มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2016 ระลึกถึง น.อักแนส พรหมจารีและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง                          1ซมอ 18:6-9,และ 19:1-7
     ในครั้งนั้น เมื่อบรรดาทหารกลับไปบ้านหลังจากที่ดาวิดฆ่าชาวฟีลิสเตียผู้นั้นแล้ว บรรดาสตรีได้ออกจากทุกเมืองของอิสราเอลมารับเสด็จกษัตริย์ซาอูล เขาร้องเพลงเริงระบำ เล่นรำมะนา ส่งเสียงร้องด้วยความยินดีและเล่นเครื่องดนตรีอื่นๆ บรรดาสตรีพากันเต้นรำและขับร้องรับกันว่า
“ซาอูลฆ่าศัตรูเป็นพัน
ดาวิดฆ่าศัตรูเป็นหมื่น”
     กษัตริย์ซาอูลทรงได้ยินบทเพลงนี้ก็ไม่พอพระทัย กริ้วมาก ตรัสว่า “เขายกย่องดาวิดว่าฆ่าศัตรูหลายหมื่น ส่วนเรา เขาว่าฆ่าศัตรูหลายพันเท่านั้น เขาจะให้อะไรแก่ดาวิด นอกจากจะให้ราชสมบัติ” ตั้งแต่วันนั้น กษัตริย์ซาอูลทรงอิจฉาดาวิดเรื่อยมา
กษัตริย์ซาอูลทรงแจ้งให้โยนาธานพระโอรส และข้าราชบริพารทุกคนรู้ว่าพระองค์ตั้งพระทัยจะฆ่าดาวิดแต่โยนาธานพระโอรสของกษัตริย์ซาอูลทรงรักดาวิดมาก โยนาธานจึงทรงนำข่าวไปบอกดาวิดว่า “ซาอูลพระบิดาทรงพยายามจะฆ่าท่าน พรุ่งนี้เช้าจงระวังตัวให้ดี จงไปซ่อนให้ลับตาและคอยอยู่ที่นั่นฉันจะพาพระบิดาออกไปยืนในทุ่งที่ท่านซ่อนอยู่ แล้วฉันจะถามพระบิดาเรื่องท่าน เมื่อฉันรู้อะไรแล้ว ก็จะบอกให้ท่านรู้”
     โยนาธานตรัสยกย่องดาวิดให้ซาอูลพระบิดาฟังว่า “ขอกษัตริย์อย่าทำร้ายดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์เลย เขาไม่เคยทำผิดอย่างใดต่อพระองค์ ตรงกันข้ามเขากลับทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อพระองค์อย่างมาก เขาเสี่ยงชีวิต เมื่อฆ่าชาวฟีลิสเตียคนนั้น และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ชาวอิสราเอลมีชัยชนะยิ่งใหญ่ พระบิดาทรงเห็น ก็ยังทรงยินดี แล้วพระองค์จะยังทรงทำผิดต่อโลหิตของผู้บริสุทธิ์ ฆ่าดาวิดโดยไม่มีเหตุผลอีกหรือ”กษัตริย์ซาอูลทรงฟังโยนาธานพูดแล้วทรงสาบานว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนมชีพอยู่ฉันใด เราจะไม่ฆ่าดาวิดฉันนั้น”โยนาธานจึงทรงเรียกดาวิด มาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แล้วทรงพาดาวิดไปเฝ้าซาอูล ดาวิดก็รับราชการตามเดิม

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                             มก 3:7-12
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปยังทะเลสาบกับบรรดาศิษย์ผู้คนหมู่ใหญ่จากแคว้นกาลิลีติดตามพระองค์ผู้คนจากแคว้นยูเดียจากกรุงเยรูซาเล็มจากแคว้นอิดูเมอาจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนและจากบริเวณเมืองไทระและไซดอนเป็นหมู่ใหญ่ได้ยินสิ่งที่ทรงกระทำก็มาเฝ้าพระองค์พระเยซูเจ้าจึงตรัสสั่งบรรดาศิษย์ให้จัดเรือไว้ลำหนึ่งเพื่อประชาชนจะได้ไม่เบียดเสียดพระองค์เพราะพระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยจำนวนมากจนบรรดาผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆเบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อสัมผัสพระองค์เมื่อปีศาจทั้งหลายเห็นพระองค์ก็กราบลงพลางตะโกนว่า “ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่พระองค์ทรงกำชับอย่างแข็งขันมิให้มันแพร่งพรายว่าพระองค์เป็นใคร

 

ข้อคิด
    คนส่วนมากต้องการได้รับความนิยมชมชอบ เราอยากให้ผู้อื่นเห็นคุณค่าของเรา แต่สิ่งที่เราต้องระมัดระวังก็คือการแสวงหาความนิยมชมชอบเท่านั้น เราเพียงอยากได้ แต่เราไม่สนใจที่จะทำตัวของเราเองให้เป็นผู้ที่เหมาะสมจะได้รับความนิยมชมชอบเหล่านี้
     เราจะเห็นในพระวรสารวันนี้ ครั้งหนึ่งพระเยซูเจ้าทรงเป็นที่นิยมชมชอบ มีประชาชนจากใกล้และไกล จากทั่วทุกทิศเข้ามาหาพระองค์ พระองค์ชื่นชมในความนิยมนี้หรือเปล่า? พระวรสารมิได้ให้คำตอบแก่เรา แต่พระวรสารแสดงให้เราเห็นว่า พระองค์ทรงระวังพระองค์เอง ในอันที่จะประกาศหรือกระทำสิ่งที่ไม่เป็นที่นิยม เช่นเมื่อพระองค์ทรงประกาศว่า จงให้เงินทองของจักรพรรดิ์แก่พระจักรพรรดิ์ พระองค์ทรงประกาศว่า เราต้องรักศัตรู หรือการทำนายว่ามหาวิหารจะถูกทำลายในอนาคต ในเรื่องนี้ก็เช่นกันพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างให้แก่เรา การเป็นผู้ที่ได้รับความนิยมชมชอบด้วยก็ได้ แต่ความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าต้องดีกว่าแน่ๆ

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2016 น.วินเซนต์ สังฆานุกรและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง                           1 ซมอ 24:2-21
     เมื่อกษัตริย์ซาอูลเสด็จกลับจากการรบกับชาวฟีลิสเตีย ก็ทรงทราบว่าดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดารใกล้เอนเกดีกษัตริย์ซาอูลทรงเลือกทหารฝีมือเยี่ยมสามพันคนจากทั่วอิสราเอลเสด็จไปค้นหาดาวิดและพรรคพวกทางด้านตะวันออกของหินแพะป่า พระองค์เสด็จมาถึงคอกแกะริมทาง ที่นั่นมีถ้ำแห่งหนึ่ง จึงเสด็จเข้าไปเพื่อทรงบังคนหนักดาวิดกับพรรคพวกแอบอยู่ลึกในถ้ำเดียวกันนั้น พรรคพวกจึงกล่าวแก่ดาวิดว่า “นี่เป็นโอกาสของท่านแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่ท่านว่า ‘เราจะมอบศัตรูไว้ในมือของท่าน ท่านจะทำกับเขาอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ’” ดาวิดจึงลุกขึ้นเข้าไปลอบตัดชายเสื้อคลุมของซาอูล แต่แล้วดาวิดก็รู้สึกไม่สบายใจที่ไปตัดชายเสื้อคลุมของซาอูลจึงกล่าวแก่พรรคพวกว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามข้าพเจ้ามิให้ทำสิ่งนี้แก่ผู้รับเจิมขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือมิให้ทำร้ายพระองค์แต่ประการใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้รับเจิมขององค์พระผู้เป็นเจ้า”ดาวิดกล่าวเช่นนี้ ทำให้พรรคพวกเปลี่ยนความคิด ไม่ทำร้ายกษัตริย์ซาอูล
กษัตริย์ซาอูลเสด็จออกจากถ้ำและทรงพระดำเนินต่อไป ดาวิดก็ออกจากถ้ำตามมาและทูลเรียกกษัตริย์ซาอูลว่า “ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพเจ้า”กษัตริย์ซาอูลทรงเหลียวมา ดาวิดก็กราบลงหน้าจรดพื้นด้วยความเคารพ ทูลว่า “ทำไมพระองค์จึงทรงเชื่อฟังผู้ที่ใส่ความว่าข้าพเจ้าจะทำร้ายพระองค์พระองค์ทรงเห็นกับตาในวันนี้แล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบพระองค์ไว้ในมือของข้าพเจ้าในถ้ำมีคนยุให้ข้าพเจ้าฆ่าพระองค์ แต่ข้าพเจ้าไว้ชีวิตพระองค์กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าจะไม่ทำร้ายเจ้านายของข้าพเจ้าแต่ประการใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้รับเจิมขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ พระบิดาของข้าพเจ้า ดูนี่ซิ โปรดทอดพระเนตรดูชายเสื้อคลุมในมือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตัดมาจากเสื้อคลุมของพระองค์ แต่ไม่ได้ฆ่าพระองค์ ขอพระองค์ทรงยอมรับเถิดว่า ข้าพเจ้าไม่เคยคิดกบฏต่อพระองค์หรือคิดทำร้ายพระองค์เลย ข้าพเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดต่อพระองค์ แต่พระองค์กลับทรงตามล่าจะเอาชีวิตของข้าพเจ้า ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ตัดสินระหว่างข้าพเจ้าและพระองค์เถิด ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้า ส่วนข้าพเจ้าจะไม่ทำร้ายพระองค์เป็นอันขาดดังที่สุภาษิตโบราณเคยกล่าวว่า ‘ความชั่วย่อมมาจากคนชั่ว’ แต่ข้าพเจ้าจะไม่ทำร้ายพระองค์เลยกษัตริย์แห่งอิสราเอลกำลังทรงไล่ตามใครอยู่พระองค์กำลังทรงไล่ตามผู้ใดทำไมพระองค์จึงทรงไล่ตามสุนัขตาย หรือตัวหมัดอยู่เล่าขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตัดสินชี้ขาดระหว่างข้าพเจ้ากับพระองค์ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรพิจารณาคดีของข้าพเจ้า ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงป้องกันข้าพเจ้าจากพระหัตถ์ของพระองค์เถิด”
เมื่อดาวิดกล่าวถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว กษัตริย์ซาอูลตรัสว่า “ดาวิดลูกเอ๋ย นั่นเป็นเสียงของเจ้าหรือ”กษัตริย์ซาอูลทรงกันแสงเสียงดัง แล้วตรัสแก่ดาวิดต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ชอบธรรมมากกว่าเรา เพราะเจ้าทำดีต่อเรา ขณะที่เราทำร้ายเจ้าวันนี้เจ้าแสดงให้เห็นแล้วว่า เจ้าดีต่อเราเพียงไร เพราะเจ้าไว้ชีวิตเรา ทั้งๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบเราไว้ในมือของเจ้าแล้ว ไม่มีผู้ใดพบศัตรู แล้วจะปล่อยให้หลุดมือไปโดยปลอดภัย ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบแทนความดีที่เจ้าได้ทำกันเราในวันนี้เถิดบัดนี้ เรารู้แล้วว่าเจ้าจะเป็นกษัตริย์ และอาณาจักรอิสราเอลจะตั้งมั่นในมือของเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                                 มก 3:13-19
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปบนภูเขาทรงเรียกผู้ที่พระองค์ทรงต้องการให้มาพบเขาเหล่านั้นก็มาเฝ้าพระองค์พระองค์จึงทรงแต่งตั้งอัครสาวกสิบสองคนให้อยู่กับพระองค์และเพื่อจะทรงส่งเขาออกไปเทศน์สอนโดยให้มีอำนาจขับไล่ปีศาจด้วยอัครสาวกสิบสองคนที่ทรงแต่งตั้งคือซีโมนพระองค์ทรงตั้งชื่อใหม่ให้เขาว่า “เปโตร” ยากอบบุตรของเศเบดีและยอห์นน้องชายของยากอบพระองค์ทรงตั้งชื่อให้สองพี่น้องนี้ว่า “โบอาแนรเกส” ซึ่งแปลว่า “ลูกฟ้าร้อง” อันดรูว์ฟีลิปบารโธโลมิวมัทธิวโทมัสยากอบบุตรของอัลเฟอัสธัดเดอัสซีโมนจากกลุ่มชาตินิยมและยูดาสอิสคาริโอทต่อมายูดาสผู้นี้ได้ทรยศต่อพระองค์

 

ข้อคิด
     พวกสาวกทั้ง 12 องค์ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกให้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ความใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของกระแสเรียกของอัครสาวกสิบสองท่านแรก เหตุว่าต่อมาพวกท่านจะต้องดำเนินชีวิตโดยไม่มีพระองค์ การแยกตัวจากพระเยซูเจ้าเพื่อเผยแพร่พระวรสารในแถบปาเลสไตน์ และต่อมาหลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์และทรงกลับคืนพระชนมชีพ ในที่สุดพวกเขาก็ต้องแยกจากพระองค์อย่างถาวร เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์
ในช่วงที่พวกท่านอยู่กับพระเยซูเจ้าเป็นการปลูกความรักต่อพระองค์ลงในจิตใจของพวกเขา พร้อมกับความร้อนรนในการประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า และหลังจากที่พวกท่านได้รับพระจิตเจ้าแล้ว พวกท่านก็ต้องไปประกาศข่าวดีแห่งพระอาณาจักรสวรรค์ต่อไป
ชีวิตของเราในฐานะคริสตชนก็ควรจะมีทั้งสองแง่มุมนี้ กล่าวคือความใกล้ชิดกับพระคริสตเจ้าและการเผยแพร่พระอาณาจักรของพระเจ้าแก่คนทั่วไปตามแบบฉบับของบรรดาอัครสาวกของพระเยซูเจ้า

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2016 สัปดาห์ที่ 3เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือเนหะมีย์                                           นหม 8:2-4ก,5-6,8-10
     วันที่หนึ่งเดือนเจ็ด เอสราสมณะนำธรรมบัญญัติออกมาต่อหน้าชุมชนทั้งชายหญิงและเด็กที่มีวัยพอจะฟังเข้าใจได้ เอสราอ่านหนังสือที่ลานหน้าประตูน้ำตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเที่ยง ต่อหน้าชายหญิงและเด็กที่มีวัยพอจะฟังเข้าใจได้ ประชากรทั้งปวงตั้งใจฟังข้อความที่อ่านจากหนังสือธรรมบัญญัติ
     เอสราธรรมาจารย์ยืนอยู่บนยกพื้นไม้ที่ทำขึ้นเพื่อการนี้
เอสรายืนอยู่สูงกว่าประชากรทั้งปวง ทุกคนจึงเห็นเขาได้ เมื่อเขาเปิดหนังสือ ประชากรทุกคนก็ยืนขึ้น เอสราถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ประชากรทั้งปวงก็ชูมือขึ้นพูดว่า “อาเมน อาเมน” และก้มลงหน้าจรดพื้นนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า
เขาทั้งหลายแปลข้อความจากหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นตอนๆ และอธิบายความหมายให้ประชากรเข้าใจ ประชากรทุกคนที่ฟังถ้อยคำของธรรมบัญญัติก็ร้องไห้ เนหะมีย์ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการ เอสราซึ่งเป็นสมณะและธรรมาจารย์ และชนเลวีผู้สอนประชากรจึงพูดกับประชากรทั้งปวงว่า “วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน อย่าเป็นทุกข์โศกเศร้าหรือร่ำไห้เลยจงกลับไปบ้าน เลี้ยงอาหารเลิศรส ดื่มเหล้าองุ่นอย่างดี และแบ่งปันอาหารให้คนที่ไม่มี เพราะวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา อย่าเศร้าใจเลย เพราะความยินดีจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพละกำลังของท่าน”

 

เพลงสดุดี                                                                     สดด19:7-10,14
     ก) ธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าสมบูรณ์ทุกประการ
ให้ความชื่นบานแก่จิตวิญญาณ
กฤษฎีกาขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มั่นคง
ให้ปรีชาญาณแก่ผู้ด้อยปัญญา
ข้อบังคับขององค์พระผู้เป็นเจ้าสุจริต
ทำให้ดวงจิตปีติยินดี
บทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ชัดเจน
ให้แสงสว่างแก่ดวงตา
     ข) ความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าบริสุทธิ์
ดำรงอยู่ตลอดไป
กฎเกณฑ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็สัตย์จริง
เที่ยงธรรมทุกประการ
เป็นที่พึงปรารถนามากกว่าทองคำ
ยิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์มากมาย
หวานล้ำกว่าน้ำผึ้งที่หยดลงมาจากรวง
     ค) ขอให้ถ้อยคำจากปากและความคิดจากใจข้าพเจ้า
เป็นที่โปรดปรานเฉพาะพระพักตร์พระองค์เถิด
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นหลักศิลาและผู้กอบกู้ข้าพเจ้า

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง          1คร 12:12-30
     พี่น้อง แม้ร่างกายเป็นร่างกายเดียวแต่ก็มีอวัยวะหลายส่วนอวัยวะต่างๆเหล่านี้แม้จะมีหลายส่วนก็ร่วมเป็นร่างกายเดียวกันฉันใดพระคริสตเจ้าก็ฉันนั้นเดชะพระจิตเจ้าพระองค์เดียวเราทุกคนจึงได้รับการล้างมารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกันไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีกไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นไทยก็ตามเราทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกันร่างกายไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะส่วนเดียวแต่มีอวัยวะหลายส่วนถ้าเท้าจะพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่มือจึงไม่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย” แต่เท้าไม่ได้เป็นอวัยวะของร่างกายน้อยกว่าอวัยวะส่วนอื่นเพราะเป็นเพียงเท้าหรือถ้าหูจะพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ดวงตาจึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกาย” แต่ก็ไม่ได้ทำให้หูไม่เป็นอวัยวะของร่างกายเลยถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นดวงตาแล้วจะได้ยินได้อย่างไรถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นหูแล้วจะได้กลิ่นได้อย่างไร
     โดยแท้จริงแล้วพระเจ้าทรงจัดอวัยวะต่างๆในร่างกายให้อยู่ในที่ที่ทรงพระประสงค์ถ้าร่างกายทุกส่วนเป็นอวัยวะเดียวแล้วร่างกายจะอยู่ที่ไหนเท่าที่เป็นอยู่มีอวัยวะหลายส่วนแต่มีร่างกายเดียวดวงตาพูดกับมือไม่ได้ว่า “เราไม่ต้องการเจ้า” และศีรษะก็พูดกับเท้าไม่ได้ว่า “เราไม่ต้องการเจ้า”
     ตรงกันข้ามส่วนที่เราคิดว่าเป็นอวัยวะที่อ่อนแอของร่างกายกลับเป็นอวัยวะที่จำเป็นมากกว่าอวัยวะส่วนที่เราคิดว่าไม่มีเกียรติในร่างกายเรากลับทะนุถนอมด้วยความเคารพเป็นพิเศษและอวัยวะที่น่าอับอายของเรากลับได้รับการตกแต่งให้งดงามมากกว่าส่วนอื่นอวัยวะที่น่าดูอยู่แล้วไม่ต้องการตกแต่งอะไรอีกพระเจ้าทรงประกอบร่างกายขึ้นโดยให้เกียรติแก่อวัยวะที่ไม่มีเกียรติมากกว่าอวัยวะอื่นๆเพื่อร่างกายจะได้ไม่มีการแตกแยกใดๆตรงกันข้ามอวัยวะแต่ละส่วนจะเอาใจใส่ซึ่งกันและกันถ้าอวัยวะหนึ่งเป็นทุกข์อวัยวะอื่นๆทุกส่วนก็ร่วมเป็นทุกข์ด้วยถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติอวัยวะอื่นๆทุกส่วนก็ร่วมยินดีด้วยเช่นเดียวกัน
     ท่านทั้งหลายเป็นพระกายของพระคริสตเจ้าแต่ละคนต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้นพระเจ้าทรงแต่งตั้งบางคนให้ทำหน้าที่ต่างๆในพระศาสนจักรคือหนึ่งให้เป็นอัครสาวกสองให้เป็นประกาศกและสามให้เป็นครูอาจารย์ต่อจากนั้นคือผู้มีอำนาจทำอัศจรรย์ผู้รักษาโรคผู้ช่วยเหลือผู้ปกครองและผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจทุกคนเป็นอัครสาวกหรือทุกคนเป็นประกาศกหรือทุกคนเป็นครูอาจารย์หรือทุกคนเป็นผู้ทำอัศจรรย์หรือทุกคนได้รับพระพรพิเศษให้บำบัดโรคได้หรือทุกคนพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจได้หรือทุกคนเป็นผู้ตีความอธิบายความหมายของภาษานั้นหรือ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                  ลก 1:1-4 และ 4:14-21
     ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพยิ่ง คนจำนวนมากได้เรียบเรียงเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับพวกเรา ผู้ที่เป็นพยานรู้เห็นและประกาศพระวาจามาตั้งแต่แรกได้ถ่ายทอดเหตุการณ์เหล่านี้ให้เรารู้แล้ว ข้าพเจ้าจึงตกลงใจค้นคว้าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นอย่างละเอียด แล้วเรียบเรียงตามลำดับเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งสำหรับท่านด้วย ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าคำสอนที่ท่านรับมานั้นเป็นความจริง
     พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปแคว้นกาลิลีพร้อมด้วยพระอานุภาพของพระจิตเจ้า กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นนั้นพระองค์ทรงสอนตามศาลาธรรมของชาวยิวและทุกคนต่างสรรเสริญพระองค์
พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเจริญวัย ในวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระคัมภีร์มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า
พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้
ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน
ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ
คืนสายตาให้แก่คนตาบอด
ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ
ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าที่และประทับนั่งลง สายตาของทุกคนที่อยู่ในศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์ พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว”

 

ข้อคิด
     ในบทอ่านที่หนึ่งและพระวารสารของพิธีบูชาขอบพระคุณในวันนี้ เรามีประกาศกเอสรา ในบทอ่านแรก และพระเยซูเจ้าในบทอ่านที่สาม ทั้งสองมิใช่เป็นแต่เพียงผู้เทศน์เกี่ยวกับคุณธรรม แต่ทั้งสองเป็นผู้ปฏิบัติตามที่ท่านเทศน์ ทั้งสองท่านประพฤติและปฏิบัติตามที่ท่านเทศน์ การเทศน์สอนคุณธรรมกับการปฏิบัติตามที่สอนไม่เหมือนกัน น่าเสียดายที่มีคนจำนวนไม่น้อยที่เทศน์ แต่ไม่ปฏิบัติสิ่งที่ตนเทศน์ นี่คือปัญหาของพวกชาวฟาริสีในสมัยของพระเยซูเจ้า ครั้งหนึ่งพระเยซูเจ้าทรงชี้ให้เห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติตนดังกล่าวว่า “พวกเขาเทศน์แต่ไม่ปฏิบัติตาม” (มัทธิว 23:3)
     ตรงกันข้ามกับพวกฟาริสีก็คือบรรดานักบุญส่วนมากมิใช่พระสงฆ์ และพวกท่านไม่เคยเทศน์เกี่ยวกับคุณธรรม แต่ท่านเจริญชีวิตตามคุณธรรมต่างๆ อย่างเคร่งครัด สิ่งที่ท่านนักบุญกระทำเป็นบทเทศน์ที่มีน้ำหนักมากที่สุด พระเยซูเจ้าทรงสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “พระบิดาของท่านประทับอยู่ในสวรรค์ ทรงเห็นความดีเสมอ” และทรงหลั่งพระพรเข้ามาในชีวิตของบรรดานักบุญ และให้กำลังใจแก่พวกท่าน ในอันที่จะเจริญชีวิตที่ใกล้ชิดกับพระองค์ตลอดเวลา

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2016 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง                            2 ซมอ 1:1-4,11-12,17,19,23-27
     หลังจากกษัตริย์ซาอูลสิ้นพระชนม์ ดาวิดรบชนะชาวอามาเลข แล้วกลับมาอยู่ที่เมืองศิกลากได้สองวัน วันที่สาม ชายคนหนึ่งจากค่ายของกษัตริย์ซาอูลมาถึง เขาฉีกเสื้อผ้าเอาฝุ่นดินโรยศีรษะเป็นการไว้ทุกข์ เข้ามากราบลงกับพื้นดินแสดงคารวะต่อหน้าดาวิด ดาวิดถามเขาว่า “ท่านมาจากไหน”เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าหนีมาจากค่ายอิสราเอล” ดาวิดถามต่อไปว่า “จงเล่าซิว่าเกิดอะไรขึ้น”เขาตอบว่า “ทหารอิสราเอลต้องหนีจากสนามรบ หลายคนถูกฆ่า กษัตริย์ซาอูลและโยนาธานพระโอรสก็สิ้นพระชนม์ด้วย”
ดาวิดจึงฉีกเสื้อผ้าของตนแสดงการไว้ทุกข์ ทุกคนที่อยู่กับเขาก็ทำเช่นเดียวกัน ทุกคนร่ำไห้ ไม่ยอมกินอะไรเลยจนถึงเวลาเย็นเป็นการไว้ทุกข์ให้กษัตริย์ซาอูลและโยนาธานพระโอรส ไว้ทุกข์ให้ประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้าและชาวอิสราเอล ที่ถูกฆ่าในสมรภูมิ
ดาวิดคร่ำครวญถึงกษัตริย์ซาอูลและโยนาธาน พระโอรสด้วยเพลงบทนี้
อิสราเอลเอ๋ย เกียรติยศของท่านถูกฆ่าบนเนินเขาของท่าน
บรรดาวีรบุรุษล้มได้อย่างไร
ซาอูลและโยนาธาน ที่รักและสุดเสน่หา
ไม่พรากจากกันทั้งในชีวิตและในความตาย
ทั้งสองคนคล่องแคล่วมากกว่านกอินทรี
แข็งแรงมากกว่าสิงโต
บรรดาบุตรหญิงแห่งอิสราเอลเอ๋ย จงร่ำไห้ถึงกษัตริย์ซาอูลเถิด
พระองค์ประทานเสื้อผ้าสีแดงเข้มและผ้าเนื้อละเอียดให้เธอทั้งหลายสวม
ทรงประดับเสื้อผ้าของเธอด้วยเครื่องประดับทองคำ
บรรดาวีรบุรุษล้มระหว่างรบได้อย่างไร
โยนาธานเอ๋ย ข้าพเจ้าเป็นทุกข์อย่างยิ่งเมื่อท่านสิ้นชีวิต
โยนาธานพี่ที่รัก ข้าพเจ้าโศกเศร้าถึงท่าน
ท่านเป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้า
ความรักของท่านต่อข้าพเจ้าประเสริฐกว่าความรักของหญิงใดๆ
บรรดาวีรบุรุษล้มได้อย่างไร
ศัสตราวุธทั้งหลายถูกทำลายได้อย่างไร

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                              มก 3:20-21
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งประชาชนมาชุมนุมกันอีกจนพระองค์ไม่อาจเสวย และบรรดาศิษย์ก็ไม่อาจกินอาหารได้เมื่อพระประยูรญาติของพระองค์ได้ยินเช่นนี้ก็ออกไปควบคุมพระองค์ไว้เพราะคิดว่าทรงเสียพระสติ

 

ข้อคิด
     ในพระวรสารวันนี้ เราพบว่าญาติพี่น้องของพระเยซูเจ้าคิดว่าพระองค์เป็นคนบ้า มันเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ พระเยซูเจ้ามิใช่ทรงเป็นแต่ผู้ที่ดีสุดๆ เท่านั้น พระองค์ยังทรงเป็นบุคคลที่เราเองก็คิดไม่ถึง พระองค์มิใช่เป็นแต่บุคคลที่ดีที่สุด พระองค์ทรงไร้ซึ่งบาปหรือมลทินใดๆ พระคุณความดีของพระเยซูเจ้านั้นสำหรับพวกเขาเป็นสิ่งดีที่ไม่น่าเชื่อ เมื่อพวกเขาไม่กระทำความดีพระองค์ตัดสินว่าพวกเขาเป็นคนซื่อๆ ไม่ฉลาดพอที่จะเป็นศิษย์ของพระองค์
     หากเราเคยอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ในแวดวงเดียวกันปีแล้วปีเล่า ท่านจะมีปฏิบัติอย่างไรต่อพระองค์ เราจะคิดอย่างไรต่อความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2016 ฉลองการกลับใจของนักบุญเปาโล อัครสาวก

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 22:3-16
     เวลานั้น เปาโลจึงกล่าวกับประชาชนว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิว เกิดที่เมืองทาร์ซัสในแคว้นซีลีเซีย แต่เติบโตในเมืองนี้ กามาลิเอลเป็นอาจารย์สอนข้าพเจ้าให้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด ข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยความกระตือรือร้นอยู่เสมอเช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติอยู่ในวันนี้ ผู้ที่ดำเนินตามวิถีทางนี้เคยถูกข้าพเจ้าเบียดเบียนถึงตาย ข้าพเจ้าจับกุมทั้งชายและหญิงจองจำไว้ในคุก ดังที่มหาสมณะและสภาผู้อาวุโสทุกคนเป็นพยานยืนยันได้ เพราะเขามอบจดหมายให้ข้าพเจ้านำไปให้แก่บรรดาพี่น้องชาวยิวที่เมืองดามัสกัส ข้าพเจ้าจึงออกเดินทางเพื่อไปจับกุมบรรดาคริสตชนซึ่งอยู่ที่นั่น นำกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อลงโทษ
     เวลาประมาณเที่ยงวัน ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินทางใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ทันใดนั้นมีแสงสว่างจ้าจากท้องฟ้าล้อมรอบตัวข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าล้มลงที่พื้นดินและได้ยินเสียงพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล เซาโล เจ้าเบียดเบียนเราทำไม’
ข้าพเจ้าจึงถามว่า ‘พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร’
     พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธ ซึ่งเจ้ากำลังเบียดเบียนอยู่’ คนที่อยู่กับข้าพเจ้าเห็นแสงสว่าง แต่ไม่ได้ยินเสียงคนที่พูดกับข้าพเจ้า
     แล้วข้าพเจ้าถามอีกว่า ‘พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไร’
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงลุกขึ้น เข้าไปในเมืองดามัสกัส ที่นั่นจะมีคนบอกทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เจ้าทำ’ แสงนั้นสว่างจ้าจนข้าพเจ้ามองไม่เห็นสิ่งใดผู้ร่วมเดินทางกับข้าพเจ้าจึงจูงมือข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองดามัสกัส
ชายคนหนึ่งชื่ออานาเนีย เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ เป็นที่เคารพนับถือของชาวยิวทุกคนซึ่งอยู่ที่นั่น เขามาพบข้าพเจ้า ยืนใกล้ๆ พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล น้องเอ๋ย จงกลับมองเห็นเถิด’ และในเวลานั้นเองข้าพเจ้าก็มองเห็นเขา
อานาเนียบอกข้าพเจ้าว่า ‘พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทรงเลือกสรรท่านให้รู้พระประสงค์ของพระองค์ ให้เห็นพระคริสตเจ้าผู้ทรงชอบธรรมและได้ยินพระสุรเสียงจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพราะท่านจะเป็นพยานของพระองค์ยืนยันสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยินแก่มนุษย์ทุกคน บัดนี้ท่านรออะไรอยู่อีก จงลุกขึ้น รับศีลล้างบาปและเรียกขานพระนามพระองค์ชำระล้างบาปของท่านเถิด’”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                              มก 16:15-18
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์กับอัครสาวกสิบเอ็ดคน ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวงผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้นผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษผู้ที่เชื่อจะทำอัศจรรย์เหล่านี้ได้คือจะขับไล่ปีศาจในนามของเราจะพูดภาษาใหม่ๆได้จะจับงูได้และถ้าดื่มยาพิษก็จะไม่ได้รับอันตรายเขาจะปกมือเหนือคนเจ็บคนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย”

 

ข้อคิด
     ในบทอ่านแรกในพิธีบูชาขอบพระคุณวันฉลองการกลับใจของนักบุญเปาโล แสดงให้เราเห็นว่าพระเยซูเจ้าพระองค์เองทรงติดต่อกับท่านโดยตรง นักบุญเปาโลตาบอดหูหนวก เมื่อท่านเดินทางไปพบกับอานาเนีย ก็ได้รับคำแนะนำว่าจะต้องทำอะไรต่อไป ท่านก็แนะนำให้เปาโลรับศีลล้างบาป เรื่องการกลับใจของเปาโลนี้ นับว่าพระเจ้าทรงมีแผนการให้ท่านทำงานเพื่อพระศาสนจักร โดยใช้ท่านเป็นเครื่องมือ
พระเจ้าทรงมีงานให้เราทำ หน้าที่ของเราก็คือพยายามแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ที่เราได้รับ การเผยแสดงให้แก่เราด้วยวิธีต่างๆ เราต้องมีความเชื่อ นักบุญเปาโลทำการเผยแพร่พระอาณาจักรของพระเจ้าในที่ซึ่งยังไม่มีสาวกคนใดเข้าไปถึง จนท่านได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกของคนต่างศาสนา
ให้เราทำใจเตรียมรับกระแสเรียกสำหรับเรา เราจะได้เป็นเครื่องมือรับใช้พระองค์ในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า ด้วยวิธีต่างๆ สุดแล้วแต่พระองค์

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown