มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2016 สมโภชพระนางมารีย์ พระชนนีพระเป็นเจ้า

บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี                                        กดว 6:22-27
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกอาโรนและบรรดาบุตรว่า
“ท่านทั้งหลายจะต้องอวยพรชาวอิสราเอลดังนี้ ท่านจะต้องกล่าวว่าขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรท่านและพิทักษ์รักษาท่าน ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงพระพักตร์แจ่มใสต่อท่านและโปรดปรานท่าน ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงผินพระพักตร์มายังท่านและประทานสันติแก่ท่านด้วยเทอญ”
สมณะจะต้องเรียกขานนามของเราให้ลงมาเหนือชาวอิสราเอลเช่นนี้ แล้วเราจะอวยพรเขาทั้งหลาย

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวกาลาเทีย      กท 4:4-7
     พี่น้อง เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาบังเกิดจากหญิงผู้หนึ่งเกิดมาอยู่ใต้ธรรมบัญญัติเพื่อทรงไถ่ผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติและทำให้เราได้เป็นบุตรบุญธรรมข้อพิสูจน์ว่าท่านทั้งหลายเป็นบุตรก็คือพระเจ้าทรงส่งพระจิตของพระบุตรลงมาในดวงใจของเราพระจิตผู้ตรัสด้วยเสียงดังว่า “อับบาพระบิดาเจ้าข้า” ดังนั้นท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไปแต่เป็นบุตรและถ้าเป็นบุตรก็ย่อมเป็นทายาทตามพระประสงค์ของพระเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 2:16-21
     ขณะนั้น พวกเลี้ยงแกะจึงรีบไปและพบพระนางมารีย์ โยเซฟ และพระกุมารซึ่งบรรทมอยู่ในรางหญ้า เมื่อคนเลี้ยงแกะเห็น ก็เล่าเรื่องที่เขาได้ยินมาเกี่ยวกับพระกุมาร ทุกคนที่ได้ยินต่างประหลาดใจในเรื่องที่คนเลี้ยงแกะเล่าให้ฟัง ส่วนพระนางมารีย์ทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัยและยังทรงคำนึงถึงอยู่ คนเลี้ยงแกะกลับไปโดยถวายพระพรและสรรเสริญพระเจ้าในเรื่องต่างๆ ที่พวกเขาได้ยินและได้เห็น ตามที่ทูตสวรรค์บอกไว้
เมื่อครบกำหนดแปดวัน ถึงเวลาที่พระกุมารจะต้องทรงเข้าสุหนัต เขาถวายพระนามพระองค์ว่าเยซู เป็นพระนามที่ทูตสวรรค์ให้ไว้ก่อนที่พระองค์จะทรงปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดา

 

ข้อคิด
     คนเลี้ยงแกะได้เห็นและเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่า พระนางมารีย์ได้ให้กำเนิดพระกุมารเยซูผู้ทรงเป็นพระวจนาตถ์ (ยน 1:14) และพระวจนาตถ์ทรงเป็นพระเจ้า” (ยน 1:1)พระนางจึงเป็น “พระชนนีของพระเจ้า” อย่างไม่ต้องสงสัย
น่าภูมิใจสักเพียงใดที่บนไม้กางเขน พระเยซูเจ้าทรงมอบ“พระชนนีของพระเจ้า”ให้เป็น “แม่ของเราทุกคน” ด้วย (ยน 19:26-27)
และจะยิ่งน่าชื่นชมยินดีมากกว่านี้สักเพียงใดหากเราเป็น “ลูก” ที่พร้อมจะกล่าวเช่นเดียวกับ “แม่”ของเราว่า “ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด”เพื่อพระเจ้าจะได้ผินพระพักตร์มายังเราและประทานสันติสุขแก่เราตลอดปีนี้และตลอดไป!

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม 2016 ระลึกถึง น.บาซิลและ น.เกรโกรี่ แห่งเมืองนาซีอันเซน พระสังฆราชและนักปราชญ์

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง    1 ยน 2:22-28
     ลูกที่รักทั้งหลาย ใครเป็นคนพูดคำเท็จถ้าไม่ใช่คนที่พูดว่าพระเยซูไม่ใช่พระคริสตเจ้า ผู้นี้คือปฏิปักษ์ของพระคริสตเจ้า เขาปฏิเสธทั้งพระบิดาและพระบุตรทุกคนที่ปฏิเสธพระบุตรก็ไม่มีพระบิดาคนที่ยอมรับพระบุตรย่อมมีพระบิดาด้วย ขอให้สิ่งที่ท่านทั้งหลายฟังมาตั้งแต่แรกเริ่มนั้นคงอยู่ในท่านถ้าสิ่งที่ท่านฟังมาตั้งแต่แรกเริ่มนั้นคงอยู่ในท่าน ท่านก็ดำรงอยู่ในพระบุตรและในพระบิดา พระสัญญาที่พระองค์ประทานไว้ก็คือชีวิตนิรันดร ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลายแล้วเกี่ยวกับบุคคลที่พยายามชักนำให้หลงผิด แต่สำหรับท่านการได้รับเจิมจากพระองค์ยังคงอยู่ในท่านและไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสอนท่านอีกเพราะการเจิมของพระองค์นั้นสอนทุกสิ่งให้ท่านและเพราะการเจิมนั้นเป็นจริงและไม่หลอกลวง จงดำรงอยู่ในพระองค์ตามคำสั่งสอนที่ท่านได้รับมา
ลูกที่รักทั้งหลายบัดนี้จงดำรงอยู่ในพระองค์ เพื่อเมื่อพระองค์ทรงปรากฏเราจะได้มีความมั่นใจไม่ต้องหลบเลี่ยงไปจากพระองค์ด้วยความอับอาย ในวันที่พระองค์เสด็จมา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 1:19-28
     ยอห์นเป็นพยานดังนี้ เมื่อชาวยิวจากกรุงเยรูซาเล็มส่งบรรดาสมณะและชาวเลวีไปถามยอห์นว่า “ท่านเป็นใคร” เขามิได้ปิดบังความจริง แต่ยืนยันว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์” ดังนั้น เขาเหล่านั้นจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นใคร เป็นเอลียาห์หรือ” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นประกาศกหรือ” เขาตอบอีกว่า “ไม่ใช่” เขาเหล่านั้นจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร เราจะได้นำคำตอบไปให้ผู้ที่ส่งเรามา ท่านพูดถึงตนเองอย่างไร” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นเสียงของผู้ที่ร้องตะโกนในถิ่นทุรกันดารว่าจงทำทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงเถิด” ดังที่ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวไว้
     ผู้ที่ถูกส่งไปถามนั้นเป็นชาวฟาริสี เขาถามยอห์นอีกว่า “ทำไมท่านจึงทำพิธีล้าง ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่เอลียาห์ และไม่ใช่ประกาศก” ยอห์นตอบพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าใช้น้ำทำพิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่มีผู้หนึ่งประทับอยู่ในหมู่ท่าน เป็นผู้ที่ท่านไม่รู้จัก ผู้นั้นมาภายหลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานี อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนซึ่งยอห์นกำลังทำพิธีล้างอยู่

 

ข้อคิด
     ชาวยิวไม่ได้ยินเสียงของประกาศกมานานกว่า 400 ปีแล้ว เมื่อยอห์นผู้ทำพิธีล้างปรากฏตัวมาเทศน์สอนเหมือนประกาศก ท่านจึงได้รับการยอมรับและยกย่องอย่างสูงจนผู้คนพากันคาดหมายว่าท่านน่าจะเป็นพระคริสต์ หรือเอลียาห์ หรือประกาศกผู้ยิ่งใหญ่ที่ชาวยิวรอคอย กระนั้นก็ตามท่านปฏิเสธเสียงแข็งว่า“ไม่ใช่”
     ตรงกันข้ามกับเราหลายคนที่แม้ยังไม่มีผู้ใดมาถามว่าเราเป็นใคร แต่เรากลับดำเนินชีวิตราวกับจะประกาศว่า “ฉันคือพระเจ้า” และพระเยซูเจ้าไม่ใช่พระคริสตเจ้า
จงหันกลับมาดำรงอยู่ในพระองค์เถิด เพื่อเมื่อพระองค์ปรากฏมา เราจะได้ไม่ต้องหลบเลี่ยงไปจากพระองค์ด้วยความอับอาย

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2016 เทศกาลพระคริสตสมภพ

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง     1 ยน3:22-4:6
     ลูกที่รักทั้งหลายถ้าเราวอนขอสิ่งใดเราย่อมจะได้รับสิ่งนั้นจากพระองค์ เพราะเราปฏิบัติตามบทบัญญัติและทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัย นี่เป็นบทบัญญัติของพระองค์คือ ให้เราเชื่อในพระนามพระเยซูคริสตเจ้าพระบุตรของพระองค์และให้เรารักกันดังที่พระองค์ทรงบัญญัติให้เราผู้ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติ ย่อมดำรงอยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าทรงดำรงอยู่ในผู้นั้น เรารู้ว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ในเราจากพระจิตเจ้าซึ่งพระองค์ประทานให้เรา
     ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อการดลใจทุกประการ แต่จงทดสอบการดลใจต่างๆก่อนว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่เพราะมีประกาศกเทียมอยู่ทั่วไปในโลกท่านทั้งหลายรู้จักการดลใจของพระเจ้าโดยวิธีนี้คือการดลใจใดที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสตเจ้าเสด็จมารับธรรมชาติมนุษย์ ก็เป็นการดลใจที่มาจากพระเจ้าและการดลใจใดที่ไม่ยอมรับพระเยซูเจ้าก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่เป็นการดลใจของผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้า ซึ่งท่านได้ฟังว่ากำลังมา และบัดนี้อยู่ในโลกแล้ว
     ลูกที่รักทั้งหลายท่านมาจากพระเจ้า และชนะประกาศกเทียมเหล่านั้นแล้ว เพราะพระองค์ผู้สถิตในท่านทรงยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลกคือผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้าเขาเหล่านั้นมาจากโลกดังนั้นจึงพูดตามวิถีโลก และโลกย่อมฟังเขา แต่เรามาจากพระเจ้า ผู้ที่รู้จักพระเจ้าย่อมฟังเราส่วนผู้ที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าย่อมไม่ฟังเรา เราจึงรู้จักการดลใจที่เป็นความจริงและการดลใจที่เป็นความหลงผิด

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ4:12-17,23-25
     เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบว่ายอห์นถูกจองจำจึงเสด็จไปยังแคว้นกาลิลีทรงออกจากเมืองนาซาเร็ธมาประทับอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุมบนฝั่งทะเลสาบในดินแดนเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลีทั้งนี้เพื่อให้พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกอิสยาห์เป็นความจริงว่า
ดินแดนเศบูลุนและดินแดนนัฟทาลีเส้นทางไปสู่ทะเลฟากโน้นของแม่น้ำจอร์แดนแคว้นกาลิลีแห่งบรรดาประชาชาติประชาชนที่จมอยู่ในความมืดได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนและในเงาแห่งความตายแสงได้ส่องขึ้นมาเหนือพวกเขาแล้ว
นับแต่นั้นมาพระเยซูเจ้าทรงเริ่มประกาศเทศนาว่า “จงกลับใจเถิดเพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว”พระองค์เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลีทรงสั่งสอนในศาลาธรรมทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิดของประชาชน
กิตติศัพท์เกี่ยวกับพระองค์เลื่องลือไปทั่วแคว้นซีเรียประชาชนจึงนำผู้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆผู้ที่ถูกความทุกข์เบียดเบียนผู้ถูกปีศาจสิงผู้เป็นลมบ้าหมูและผู้ที่เป็นง่อยมาเฝ้าพระองค์พระองค์ทรงรักษาคนเหล่านั้นให้หายจากโรคและความเจ็บไข้ประชาชนจำนวนมากจากแคว้นกาลิลีจากทศบุรีจากกรุงเยรูซาเล็มจากแคว้นยูเดียและจากฟากโน้นของแม่น้ำจอร์แดนต่างติดตามพระองค์

 

ข้อคิด
ภารกิจสำคัญของพระเยซูเจ้ามี 3 ประการ คือ
1. ประกาศข่าวดีพระองค์ทรงทำให้ความไม่รู้ ความโง่เขลา หรือการคาดเดาของเราหมดสิ้นไป นับจากนี้ไปเรารู้ความจริงด้วยความแน่ใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด ทรงดีงามและน่ารักสักเพียงใด
2. สอน การประกาศข่าวดีทำให้เรารู้ความจริงด้วยความแน่ใจ ส่วนการสอนช่วยอธิบายความหมายและความสำคัญของความจริงนั้น
3. รักษาโรค พระองค์ไม่เพียงบอกความจริงแก่มนุษย์ด้วย “คำพูด” เท่านั้น แต่ทรงเปลี่ยนความจริงให้เป็น “การกระทำ” ด้วย
หากเราไม่ประกาศข่าวดี ไม่อธิบายความจริงให้ถ่องแท้ และไม่เปลี่ยนความจริงให้เป็นการกระทำ เรากำลังเดินคนละทางกับพระเยซูเจ้า... !!

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2016 สมโภชพระคริสตเจ้าทรงแสดงองค์

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                               อสย 60:1-6
     เยรูซาเล็มเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด จงฉายแสงเจิดจ้าเพราะความสว่างของเจ้ามาแล้วพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทอแสงเหนือเจ้าดูซิ ความมืดปกคลุมแผ่นดินและความมืดทึบปกคลุมประชาชาติทั้งหลายแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทอแสงเหนือเจ้าทุกคนจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์เหนือเจ้านานาชาติจะเดินมาหาความสว่างของเจ้าบรรดากษัตริย์จะทรงพระดำเนินมาสู่ความสดใสที่ทอแสงเหนือเจ้าจงเงยหน้าขึ้นมองไปโดยรอบเถิดเขาเหล่านั้นทุกคนมาชุมนุมกันและเดินมาพบเจ้าบุตรชายทั้งหลายของเจ้ามาจากที่ไกลบุตรหญิงของเจ้าก็ถูกอุ้มมาด้วยเมื่อเจ้าเห็นดังนี้ก็จะปลาบปลื้มใจของเจ้าจะตื่นเต้นและยินดีเพราะความมั่งคั่งของทะเลจะกลับมาหาเจ้าทรัพย์สมบัติของนานาชาติจะมายังเจ้าฝูงอูฐจะมาอยู่เต็มถนนของเจ้ารวมทั้งคาราวานอูฐจากมีเดียนและเอฟาห์ทุกคนจะมาจากเชบานำทองคำและกำยานมาด้วยและจะสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าคนทั้งหลาย

 

เพลงสดุดี                                                                    สดด 72:1-2,7-8,10-11,12-13
     ก) ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานวิจารณญาณของพระองค์แด่พระราชา
และประทานความเที่ยงธรรมของพระองค์แก่พระโอรสของพระราชาด้วย
ขอพระราชาทรงปกครองประชากรของพระองค์ด้วยความชอบธรรม
และทรงดูแลคนยากจนของพระองค์ด้วยวิจารณญาณ
     ข) ในรัชสมัยของพระราชา ขอให้ความชอบธรรมเจริญงอกงาม
และมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งตราบสิ้นแสงจันทร์
ขอให้พระอาณาจักรแผ่ขยายจากทะเลจรดทะเล
จากแม่น้ำจนสุดปลายแผ่นดิน
     ค) ขอบรรดากษัตริย์แห่งทาร์ซิสและหมู่เกาะทั้งหลายนำบรรณาการมาถวาย
กษัตริย์แห่งเชบาและซาบานำของกำนัลมาถวายด้วย
ขอกษัตริย์ทั้งหลายกราบถวายบังคมพระราชา
และนานาชาติรับใช้พระองค์
     ง) ขอพระราชาทรงปลดปล่อยผู้ขัดสนที่ร้องหาพระองค์
และทรงช่วยคนยากจนที่ไม่มีผู้ช่วยให้รอดพ้น
ขอทรงสงสารผู้อ่อนแอและผู้ขัดสน
ทรงช่วยผู้ขาดแคลนให้รอดจากความตาย

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส      อฟ 3:2-3ก, 5-6
     พี่น้อง ท่านคงรู้แล้วถึงพระหรรษทาน ซึ่งพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้าประกอบพันธกิจเพื่อประโยชน์ของท่านข้าพเจ้ารู้ธรรมล้ำลึกนี้เพราะพระเจ้าทรงเปิดเผยธรรมล้ำลึกนี้พระองค์มิได้ทรงเปิดเผยให้มนุษย์ในอดีตรู้แต่บัดนี้พระเจ้าทรงเปิดเผยเดชะพระจิตเจ้าให้แก่บรรดาอัครสาวกและประกาศกผู้ศักดิ์สิทธิ์รู้ว่าคนต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมในกองมรดกเดียวกันร่วมเป็นกายเดียวกันร่วมรับพระสัญญาเดียวกันในพระคริสตเยซูอาศัยข่าวดี

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ 2:1-12
     ในรัชสมัยกษัตริย์เฮโรดพระเยซูเจ้าประสูติที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดียโหราจารย์บางท่านจากทิศตะวันออกเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็มสืบถามว่า “กษัตริย์ชาวยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใดพวกเราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้นจึงพร้อมใจกันมาเพื่อนมัสการพระองค์” เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงทราบข่าวนี้พระองค์ทรงวุ่นวายพระทัยชาวกรุงเยรูซาเล็มทุกคนต่างก็วุ่นวายใจไปด้วยพระองค์ทรงเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ตรัสถามเขาว่า “พระคริสต์จะประสูติที่ใด” เขาจึงทูลตอบว่า “ในเมืองเบธเลเฮมแคว้นยูเดียเพราะประกาศกเขียนไว้ว่า
เมืองเบธเลเฮมดินแดนยูดาห์
เจ้ามิใช่เล็กที่สุดในบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์
เพราะผู้นำคนหนึ่งจะออกมาจากเจ้า
จะเป็นผู้เลี้ยงดูอิสราเอลประชากรของเรา”
ดังนั้นกษัตริย์เฮโรดทรงเรียกบรรดาโหราจารย์มาเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ทรงซักถามถึงวันเวลาที่ดาวปรากฏแล้วทรงใช้บรรดาโหราจารย์ไปที่เมืองเบธเลเฮมทรงกำชับว่า “จงไปสืบถามเรื่องพระกุมารอย่างละเอียดและเมื่อพบพระกุมารแล้วจงกลับมาบอกให้เรารู้เราจะได้ไปนมัสการพระองค์ด้วย” เมื่อบรรดาโหราจารย์ได้ฟังพระดำรัสแล้วก็ออกเดินทางดาวที่เขาเห็นทางทิศตะวันออกปรากฏอีกครั้งหนึ่งนำทางให้และมาหยุดนิ่งอยู่เหนือสถานที่ประทับของพระกุมารเมื่อเห็นดาวอีกครั้งหนึ่งบรรดาโหราจารย์มีความยินดียิ่งนักเขาเข้าไปในบ้านพบพระกุมารกับพระนางมารีย์พระมารดาจึงคุกเข่าลงนมัสการพระองค์แล้วเปิดหีบสมบัตินำทองคำกำยานและมดยอบ ออกมาถวายพระองค์แต่พระเจ้าทรงเตือนเขาในความฝันมิให้กลับไปหากษัตริย์เฮโรดเขาจึงกลับไปบ้านเมืองของตนโดยทางอื่น

 

ข้อคิด
     เราคิดว่าเรารู้พระคัมภีร์มากกว่าคนต่างศาสนา แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะประเด็นสำคัญอยู่ที่ใครได้พบพระเยซูเจ้าและนมัสการพระองค์ต่างหากปรากฏว่าโหราจารย์ซึ่งไม่รู้พระคัมภีร์แต่ออกแรงเดินทางไกลตามดวงดาวมากลับได้พบและนมัสการพระองค์ส่วนบรรดามหาสมณะและธรรมาจารย์ แม้จะรู้พระคัมภีร์ลึกซึ้งและได้รับการไขแสดงที่ดีกว่า แต่ก็มาไม่ถึงพระองค์
เราจึงต้องไม่รังเกียจหรือดูหมิ่นเหยียดหยามคนต่างศาสนาแต่ต้องพยายามสุดความสามารถ ทำให้พวกเขาเข้าถึงพระเยซูเจ้าและความรักของพระองค์ผ่านทางการดำเนินชีวิตของเรา
จงลุกขึ้นเถิด จงฉายแสงเจิดจ้า เพราะความสว่างของเรามาแล้ว

วันอังคารที่ 5 มกราคม 2016 เทศกาลพระคริสตสมภพ

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง    1 ยน4:7-10
     ท่านที่รักทั้งหลายเราจงรักกัน เพราะความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่มีความรักย่อมเกิดจากพระเจ้าและรู้จักพระองค์ผู้ไม่มีความรักย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรักความรักของพระเจ้าปรากฏให้เราเห็นดังนี้คือ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรเพียงพระองค์เดียวมาในโลกเพื่อเราจะได้มีชีวิตโดยทางพระบุตรนั้น ความรักอยู่ที่ว่าพระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของเรามิใช่อยู่ที่เรารักพระเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                              มก6:34-44
     เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือทรงแลเห็นประชาชนจำนวนมากก็ทรงสงสารเพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยงพระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่องเนื่องจากเป็นเวลาเย็นมากแล้วบรรดาศิษย์จึงเข้ามาเฝ้าพระองค์ทูลว่า “สถานที่นี้เป็นที่เปลี่ยวและเป็นเวลาเย็นมากแล้วขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนไปซื้ออาหารกินตามชนบทและตามหมู่บ้านรอบๆนี้เถิด”
พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด”
     บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า “พวกเราจะต้องไปซื้ออาหารสักสองร้อยเหรียญมาให้เขากินหรือ”
พระองค์ตรัสว่า “ท่านมีขนมปังกี่ก้อนไปดูซิ” บรรดาศิษย์ไปดูแล้วกลับมารายงานว่า “มีขนมปังอยู่ห้าก้อนกับปลาสองตัว”
พระองค์จึงทรงสั่งให้ทุกคนนั่งลงเป็นกลุ่มๆตามพื้นหญ้าสีเขียวเขาก็นั่งลงเป็นกลุ่มๆกลุ่มละหนึ่งร้อยคนบ้างห้าสิบคนบ้างพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวขึ้นมาทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้าแล้วทรงกล่าวถวายพระพรทรงบิขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกจ่ายให้กับประชาชนทั้งยังทรงแบ่งปลาสองตัวแจกจ่ายให้ทุกคนด้วยทุกคนได้กินจนอิ่มแล้วยังเก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้ถึงสิบสองกระบุงเต็มจำนวนคนที่กินขนมปังครั้งนั้นมีผู้ชายถึงห้าพันคน

 

ข้อคิด
    พระเยซูเจ้าทรงสงสารประชาชน ทรงเลี้ยงอาหาร ทรงยอมทนทรมานและที่สุดทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อชดเชยบาปของเราทั้งๆ ที่เราไม่สมควรจะได้รับความรักจากพระองค์ พระองค์ทรงรักเราโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน นี่เป็นความรักแท้ เป็นความรักอันบริสุทธิ์
ส่วนเรา เรารักพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงสมควรได้รับความรักทั้งมวลจากเรา เรารักพระองค์เพราะเราหวังรางวัลนิรันดรจากพระองค์ ความรักของเราจึงยังมีผลประโยชน์แอบแฝง
เพราะฉะนั้น ความรักแท้จริงจึงอยู่ที่พระเจ้าทรงรักเรา และเราต้องหมั่นวอนขอความรักเช่นนี้จากพระองค์

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown