มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2016 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณ                                           ปชญ2:1ก,12-22
     ผู้ไม่ยำเกรงพระเจ้าใช้เหตุผลผิดๆ คิดว่า “เราจงดักซุ่มทำร้ายผู้ชอบธรรม เพราะเขาทำให้เรารำคาญใจเขาต่อต้านกิจการของเรา เขาตำหนิเราว่าฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ กล่าวหาว่าเราไม่ปฏิบัติตามการอบรมที่ได้รับ เขาอ้างว่าเขารู้จักพระเจ้าเรียกตนเองว่าเป็นบุตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตของเขาเป็นการติเตียนความรู้สึกนึกคิดของเราเพียงแต่เห็นเขา เราก็ทนไม่ได้ เพราะชีวิตของเขาไม่เหมือนกับผู้อื่น ความประพฤติของเขาก็ต่างกับของเรามากเขาคิดว่าเราเป็นคนไร้ค่า เขาหลีกเลี่ยงวิถีชีวิตของเราประหนึ่งว่าเป็นสิ่งปฏิกูลเขาประกาศว่าผู้ชอบธรรมจะมีความสุขในวาระสุดท้ายอวดอ้างว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเขาเราจงดูเถิดว่าคำพูดของเขาจะจริงหรือไม่ เราจงพิสูจน์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่เขาในวาระสุดท้ายถ้าผู้ชอบธรรมเป็นบุตรของพระเจ้าพระองค์ก็จะทรงปกป้องเขา และทรงช่วยเขาให้พ้นเงื้อมมือของศัตรู เราจงสาปแช่งและทรมานลองใจเขา ให้รู้ว่าเขาอ่อนโยนเพียงใดและจงทดสอบว่าเขาอดทนเพียงใด เราจงตัดสินลงโทษให้เขาตายอย่างอัปยศ ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด พระเจ้าจะทรงคอยดูแลเขา”
     ผู้ไม่ยำเกรงพระเจ้าคิดเช่นนี้ แต่เขาคิดผิด ความชั่วร้ายทำให้เขาตาบอด เขาไม่รู้แผนการเร้นลับของพระเจ้าเขาไม่หวังว่าพระเจ้าจะทรงตอบแทนความศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่เชื่อว่าพระองค์จะประทานรางวัลแก่ผู้ดำเนินชีวิตไร้ตำหนิ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                     ยน7:1-2,10,25-30
     หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงพระประสงค์จะเสด็จไปทั่วแคว้นยูเดียเพราะชาวยิวกำลังพยายามจะฆ่าพระองค์
     งานฉลองเทศกาลอยู่เพิงของชาวยิวใกล้เข้ามาแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บรรดาพี่น้องของพระองค์ขึ้นไปร่วมงานฉลองแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปด้วยอย่างเงียบๆ ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดเห็น
     ชาวเยรูซาเล็มบางคนพูดว่า “คนนี้มิใช่หรือที่เขาพยายามจะฆ่า ดูซิ คนนี้กำลังพูดคุยอย่างเปิดเผย และไม่มีใครห้ามปรามเขา หรือบางทีบรรดาหัวหน้าอาจยอมรับว่าเขาเป็นพระคริสต์ พวกเรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน พระคริสต์นั้น เมื่อเสด็จมา ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เสด็จมาจากไหน”
     ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสอนในพระวิหาร พระองค์ตรัสเสียงดังว่า“ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่าเรามาจากไหนเราไม่ได้มาตามใจตนเอง พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะท่านไม่รู้จักพระองค์แต่เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์และพระองค์ทรงส่งเรามา”
     คนเหล่านั้นพยายามจะจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง

 

