้ส่งประกาศกผู้รับใช้ทุกคนของเราไปหาท่านทั้งหลายครั้งแล้วครั้งเล่าเสมอมาแต่เขาทั้งหลายมิได้เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง กลับดื้อดึงทำความชั่วมากกว่าบรรพบุรุษเสียอีก ท่านจงไปบอกถ้อยคำเหล่านี้ทั้งหมดแก่เขา แต่เขาจะไม่ฟังท่าน ท่านจะเรียกเขา แต่เขาจะไม่ตอบ ท่านจงบอกเขาว่า “นี่คือชนชาติที่ไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของตน และไม่ยอมรับคำสั่งสอน ความซื่อสัตย์ไม่มีอีกแล้ว หายไปจากปากของเขาแล้ว”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                       ลก11:14-23
     เวลานั้นพระเยซูเจ้ากำลังทรงขับไล่ปีศาจซึ่งทำให้คนเป็นใบ้ เมื่อปีศาจออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ แต่บางคนกล่าวว่า “เขาขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” บางคนต้องการจับผิดพระองค์ จึงขอให้พระองค์ทรงแสดงเครื่องหมายจากสวรรค์
     พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกภายใน อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ บ้านเรือนย่อมพังทลายทับกัน ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่า เราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูลถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านขับไล่มันด้วยอำนาจของใคร พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินลงโทษท่าน แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว เมื่อคนแข็งแรงมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านของตน ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย แต่ถ้าผู้ใดแข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมริบอาวุธที่เขามั่นใจนั้น และแบ่งปันข้าวของที่ปล้นได้
     ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ใครไม่รวบรวมสิ่งต่างๆ ไว้กับเรา ย่อมทำให้สิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป”

 

ข้อคิด
     พระวาจาของพระในวันนี้ให้กำลังใจเราว่า “แม้มนุษย์จะดื้อดึงต่อพระเจ้ามากเท่าไหร่ ก็ไม่มากไปกว่าความเพียรของพระเจ้าและพระเมตตาของพระองค์ แม้บาปของมนุษย์จะใหญ่ปานมหาสมุทรทั้งโลกมารวมกันและสูงเท่ากับภูเขาที่มีทั้งหมดที่มี แต่มันก็ไม่ใหญ่ไปกว่าท้องฟ้าหรือความรักของพระเจ้าไปได้เลย” แต่เราจะดื้อดึงต่อพระเจ้าไปเพื่ออะไร? เพราะเมื่อเราดื้อดึงต่อพระเจ้า เราก็กำลัง “เชื่อฟัง” ปิศาจนั่นเอง และปิศาจจะนำเราไปสวรรค์หรือ? ไม่เลย ... ดังนั้น คำสอนของพระเจ้า จง “พยายาม” ที่จะทำตามเถิด มันอาจไม่สมบูรณ์ในเร็ววัน แต่เมื่อมีคำว่า “พยายาม” พระเจ้าก็ดีใจที่สุด และพระองค์จะช่วยให้เราสำเร็จอย่างแน่นอน

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2016 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโฮเชยา                                   ฮชย6:1-6
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “มาเถิด พวกเราจงกลับไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงฉีก และจะทรงรักษาเราให้หายพระองค์ทรงโบยตี และจะทรงพันบาดแผลให้เรา อีกสองวันพระองค์จะทรงให้เราฟื้นวันที่สามจะทรงทำให้เราลุกขึ้น แล้วเราจะมีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ พวกเราจงรู้จัก จงรีบรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิดพระองค์จะเสด็จมาอย่างแน่นอนเหมือนรุ่งอรุณ จะเสด็จมาหาเราเหมือนฝนเหมือนฝนต้นฤดูใบไม้ผลิที่รดพื้นแผ่นดิน”
     “เอฟราอิมเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดีกับท่าน ยูดาห์เอ๋ย เราจะทำอย่างไรดีกับท่าน ความรักของท่านเป็นเหมือนเมฆในยามเช้าเหมือนน้ำค้างที่หายไปตั้งแต่เช้าตรู่ดังนั้น เราจึงใช้บรรดาประกาศกให้ทุบเขาทั้งหลายจนแหลกลาญ เราใช้คำพูดจากปากของเราฆ่าเขา คำพิพากษาของเราจะออกมาเหมือนแสงสว่างเพราะเราต้องการความรักมั่นคง ไม่ประสงค์การถวายบูชา เราต้องการการรู้จักพระเจ้ามากกว่าเครื่องเผาบูชา”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                        ลก18:9-14
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเล่าอุปมาเรื่องนี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่นฟังว่า “มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นชาวฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ 12ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า’
     ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ข้อน-อก พูดว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด’ เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รับความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสีไม่ได้รับ เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”

 

ข้อคิด
      วันนี้พระวาจาของพระกำลังพูดถึงเรื่อง “ศีลอภัยบาป” “บาป” ส่งผลให้วิญญาณของเรามี “บาดแผล” เราจึงรู้สึกไม่สบายใจ ทุกข์ทนและเจ็บปวดกับชีวิต ตู้แก้บาปคือคลีนิคทำแผลที่พระองค์เยียวยาวิญญาณเราแต่ละคนผ่านทางพระสงฆ์และศีลอภัยบาป แต่เงื่อนไขหนึ่งคือ เราจะต้องรู้ตัวก่อนว่าเราเป็น “คนบาป” หรือ “เราเป็นคนป่วย” และ “ต้องการการรักษา” ดังนั้นในพระวรสาร ฟาริสีเขาไม่รู้สึกตัวว่าเขาป่วย เขาจึงไปหาพระเจ้าหรือหมอแต่ไม่ได้อะไรกลับมา นอกจากบาปและแผลในวิญญาณที่กำเริบมากขึ้น แต่คนเก็บภาษีเขารู้ตัว “ว่าเขาป่วยและมีบาป” ทำให้เขาได้รับการรักษาอย่างดี

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown