วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2016 สัปดาห์ที่ 3เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนมกราคม 2016
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี่
- ฮิต: 11953
บทอ่านจากหนังสือเนหะมีย์ นหม 8:2-4ก,5-6,8-10
วันที่หนึ่งเดือนเจ็ด เอสราสมณะนำธรรมบัญญัติออกมาต่อหน้าชุมชนทั้งชายหญิงและเด็กที่มีวัยพอจะฟังเข้าใจได้ เอสราอ่านหนังสือที่ลานหน้าประตูน้ำตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเที่ยง ต่อหน้าชายหญิงและเด็กที่มีวัยพอจะฟังเข้าใจได้ ประชากรทั้งปวงตั้งใจฟังข้อความที่อ่านจากหนังสือธรรมบัญญัติ
เอสราธรรมาจารย์ยืนอยู่บนยกพื้นไม้ที่ทำขึ้นเพื่อการนี้
เอสรายืนอยู่สูงกว่าประชากรทั้งปวง ทุกคนจึงเห็นเขาได้ เมื่อเขาเปิดหนังสือ ประชากรทุกคนก็ยืนขึ้น เอสราถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ประชากรทั้งปวงก็ชูมือขึ้นพูดว่า “อาเมน อาเมน” และก้มลงหน้าจรดพื้นนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า
เขาทั้งหลายแปลข้อความจากหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นตอนๆ และอธิบายความหมายให้ประชากรเข้าใจ ประชากรทุกคนที่ฟังถ้อยคำของธรรมบัญญัติก็ร้องไห้ เนหะมีย์ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการ เอสราซึ่งเป็นสมณะและธรรมาจารย์ และชนเลวีผู้สอนประชากรจึงพูดกับประชากรทั้งปวงว่า “วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน อย่าเป็นทุกข์โศกเศร้าหรือร่ำไห้เลยจงกลับไปบ้าน เลี้ยงอาหารเลิศรส ดื่มเหล้าองุ่นอย่างดี และแบ่งปันอาหารให้คนที่ไม่มี เพราะวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา อย่าเศร้าใจเลย เพราะความยินดีจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพละกำลังของท่าน”
เพลงสดุดี สดด19:7-10,14
ก) ธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าสมบูรณ์ทุกประการ
ให้ความชื่นบานแก่จิตวิญญาณ
กฤษฎีกาขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มั่นคง
ให้ปรีชาญาณแก่ผู้ด้อยปัญญา
ข้อบังคับขององค์พระผู้เป็นเจ้าสุจริต
ทำให้ดวงจิตปีติยินดี
บทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ชัดเจน
ให้แสงสว่างแก่ดวงตา
ข) ความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าบริสุทธิ์
ดำรงอยู่ตลอดไป
กฎเกณฑ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็สัตย์จริง
เที่ยงธรรมทุกประการ
เป็นที่พึงปรารถนามากกว่าทองคำ
ยิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์มากมาย
หวานล้ำกว่าน้ำผึ้งที่หยดลงมาจากรวง
ค) ขอให้ถ้อยคำจากปากและความคิดจากใจข้าพเจ้า
เป็นที่โปรดปรานเฉพาะพระพักตร์พระองค์เถิด
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นหลักศิลาและผู้กอบกู้ข้าพเจ้า
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1คร 12:12-30
พี่น้อง แม้ร่างกายเป็นร่างกายเดียวแต่ก็มีอวัยวะหลายส่วนอวัยวะต่างๆเหล่านี้แม้จะมีหลายส่วนก็ร่วมเป็นร่างกายเดียวกันฉันใดพระคริสตเจ้าก็ฉันนั้นเดชะพระจิตเจ้าพระองค์เดียวเราทุกคนจึงได้รับการล้างมารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกันไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีกไม่ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นไทยก็ตามเราทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกันร่างกายไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะส่วนเดียวแต่มีอวัยวะหลายส่วนถ้าเท้าจะพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่มือจึงไม่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย” แต่เท้าไม่ได้เป็นอวัยวะของร่างกายน้อยกว่าอวัยวะส่วนอื่นเพราะเป็นเพียงเท้าหรือถ้าหูจะพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ดวงตาจึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกาย” แต่ก็ไม่ได้ทำให้หูไม่เป็นอวัยวะของร่างกายเลยถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นดวงตาแล้วจะได้ยินได้อย่างไรถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นหูแล้วจะได้กลิ่นได้อย่างไร
โดยแท้จริงแล้วพระเจ้าทรงจัดอวัยวะต่างๆในร่างกายให้อยู่ในที่ที่ทรงพระประสงค์ถ้าร่างกายทุกส่วนเป็นอวัยวะเดียวแล้วร่างกายจะอยู่ที่ไหนเท่าที่เป็นอยู่มีอวัยวะหลายส่วนแต่มีร่างกายเดียวดวงตาพูดกับมือไม่ได้ว่า “เราไม่ต้องการเจ้า” และศีรษะก็พูดกับเท้าไม่ได้ว่า “เราไม่ต้องการเจ้า”
ตรงกันข้ามส่วนที่เราคิดว่าเป็นอวัยวะที่อ่อนแอของร่างกายกลับเป็นอวัยวะที่จำเป็นมากกว่าอวัยวะส่วนที่เราคิดว่าไม่มีเกียรติในร่างกายเรากลับทะนุถนอมด้วยความเคารพเป็นพิเศษและอวัยวะที่น่าอับอายของเรากลับได้รับการตกแต่งให้งดงามมากกว่าส่วนอื่นอวัยวะที่น่าดูอยู่แล้วไม่ต้องการตกแต่งอะไรอีกพระเจ้าทรงประกอบร่างกายขึ้นโดยให้เกียรติแก่อวัยวะที่ไม่มีเกียรติมากกว่าอวัยวะอื่นๆเพื่อร่างกายจะได้ไม่มีการแตกแยกใดๆตรงกันข้ามอวัยวะแต่ละส่วนจะเอาใจใส่ซึ่งกันและกันถ้าอวัยวะหนึ่งเป็นทุกข์อวัยวะอื่นๆทุกส่วนก็ร่วมเป็นทุกข์ด้วยถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติอวัยวะอื่นๆทุกส่วนก็ร่วมยินดีด้วยเช่นเดียวกัน
ท่านทั้งหลายเป็นพระกายของพระคริสตเจ้าแต่ละคนต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้นพระเจ้าทรงแต่งตั้งบางคนให้ทำหน้าที่ต่างๆในพระศาสนจักรคือหนึ่งให้เป็นอัครสาวกสองให้เป็นประกาศกและสามให้เป็นครูอาจารย์ต่อจากนั้นคือผู้มีอำนาจทำอัศจรรย์ผู้รักษาโรคผู้ช่วยเหลือผู้ปกครองและผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจทุกคนเป็นอัครสาวกหรือทุกคนเป็นประกาศกหรือทุกคนเป็นครูอาจารย์หรือทุกคนเป็นผู้ทำอัศจรรย์หรือทุกคนได้รับพระพรพิเศษให้บำบัดโรคได้หรือทุกคนพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจได้หรือทุกคนเป็นผู้ตีความอธิบายความหมายของภาษานั้นหรือ
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 1:1-4 และ 4:14-21
ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพยิ่ง คนจำนวนมากได้เรียบเรียงเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับพวกเรา ผู้ที่เป็นพยานรู้เห็นและประกาศพระวาจามาตั้งแต่แรกได้ถ่ายทอดเหตุการณ์เหล่านี้ให้เรารู้แล้ว ข้าพเจ้าจึงตกลงใจค้นคว้าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นอย่างละเอียด แล้วเรียบเรียงตามลำดับเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งสำหรับท่านด้วย ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าคำสอนที่ท่านรับมานั้นเป็นความจริง
พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปแคว้นกาลิลีพร้อมด้วยพระอานุภาพของพระจิตเจ้า กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นนั้นพระองค์ทรงสอนตามศาลาธรรมของชาวยิวและทุกคนต่างสรรเสริญพระองค์
พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเจริญวัย ในวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระคัมภีร์มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า
พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้
ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน
ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ
คืนสายตาให้แก่คนตาบอด
ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ
ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าที่และประทับนั่งลง สายตาของทุกคนที่อยู่ในศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์ พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว”
ข้อคิด
ในบทอ่านที่หนึ่งและพระวารสารของพิธีบูชาขอบพระคุณในวันนี้ เรามีประกาศกเอสรา ในบทอ่านแรก และพระเยซูเจ้าในบทอ่านที่สาม ทั้งสองมิใช่เป็นแต่เพียงผู้เทศน์เกี่ยวกับคุณธรรม แต่ทั้งสองเป็นผู้ปฏิบัติตามที่ท่านเทศน์ ทั้งสองท่านประพฤติและปฏิบัติตามที่ท่านเทศน์ การเทศน์สอนคุณธรรมกับการปฏิบัติตามที่สอนไม่เหมือนกัน น่าเสียดายที่มีคนจำนวนไม่น้อยที่เทศน์ แต่ไม่ปฏิบัติสิ่งที่ตนเทศน์ นี่คือปัญหาของพวกชาวฟาริสีในสมัยของพระเยซูเจ้า ครั้งหนึ่งพระเยซูเจ้าทรงชี้ให้เห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติตนดังกล่าวว่า “พวกเขาเทศน์แต่ไม่ปฏิบัติตาม” (มัทธิว 23:3)
ตรงกันข้ามกับพวกฟาริสีก็คือบรรดานักบุญส่วนมากมิใช่พระสงฆ์ และพวกท่านไม่เคยเทศน์เกี่ยวกับคุณธรรม แต่ท่านเจริญชีวิตตามคุณธรรมต่างๆ อย่างเคร่งครัด สิ่งที่ท่านนักบุญกระทำเป็นบทเทศน์ที่มีน้ำหนักมากที่สุด พระเยซูเจ้าทรงสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “พระบิดาของท่านประทับอยู่ในสวรรค์ ทรงเห็นความดีเสมอ” และทรงหลั่งพระพรเข้ามาในชีวิตของบรรดานักบุญ และให้กำลังใจแก่พวกท่าน ในอันที่จะเจริญชีวิตที่ใกล้ชิดกับพระองค์ตลอดเวลา