ข้อคิด
     มนุษย์มักจะมองสิ่งต่าง ๆ รับรู้ และผ่านสิ่งนั้นเข้าไปในใจก่อน แล้วจึงเกิดเป็นความคิด ต่อด้วยการกระทำที่เป็นผลมาจากความคิดนั้น ... ดังนั้น ตัวแปรที่สำคัญคือ “ความบาป” หรือ “กิเลส” ถ้าความบาปหนา เราจะมีความคิดต่อสิ่งต่าง ๆ ออกไปในเชิงลบ เป็นการคิดด่า ตำหนิ ว่า สุดท้ายคือคิด “ทำลาย” ในตัวเรามีความบาปมาก ก็สัมผัสได้ถึงกระแสลบมาก เพราะมันเป็นประเภทเดียวกัน
     ในขณะที่อีกคน มองเห็นเหมือนกัน แต่ความบาปน้อยกว่า เขาก็จะคิดออกมาในเชิงบวกมากกว่า เช่น สงสาร อยากช่วย อยากสวดให้ คือ อยากให้เขาหรือเธอดีขึ้น ดังนั้นการรู้จักตนเอง พิจารณาตนเองเป็น ก็จะช่วยให้เรา “ลดบาป เพิ่มบุญ” ได้ ชีวิตก็จะมีแต่ดีขึ้น มหาพรตนี้ “การรับศีลอภัยบาป” อย่างดี จะช่วยเราได้

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม 2016 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                                   ยรม11:18-20
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งเรื่องนี้แก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็รู้ พระองค์ทรงเปิดเผยแผนร้ายของเขาทั้งหลายแก่ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกแกะว่าง่ายซึ่งถูกนำมายังที่ฆ่า ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าเขากำลังวางแผนร้ายต่อข้าพเจ้า พูดว่า “เราจงทำลายต้นไม้ที่กำลังงอกงามเราจงกำจัดเขาออกจากแผ่นดินของผู้เป็น ชื่อของเขาจะได้ไม่มีผู้ใดระลึกถึงอีกเลย”
     บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลพระองค์ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรม ทรงทดสอบทั้งความรู้สึกและจิตใจของมนุษย์ โปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้มอบคดีของข้าพเจ้าไว้กับพระองค์แล้ว

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                    ยน7:40-53
     เมื่อประชาชนบางคนได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ จึงพูดว่า “คนนี้เป็นประกาศกจริงๆ” บางคนพูดว่า “คนนี้เป็นพระคริสตเจ้า” บางคนพูดว่า “พระคริสตเจ้าจะมาจากแคว้นกาลิลีได้หรือ พระคัมภีร์มิได้กล่าวหรือว่าพระคริสตเจ้าจะต้องมาจากราชวงศ์กษัตริย์ดาวิดและจากเมืองเบธเลเฮมเมืองที่กษัตริย์ดาวิดเคยอยู่” ประชาชนจึงมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับพระองค์ บางคนต้องการจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือจับกุม
     ทหารยามรักษาพระวิหารกลับมาหาบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสี ซึ่งถามเขาว่า “ทำไมท่านทั้งหลายไม่นำเขามาด้วย” ทหารยามตอบว่า “ไม่มีคนใดพูดจาเหมือนกับชายผู้นี้เลย” ชาวฟาริสีถามว่า “ท่านทั้งหลายถูกเขาหลอกลวงไปแล้วหรือ มีหัวหน้าหรือชาวฟาริสีคนใดบ้างที่เชื่อเขา แต่ประชาชนเหล่านี้ที่ไม่รู้เรื่องธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว” ชาวฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส ที่เคยไปหาพระเยซูเจ้าก่อนหน้านั้นกล่าวกับเขาว่า “ธรรมบัญญัติของพวกเราไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดโดยที่มิได้ฟังคำให้การของผู้นั้นและไม่รู้ก่อนว่าเขาทำอะไร” เขาเหล่านั้นจึงตอบว่า “ท่านก็มาจากแคว้นกาลิลีด้วยหรือ จงค้นดูจากพระคัมภีร์เถิด แล้วจะเห็นว่าไม่มีประกาศกคนใดมาจากแคว้นกาลิลีเลย” แล้วทุกคนก็กลับบ้าน

 

ข้อคิด
     โดยธรรมชาติของคนที่ยังอ่อนแอ มักจะ “อวดรู้” เพื่อ ชูตนเองว่าเหนือกว่าใคร สิ่งนี้มันตรงกันข้ามกับพระธรรมชาติของพระเจ้าคือ “ความสุภาพ” คนที่อวดรู้ มักจะมีความจองหองเป็นพื้นฐาน ทำให้เป็นคนที่ไม่ฟังคนอื่น และนี่เป็นการล่อลวงอย่างหนึ่งจากปิศาจ เพราะมันจะส่งผลให้เขา “ไม่ฟังเสียงของพระเจ้าด้วย” แต่คนที่สุภาพเขาจะฟังผู้อื่น เพราะการรับฟังเป็นการ “เคารพศักดิ์ศรี” ของผู้พูด เป็น “การให้เกียรติ” และจะทำให้เขาพบพระปรีชาญาณที่พระเจ้าจะตรัสผ่านทางบุคคลทั่วไป สุดท้ายเขาจะได้ยินเสียงของพระองค์อย่างง่ายดาย และส่งผลให้การดำเนินชีวิตเขาถูกต้องด้วย

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2016 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกดาเนียล                                  ดนล13:41ค-62
     ทุกคนที่มาประชุมกันเชื่อเขา เพราะเขาเป็นผู้อาวุโสผู้พิพากษาประชากร จึงตัดสินลงโทษให้ประหารชีวิตนาง นางสุสันนาร้องตะโกนดังสุดเสียงว่า “ข้าแต่พระเจ้านิรันดร พระองค์ทรงทราบความลับทุกประการ และทรงทราบทุกสิ่งก่อนที่จะเกิดขึ้น พระองค์ทรงทราบว่าทั้งสองคนนี้กล่าวเท็จปรักปรำข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องตายทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดดังที่เขาเหล่านี้กล่าวร้ายปรักปรำข้าพเจ้า”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังเสียงของนาง ขณะที่เขากำลังนำนางไปประหารชีวิต พระเจ้าทรงดลใจชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อดาเนียล เขาร้องตะโกนเสียงดังว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมมีส่วนร่วมในความตายของหญิงผู้นี้” ประชาชนทุกคนหันไปถามเขาว่า “ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”ดาเนียลยืนอยู่ในหมู่คนทั้งหลาย พูดว่า “ชาวอิสราเอลเอ๋ย ทำไมท่านจึงโง่เขลาเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงตัดสินลงโทษหญิงชาวอิสราเอลคนหนึ่งโดยไม่สืบสวนความจริงเสียก่อน จงกลับไปพิจารณาคดีเถิด เพราะคนเหล่านี้เป็นพยานเท็จปรักปรำนาง”
     ประชาชนทุกคนก็รีบกลับไป บรรดาผู้อาวุโสพูดกับดาเนียลว่า “เชิญมานั่งกับพวกเรา จงแสดงความคิดของท่านให้เราฟังเถิด เพราะพระเจ้าประทานความเฉลียวฉลาดเยี่ยงผู้อาวุโสให้แก่ท่าน”ดาเนียลตอบเขาว่า “จงแยกสองคนนี้ให้อยู่คนละแห่ง แล้วข้าพเจ้าจะสอบสวนเขา” เมื่อแยกทั้งสองคนจากกันแล้ว ดาเนียลก็เรียกคนหนึ่งมาถามว่า “ท่านนี่ ยิ่งแก่ก็ยิ่งชั่ว บัดนี้ บาปที่ท่านเคยทำในอดีตก็ปรากฏให้เห็น ท่านเคยตัดสินคดีอย่างอยุติธรรม ลงโทษคนบริสุทธิ์ และยกโทษให้ผู้ทำผิด ทั้งๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘อย่าประหารชีวิตผู้ชอบธรรมและบริสุทธิ์’ บัดนี้ ถ้าท่านเห็นหญิงคนนี้จริงๆ จงบอกซิว่า ท่านเห็นเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้อะไร” เขาตอบว่า “ใต้ต้นยาง” ดาเนียลพูดว่า “โดยแท้จริงแล้ว ท่านพูดเท็จกล่าวโทษตนเอง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะผ่าท่านเป็นสองส่วนตามพระบัญชาของพระองค์”ดาเนียลส่งเขากลับไปยังที่ของตน สั่งให้นำอีกคนหนึ่งออกมา พูดว่า “ท่านนี่เป็นเชื้อสายชาวคานาอัน ไม่ใช่ชาวยูดาห์ ความงดงามหลอกลวงท่าน ตัณหาทำให้ใจของท่านหลงผิดไป ท่านทั้งสองคนเคยทำเช่นนี้กับบุตรหญิงชาวอิสราเอล และเขาเหล่านั้นยอมทำตามใจท่านเพราะความกลัว แต่บุตรหญิงชาวยูดาห์ผู้นี้ทนความชั่วร้ายของท่านไม่ได้ บัดนี้ จงบอกมาซิ ท่านพบเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้อะไร” เขาตอบว่า “ใต้ต้นโอ๊ก”ดาเนียลจึงพูดว่า “โดยแท้จริงแล้ว ท่านพูดเท็จกล่าวโทษตนเอง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าถือดาบคอยฟันท่านเป็นสองท่อน ท่านทั้งสองคนจะต้องตายแน่”
     คนทั้งหลายที่ชุมนุมกันต่างตะโกนเสียงดังด้วยความยินดี ถวายพระพรแด่พระเจ้าผู้ทรงช่วยผู้วางใจในพระองค์ให้รอดพ้น เขาทั้งหลายรุมกล่าวโทษผู้อาวุโสทั้งสองคน เพราะดาเนียลทำให้เขาต้องยอมสารภาพว่าได้เป็นพยานเท็จ ประชาชนจึงลงโทษเขาเช่นเดียวกับที่เขาพยายามทำกับผู้อื่น โดยประหารชีวิตคนทั้งสองตามที่ธรรมบัญญัติของโมเสสกำหนดไว้ ในวันนั้นผู้บริสุทธิ์ก็ได้รอดชีวิต

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                     ยน 8:12-20
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนอีกว่า“เราเป็นแสงสว่างส่องโลกผู้ที่ตามเรามา จะไม่เดินในความมืดแต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต”
     ชาวฟาริสีกล่าวกับพระองค์ว่า “ท่านเป็นพยานให้กับตนเอง คำยืนยันเป็นพยานของท่านจึงไม่น่าเชื่อถือ”
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า“แม้เราจะเป็นพยานให้ตนเองคำยืนยันเป็นพยานของเราก็น่าเชื่อถือเพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหน และกำลังจะไปไหนแต่ท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าเรามาจากไหน และกำลังจะไปไหนท่านพิพากษาตามมาตรการของมนุษย์แต่เราไม่พิพากษาผู้ใดและถึงแม้ว่าเราพิพากษาผู้ใดคำพิพากษาของเราก็น่าเชื่อถือเพราะเราไม่อยู่คนเดียวแต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามานั้นทรงอยู่กับเราด้วยในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายมีเขียนไว้ว่า ‘คำยืนยันเป็นพยานของคนสองคนเป็นที่น่าเชื่อถือ’ เราเป็นพยานให้ตนเองและพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาทรงเป็นพยานให้เราด้วย”
เขาเหล่านั้นจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระบิดาของท่านอยู่ที่ใด”
     พระเยซูเจ้าตรัสว่า“ท่านทั้งหลายไม่รู้จักทั้งเรา ทั้งพระบิดาของเราถ้าท่านรู้จักเรา ท่านคงรู้จักพระบิดาของเราด้วย”
     พระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ในบริเวณที่วางของถวาย ขณะที่ทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหาร ไม่มีผู้ใดจับกุมพระองค์ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง

 

ข้อคิด
     ตอนนี้เราใช้อะไรอ่านชีวิตของเราอยู่ ถ้าเรามองอนาคตของเราไว้แค่ “ความตาย” อนาคตเราก็คงน่าเศร้าสิ้นดี แต่ถ้าเรามองอนาคตตัวเราไว้ที่ “สวรรค์” เราก็คงทำดีมากขึ้น ทำบาปน้อยลง เหมือนคนที่รู้จุดหมายของชีวิตว่า ถ้าเขาต้องการไปต่างประเทศ เขาก็คงต้องเตรียมเสื้อผ้า อาหาร ภาษา และเรียนรู้ประเทศนั้น ๆ และถ้าเป็นไปได้หาคนประเทศนั้นเป็นเพื่อนกันก่อนก็จะอุ่นใจอย่างยิ่ง แต่ถ้าเราไม่สนใจอะไรเลย แล้วถ้าเราต้องไปจริง ๆ เราคงตกใจ เตรียมตัวไม่ทันและในที่สุดก็อดไปหรือถ้าได้ไปก็จะลำบากอย่างยิ่ง
     “ความตาย” ยังไงเราก็ต้องเจอ แต่ “สวรรค์” จะได้ไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเดินทางและเตรียมตัวของเราบนโลกใบนี้ “ลมหายใจของเราสั้นลงไปทุกวัน” จงเดินตามพระเจ้าเถิด แล้วเราจะถึงสวรรค์อย่างแน่นอน

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2016 สัปดาห์ที่ 5เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                                    อสย 43:16-21
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ “พระองค์ผู้ทรงเบิกทางในทะเลทรงสร้างทางเดินในน้ำเชี่ยวพระองค์ทรงนำรถศึกและม้าทรงนำกองทัพและนักรบที่กล้าหาญออกมาเขาเหล่านั้นล้มลงแล้วลุกขึ้นไม่ได้อีกเลยเขามอดดับเหมือนไส้ตะเกียงและสูญหาย”
     พระองค์ตรัสว่า“อย่าจดจำเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วอย่าคิดถึงเรื่องราวในอดีตอีกต่อไปดูเถิด เรากำลังจะทำสิ่งใหม่โดยแท้จริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านไม่รู้ดอกหรือเราจะเบิกทางในถิ่นทุรกันดารเราจะทำให้เกิดแม่น้ำขึ้นในที่แห้งแล้งแม้กระทั่งสัตว์ป่าก็จะถวายเกียรติแก่เราคือหมาในและนกกระจอกเทศเพราะเราให้น้ำในถิ่นทุรกันดาร และให้แม่น้ำในที่แห้งแล้งเพื่อประชากรที่เราเลือกสรรจะได้มีน้ำดื่มประชากรที่เราสร้างไว้สำหรับเราจะร้องสรรเสริญเรา”

 

เพลงสดุดี                                                                           สดด 126:1-2,3-4,5-6
     ก) เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำบรรดาเชลยกลับมาสู่ศิโยน
ดูเหมือนว่าเรากำลังฝันอยู่
ขณะนั้น ปากของเรากำลังหัวเราะ
ลิ้นของเรามีแต่เสียงโห่ร้องยินดี
ขณะนั้น นานาชาติก็พูดว่า
"องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำกิจการยิ่งใหญ่เพื่อเขาทั้งหลาย"
     ข) ถูกต้องแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำกิจการยิ่งใหญ่เพื่อเรา
และเราก็มีความยินดี
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงเปลี่ยนสภาพของข้าพเจ้าทั้งหลายให้กลับดีเช่นเดิม
เหมือนธารน้ำบริเวณเนเกบ
     ค) ผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา
ย่อมโห่ร้องยินดีเมื่อเก็บเกี่ยว
เขาเดินพลาง ร้องไห้พลาง
หอบเมล็ดพืชไปหว่าน
ยามกลับมา เขาโห่ร้องด้วยความยินดี
นำฟ่อนข้าวกลับมาด้วย

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวฟิลิปปี         ฟป 3:8-14
     พี่น้อง นับแต่บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งไม่มีประโยชน์อีกเมื่อเปรียบกับประโยชน์ล้ำค่าคือการรู้จักพระคริสตเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าข้าพเจ้าจึงยอมสูญเสียทุกสิ่งข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งเป็นปฏิกูลเพื่อจะได้องค์พระคริสตเจ้ามาเป็นกำไรและอยู่ในพระองค์ข้าพเจ้าไม่มีความชอบธรรมที่มาจากธรรมบัญญัติแต่มีความชอบธรรมเพราะความเชื่อในพระคริสตเจ้าเป็นความชอบธรรมซึ่งพระเจ้าประทานให้ผู้มีความเชื่อข้าพเจ้าต้องการรู้จักพระองค์รู้จักฤทธานุภาพของการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ต้องการมีส่วนร่วมในพระทรมานของพระองค์โดยมีสภาพเหมือนพระองค์ในความตายจะได้บรรลุถึงการกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายด้วยข้าพเจ้ายังไม่บรรลุเป้าหมายหรือยังทำไม่สำเร็จข้าพเจ้ายังมุ่งหน้าวิ่งต่อไปเพื่อจะช่วงชิงรางวัลให้ได้ดังที่พระคริสตเยซูทรงช่วงชิงข้าพเจ้าไว้ได้แล้วพี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าไม่คิดว่าข้าพเจ้าชนะแล้วข้าพเจ้าทำเพียงอย่างเดียวคือลืมสิ่งที่อยู่เบื้องหลังมุ่งสู่เบื้องหน้าอย่างสุดกำลังข้าพเจ้ากำลังวิ่งเข้าสู่เส้นชัยไปหารางวัลที่พระเจ้าทรงเรียกจากสวรรค์ให้ข้าพเจ้าเข้าไปรับในพระคริสตเยซู

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                    ยน 8:1-11
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก ประชาชนเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน
     บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนำหญิงคนหนึ่งเข้ามา หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี เขาให้นางยืนตรงกลาง แล้วทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งเราให้ทุ่มหินหญิงประเภทนี้จนตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร” เขาถามพระองค์เช่นนี้เพื่อจับผิดพระองค์ หวังจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลง เอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดินเมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามย้ำอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ ก็ค่อยๆ ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนอาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำพังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ” หญิงคนนั้นทูลตอบว่า “ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก”

 

ข้อคิด
     “พระเจ้าเป็นความรัก” เป็นภาพใหม่ของพระเจ้าที่แสดงให้เห็นผ่านทางพระเยซู หญิงคนนี้เป็นคนบาปจริง และนางก็คงตกใจและกลัวตายอย่างที่สุดและมั่นใจว่าจะต้องตายเพราะโดนหินทุ่มอย่างแน่นอน พระเยซูจึงไม่ใด้ช่วยนางจากการถูกลงโทษ แต่ช่วยนางมาจากความตาย พระวรสารไม่ได้บอกว่าพระองค์เขียดเขียนอะไรบนพื้นดิน แต่เชื่อว่าพระองค์คงไม่ทำไปโดยไม่มีจุดหมาย ดังนั้นบางท่านจึงบอกว่า พระองค์ได้เขียนรายการบาปของพวกเขาทั้งหลายที่จะเอาหินทุ่มนาง ประโยคถัดมา พระองค์จึงบอกว่า “ผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” พระองค์ก็ได้ช่วยคนเหล่านั้นให้รับรู้ว่า “เขาทั้งหลายก็เป็นคนบาปเหมือนกัน” เราจงอย่าตัดสินใครเลย แต่ให้เราภาวนาให้เขา เพื่อเขาจะได้มีกำลังที่จะไม่กระทำบาปอีก

วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2016 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี                                              กดว21:4-9
     ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากภูเขาโฮร์มุ่งสู่ทะเลต้นกกเพื่อเลี่ยงแผ่นดินเอโดม แต่ขณะที่อยู่ตามทาง ประชากรเริ่มหมดความอดทน จึงพากันบ่นว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากอียิปต์ให้มาตายในถิ่นทุรกันดารนี้ ที่นี่ไม่มีทั้งน้ำและอาหาร พวกเราเบื่ออาหารจืดชืดนี้เต็มทีแล้ว”
     องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดประชาชน ทำให้ชาวอิสราเอลตายเป็นจำนวนมาก คนทั้งปวงจึงไปหาโมเสสขอร้องว่า “พวกเราทำบาปเพราะบ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าและบ่นว่าท่าน ขอท่านได้ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงขจัดงูพิษเหล่านี้ออกไปเถิด” โมเสสจึงวอนขอพระเจ้าเพื่อประชากร แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จงทำงูโลหะติดไว้บนเสา ผู้ที่ถูกงูกัดและมองดูงูโลหะนั้น จะรอดชีวิต” โมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ขึ้นติดไว้ที่เสา ผู้ถูกงูกัด และมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็รอดชีวิต

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                     ยน 8:21-30
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาเหล่านั้นอีกว่า “เราจากไปแล้วท่านทั้งหลายจะแสวงหาเราแต่ท่านจะตายเพราะบาปของท่านที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้”
     ชาวยิวจึงพูดว่า “เขาจะฆ่าตัวตายกระมัง จึงพูดว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้”
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายมาจากเบื้องล่าง แต่เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้แต่เรามิได้เป็นของโลกนี้ ดังนั้น เราบอกท่านว่า ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็นท่านจะตายเพราะบาปของท่าน”
     เขาเหล่านั้นทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร”  พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เรายังมีอีกหลายเรื่องที่เราจะต้องพูดและพิพากษาเกี่ยวกับท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ สิ่งใดที่เราได้ยินมาจากพระองค์เราก็บอกสิ่งนั้นให้โลกรู้”
     คนเหล่านั้นไม่เข้าใจว่า พระองค์กำลังตรัสกับเขาเรื่องพระบิดา พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาอีกว่า“เมื่อใดที่ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขึ้นเมื่อนั้นท่านจะรู้ว่า เราเป็นและรู้ว่าเราไม่ทำอะไรตามใจตนเองแต่พูดอย่างที่พระบิดาทรงสั่งสอนเราไว้ พระผู้ทรงส่งเรามาสถิตกับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเราไว้ตามลำพังเพราะเราทำตามที่พระองค์พอพระทัยเสมอ” เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ หลายคนก็เชื่อในพระองค์

 

ข้อคิด
     “บาป” คือ การต่อต้านพระเจ้าและไม่ยอมรับในน้ำพระทัยของพระองค์ “การบ่นว่า” จึงเป็นผลมาจากการที่เราปรารถนาจะทำตามใจตนเอง ไม่แสวงหาความเข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า นอกจากนั้นเรายังอยากให้พระเจ้าทำตามใจของเราด้วย การบ่นว่าจึงโยงไปถึงบาป “จองหอง” อยากเป็นใหญ่กว่าพระองค์ เมื่อมาถึงจุดนี้จงระลึกไว้เลยว่า “ปิศาจ” กำลังทำงานของมันซ้ำอีกครั้งกับที่มันเคยทำกับเอวาไว้
    พระเจ้ารักเราลูกของพระองค์มาก จนยอมตายบนกางเขน ดังนั้นการที่พระองค์ขอร้องอะไรเรา แสดงว่ามันดีที่สุดและดีแบบระยะยาว ส่วนเรามนุษย์ “วินาที” ถัดไปจะเกิดอะไรขึ้น เรายังไม่รู้เลย แล้วเรายังจะใช้ความคิดของเราอันคับแคบต่อต้านความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้อย่างไรเล่า ... “จงสุภาพและมอบตัวทั้งครบแด่พระองค์ผู้มอบชีวิตให้เราจนหมดสิ้นเถิด”

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown