มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2016 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง                           1ซมอ1:1-8
     ชายผู้หนึ่งชื่อเอลคานาห์อยู่ที่เมืองรามาธาอิมในแถบภูเขาเอฟราอิม เขาเป็นชนเผ่าเอฟราอิมจากตระกูลศูฟ เป็นบุตรของเยโรฮัม ซึ่งเป็นบุตรของเอลีฮู บุตรของโทหุ บุตรของศูฟเขามีภรรยาสองคน คนหนึ่งชื่อฮันนาห์ และอีกคนหนึ่งชื่อเปนินนาห์ นางเปนินนาห์มีบุตรชายหญิงหลายคน แต่นางฮันนาห์ไม่มีบุตรเลย ทุกปี ชายผู้นี้จะเดินทางจากเมืองของตนขึ้นไปนมัสการและถวายบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า จอมจักรวาลที่เมืองชิโลห์ (โฮฟนีและฟีเนหัส บุตรสองคนของเอลีเป็นสมณะขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นั่น)
ทุกครั้งที่เอลคานาห์ถวายเครื่องบูชา เขาจะให้เนื้อสัตว์ที่ถวายหลายส่วนแก่นางเปนินนาห์ภรรยา และบุตรชายหญิงทุกคนของนาง แต่เขาให้ส่วนพิเศษแก่นางฮันนาห์เพราะรักนางฮันนาห์มาก แม้องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงให้นางมีบุตร นางเปนินนาห์คู่แข่งมักจะเยาะเย้ยให้นางต้องอับอายและยั่วยุนางให้โกรธ ในการองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงให้นางมีบุตร เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นปีแล้วปีเล่า ทุกครั้งที่ครอบครัวขางเอลคานาห์ขึ้นไปยังวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า นางเปนินนาห์มักจะเยาะเย้ยนางฮันนาห์ จนนางร้องไห้ไม่ยอมกินอะไรเลย เอลคานาห์สามีของนาง จึงถามว่า “ฮันนาห์ที่รัก เธอร้องไห้ทำไมทำไมเธอจึงไม่กินอาหารเลยทำไมจึงเศร้าใจเช่นนี้ฉันคนเดียวไม่ดีกว่าบุตรสิบคนหรือ”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 1:14-20
     หลังจากที่ยอห์นถูกจองจำพระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลีทรงประกาศเทศนาข่าวดีของพระเจ้าตรัสว่า “เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้วจงกลับใจและเชื่อข่าวดีเถิด”
     ขณะที่ทรงพระดำเนินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลีพระองค์ทอดพระเนตรเห็นซีโมนกับอันดรูว์น้องชายกำลังทอดแหเขาเป็นชาวประมงพระเยซูเจ้าตรัสสั่งว่า “จงตามเรามาเถิด เราจะทำให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์” ซีโมนกับอันดรูว์ก็ทิ้งแหไว้แล้วตามพระองค์ไปทันที
     เมื่อทรงพระดำเนินไปอีกเล็กน้อยพระองค์ทอดพระเนตรเห็นยากอบบุตรของเศเบดีและยอห์นน้องชายกำลังซ่อมแหอยู่ในเรือพระองค์ทรงเรียกเขา ทั้งสองคนก็ละทิ้งเศเบดีบิดาของตนไว้ในเรือกับลูกจ้างแล้วตามพระองค์ไปทันที

 

ข้อคิด
     เราเรียนรู้มาว่า เพื่อจะกลับใจจำเป็นต้องเป็นทุกข์ถึงบาป แต่ในทางปฏิบัติเรามักสับสนระหว่างการเป็นทุกข์ถึง “บาป” และการเป็นทุกข์ถึง “ผลของบาป”
     มีคนเป็นจำนวนมากที่เป็นทุกข์เสียใจอย่างจริงจังถึงผลร้ายที่สืบเนื่องมาจากความผิดบาปที่ตนเองได้กระทำลงไป แต่หากเขาแน่ใจว่าสามารถหลบหลีกหรือรอดพ้นจากผลร้ายที่น่าจะติดตามมาได้ เป็นไปได้ว่าเขาจะกลับไปทำผิดเช่นเดิมอีก ที่เป็นเช่นนี้เพราะสิ่งที่เขาเกลียดคือผลของบาป ไม่ใช่ตัวบาปเอง
     แต่การกลับใจที่แท้จริงอยู่ที่การเกลียดบาปไม่ใช่ผลของบาป ผู้ที่เคย “รักบาป” ต้องเปลี่ยนเป็น “เกลียดบาป” จึงจะเรียกว่ากลับใจจริง

วันที่ 12 มกราคม ระลึกถึง บุญราศีนิโคลาส บุญเกิด กฤษบำรุง พระสงฆ์และมรณสักขี

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโทธี ฉบับที่สอง            2 ทธ 2:1-13
     ลูกรักท่านจงรับพละกำลังจากพระหรรษทานซึ่งอยู่ในพระคริสตเยซูจงถ่ายทอดสิ่งที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้าโดยมีหลายคนเป็นพยานแก่คนที่น่าเชื่อถือซึ่งจะสอนคนอื่นต่อไปได้
     จงร่วมทนทุกข์กับผู้อื่นเหมือนทหารที่ดีของพระคริสตเยซูทหารทุกคนจะไม่เข้าไปเกี่ยวกับกิจการของพลเรือนเขามุ่งทำให้ผู้บังคับบัญชาพอใจนักกีฬาก็เช่นเดียวกันไม่มีใครได้ชัยชนะนอกจากจะได้แข่งขันตามกติกาชาวนาที่ตรากตรำทำงานควรเป็นผู้ที่จะได้รับผลก่อนผู้อื่นจงพิจารณาสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดนี้และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานให้ท่านเข้าใจทุกๆเรื่อง
จงระลึกถึง “พระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด” ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศเพราะข่าวดีนี้เองข้าพเจ้าจึงต้องทนทุกข์จนต้องถูกจองจำเหมือนเป็นอาชญากรแต่พระวาจาของพระเจ้าจะถูกจองจำไม่ได้ดังนั้นข้าพเจ้าจึงทนทุกสิ่งเพื่อเห็นแก่ผู้ที่ได้รับเลือกสรรเพื่อพวกเขาจะได้รับความรอดพ้นซึ่งอยู่ในพระคริสตเยซูพร้อมกับชีวิตในสิริรุ่งโรจน์ตลอดนิรันดรด้วย
     ต่อไปนี้คือถ้อยคำที่เชื่อถือได้ถ้าเราตายพร้อมกับพระองค์เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ถ้าเราอดทนมั่นคงเราย่อมจะครองราชย์พร้อมกับพระองค์ถ้าเราปฏิเสธพระองค์พระองค์ย่อมจะทรงปฏิเสธเราถ้าเราไม่ซื่อสัตย์พระองค์ก็ยังทรงซื่อสัตย์ต่อไปเพราะจะทรงปฏิเสธพระองค์ไม่ได้

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 15:9-17
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า“พระบิดาของเราทรงรักเราอย่างไรเราก็รักท่านทั้งหลายอย่างนั้นจงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิดถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของเราท่านก็จะดำรงอยู่ในความรักของเราเหมือนกับที่เราปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระบิดาของเราและดำรงอยู่ในความรักของพระองค์เราบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายแล้วเพื่อให้ความยินดีของเราอยู่กับท่านและความยินดีของท่านจะสมบูรณ์นี่คือบทบัญญัติของเราให้ท่านทั้งหลายรักกันเหมือนดังที่เรารักท่านไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเราถ้าท่านทำตามที่เราสั่งท่านเราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไปเพราะผู้รับใช้ไม่รู้ว่านายของตนทำอะไรเราเรียกท่านเป็นมิตรสหายเพราะเราแจ้งให้ท่านรู้ทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดาของเรามิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเราแต่เราได้เลือกท่านมอบภารกิจให้ท่านไปทำจนเกิดผลและผลของท่านจะคงอยู่เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเราพระบิดาจะประทานแก่ท่านเราสั่งท่านทั้งหลายดังนี้ว่าท่านทั้งหลายจงรักกัน”

 

ข้อคิด
     สมัยก่อน ผู้คนเชื่อเรื่องปีศาจสิง ผู้ใดถูกปีศาจสิงก็จะรู้ตัวว่าถูกสิง และจะมั่นใจว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในตัวเขาและคอยบังคับควบคุมเขา
     พระเยซูเจ้าคือผู้ที่เข้าใจวิธีรักษาคนถูกปีศาจสิงได้ดีที่สุด ก่อนอื่นใดหมดพระองค์ทรงยอมรับว่าชายผู้นั้นถูกปีศาจสิง หาไม่แล้วคงไม่มีทางรักษาเขาให้หายเพราะเขาจะยังคงยึดมั่นว่าปีศาจอยู่ในตัวเขา ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงตรัสสั้นๆ เข้าใจง่าย และชัดเจน ทว่าแฝงไว้ด้วยพลังอำนาจอย่างยิ่งว่า“จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้”
แค่เริ่มต้นเทศน์สอน ปีศาจก็ปั่นป่วนและพ่ายแพ้อย่างราบคาบแล้วเราไม่หวังจะพึ่งพระองค์บ้างหรือ ?!?

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2016 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง                          1 ซมอ 4:1-11
     ชาวอิสราเอลทุกคนจึงฟังถ้อยคำของซามูเอลเนื่องจากเอลีชรามากและบุตรของเขายังดื้อรั้นอยู่ในความประพฤติชั่วต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
     ครั้งนั้นชาวอิสราเอลออกไปสู้รบกับชาวฟีลิสเตีย ตั้งค่ายอยู่ที่เอเบนเอเซอร์ ส่วนชาวฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่อาเฟกชาวฟีลิสเตียตั้งแนวรบเข้าต่อสู้กับชาวอิสราเอล และสู้รบกันอย่างหนัก ชาวอิสราเอลพ่ายแพ้ชาวฟีลิสเตียซึ่งฆ่าชาวอิสราเอลประมาณสี่พันคนในสนามรบ เมื่อกำลังพลอิสราเอลกลับมาในค่าย บรรดาผู้อาวุโสถามว่า “ทำไมวันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงปล่อยให้เราพ่ายแพ้ชาวฟีลิสเตียเราจงไปนำหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลมาจากเมืองชิโลห์เถิด เพื่อพระองค์จะเสด็จไปกับเรา และทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากศัตรู”ประชากรจึงส่งคนไปที่เมืองชิโลห์ เพื่อนำหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล ผู้ประทับอยู่เหนือบัลลังก์ระหว่างเครูบโฮฟนีและฟีเนหัส บุตรทั้งสองคนของเอลีก็มาพร้อมกับหีบพันธสัญญา เมื่อหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่าย ชาวอิสราเอลทุกคนโห่ร้องเสียงดังสนั่นจนแผ่นดินสั่นสะเทือนเมื่อชาวฟีลิสเตียได้ยินเสียงโห่ร้อง ก็ถามกันว่า “เสียงโห่ร้องดังเช่นนี้ในค่ายของชาวฮีบรูหมายความว่าอะไร”เมื่อชาวฟีลิสเตียรู้ว่า หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่ายชาวฮีบรู เขาก็มีความกลัว พูดกันว่า “พระเจ้าเสด็จมาในค่ายของเขาแล้ว เราแพ้แน่ๆ ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นก่อนเลยเราแพ้แน่ๆ ใครจะช่วยเราให้รอดพ้นจากอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงอานุภาพนี้ได้พระเจ้าองค์นี้แหละทรงส่งภัยพิบัติมาทำลายชาวอียิปต์ในถิ่นทุรกันดาร ชาวฟีลิสเตียทั้งหลาย จงกล้าหาญ และเป็นลูกผู้ชายเถิด มิฉะนั้น ท่านจะต้องเป็นทาสของชาวฮีบรู เหมือนที่เขาเคยเป็นทาสของท่าน จงสู้รบอย่างลูกผู้ชายเถิด”ชาวฟีลิสเตียเข้าสู้รบ ชาวอิสราเอลก็พ่ายแพ้ ต่างหนีกลับบ้านของตน เป็นความปราชัยอย่างใหญ่หลวง ชาวอิสราเอลถูกฆ่าตายถึงสามหมื่นคน หีบพันธสัญญาของพระเจ้าถูกยึดไป โฮฟนีและฟีเนหัส บุตรทั้งสองคนของเอลีก็ถูกฆ่าด้วย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                            มก 1:40-45
     ผู้เป็นโรคเรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้าคุกเข่าอ้อนวอนว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัยพระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” พระเยซูเจ้าทรงสงสารตื้นตันพระทัยจึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขาตรัสว่า “เราพอใจจงหายเถิดทันใดนั้นโรคเรื้อนก็หายเขากลับเป็นปกติพระเยซูเจ้าทรงให้เขาไปทันทีทรงกำชับอย่างแข็งขันว่า “ระวังอย่าบอกอะไรให้ใครรู้เลยแต่จงไปแสดงตนแก่สมณะและถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำหนดเพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว” แต่เมื่อชายผู้นั้นจากไปเขาก็ป่าวประกาศกระจายข่าวไปทั่วจนพระองค์ไม่อาจเสด็จเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผยอีกต่อไปพระองค์จึงประทับอยู่นอกเมืองในที่เปลี่ยวแม้กระนั้นประชาชนจากทุกทิศก็ยังมาเฝ้าพระองค์

 

ข้อคิด
     คนเป็นโรคเรื้อนนอกจากร่างกายจะเจ็บปวดทรมานเพราะโรคแล้ว กฎหมายยังกำหนดให้เขาต้องอาศัยอยู่นอกค่ายตามลำพัง สวมเสื้อผ้าฉีกขาด ไม่โพกศีรษะ ปิดหน้าส่วนล่างเวลาจะไปไหนให้ร้องตะโกนว่า “มีมลทิน มีมลทิน”(ลนต 13:45-46)
แต่พระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสผู้เป็นโรคเรื้อน และรักษาเขาให้หายโดยปราศจากความรังเกียจใดๆ ทั้งสิ้น
ไม่มีผู้ใดสกปรกในสายพระเนตรของพระองค์พระองค์ทรงพร้อมเสมอที่จะต้อนรับมนุษย์ทุกคนที่สิ้นหวัง ด้วยดวงพระทัยที่เข้าใจและเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาสงสาร

วันพุธที่ 13 มกราคม 2016 น.ฮีลารี พระสังฆราชและนักปราชญ์

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง                          1 ซมอ 3:1-10,19-20
     หนุ่มซามูเอลรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในความดูแลของเอลี ในสมัยนั้นมีพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีน้อย และไม่ค่อยมีนิมิตจากพระองค์ คืนหนึ่ง เอลีซึ่งบัดนี้นัยน์ตามืดมัวจนเกือบจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว นอนอยู่ในห้องของตน ดวงประทีปในสักการสถานของพระเจ้ายังไม่ดับ ซามูเอลกำลังนอนอยู่ในสักการสถานขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่มีหีบพันธสัญญาของพระเจ้าประดิษฐานอยู่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกซามูเอล เขาทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่”แล้ววิ่งไปหาเอลีพูดว่า “ท่านเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว”แต่เอลีตอบว่า “พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับไปนอนเถอะ”ซามูเอลก็กลับไปนอน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกอีกว่า “ซามูเอล”ซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลีพูดว่า “ท่านเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว”เอลีตอบว่า “ลูกเอ๋ย พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับไปนอนเถอะ”ซามูเอลยังไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกเขาเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไม่ทรงเปิดเผยพระวาจาแก่เขามาก่อน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกซามูเอลอีกเป็นครั้งที่สาม เขาก็ลุกขึ้นไปหาเอลีพูดว่า “ท่านเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว”เอลีจึงเข้าใจว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกเด็กนั้น เอลีบอกซามูเอลว่า “กลับไปนอนเถอะ ถ้ามีเสียงเรียกลูกอีกก็จงตอบว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำลังฟังอยู่’” ซามูเอลจึงกลับไปนอนในที่ของตน
     องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาประทับที่นั่น ตรัสเรียกเช่นครั้งก่อนว่า “ซามูเอลซามูเอล”ซามูเอลทูลตอบว่า “ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำลังฟังอยู่”
     ซามูเอลเจริญวัยขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และทรงทำให้คำพูดทุกคำของซามูเอลเป็นจริงดังนั้น ชาวอิสราเอลทุกคนตั้งแต่เมืองดานจนถึงเมืองเบเออร์เชบารู้ว่า ซามูเอลได้รับแต่งตั้งเป็นประกาศกขององค์พระผู้เป็นเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                              มก 1:29-39
     ทันทีที่ออกจากศาลาธรรมพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านของซีโมนและอันดรูว์พร้อมกับยากอบและยอห์นมารดาของภรรยาซีโมนกำลังนอนป่วยเป็นไข้อยู่เขาจึงทูลพระองค์ให้ทรงทราบทันทีพระองค์เสด็จเข้าไปจับมือนางพยุงให้ลุกขึ้นนางก็หายไข้และรับใช้ทุกคน
     เย็นวันนั้นเมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้วมีคนนำผู้ป่วยและผู้ถูกปีศาจสิงมาเฝ้าพระองค์คนทั้งเมืองมารวมกันที่ประตูพระองค์ทรงรักษาหลายคนที่เป็นโรคต่างๆให้หายทรงขับไล่ปีศาจออกไปแต่ไม่ทรงอนุญาตให้มันพูดเพราะมันรู้จักพระองค์
     วันต่อมาพระองค์ทรงลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่เสด็จออกจากบ้านไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนาที่นั่นซีโมนและผู้ที่อยู่กับเขาตามหาพระองค์เมื่อพบแล้วจึงทูลพระองค์ว่า “ทุกคนกำลังแสวงหาพระองค์” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราไปที่อื่นกันเถิดไปตามตำบลใกล้เคียงเพื่อจะได้เทศน์สอนที่นั่นด้วยเพราะเรามาด้วยจุดประสงค์นี้” พระองค์จึงเสด็จไปเทศน์สอนตามศาลาธรรมทั่วแคว้นกาลิลีทรงขับไล่ปีศาจด้วย

 

ข้อคิด
     ชาวยิวมีธรรมเนียมรับประทานอาหารมื้อสำคัญของวันสับบาโตหลังเสร็จสิ้นพิธีที่ศาลาธรรมแล้วทั้งๆ ที่ทรงหิวและเหน็ดเหนื่อยหลังออกจากศาลาธรรมแต่พระเยซูเจ้าก็ไม่ทรงรีรอที่จะรักษาแม่ยายของเปโตรให้หายจากไข้
     พระองค์ไม่เคยเหนื่อยหน่ายที่จะช่วยเหลือผู้คน ความต้องการของผู้อื่นอยู่เหนือความต้องการส่วนตัวของพระองค์เสมอ พระองค์พร้อมจะช่วยเหลือทุกคน ทุกแห่ง และทุกเวลา ไม่ว่าจะต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากในศาลาธรรม หรือต่อหน้าคนหยิบมือเดียวในบ้านของเปโตร
     ที่สำคัญพระองค์ทรงใส่ใจต่อ “ทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์” และไม่เคยมองผู้ใดเป็นภาระเลย!

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2016 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง                          1 ซมอ 8:4-7,10-22ก
     บรรดาผู้อาวุโสของชาวอิสราเอลจึงมาชุมนุมกันไปหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ พูดว่า “ท่านชราแล้ว และบุตรของท่านไม่ประพฤติตามแบบอย่างของท่าน ดังนั้น ท่านจงแต่งตั้งกษัตริย์ขึ้นปกครองพวกเราเหมือนกับชนชาติอื่นเถิด”ซามูเอลไม่พอใจที่เขาเหล่านั้นขอกษัตริย์มาปกครอง จึงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบซามูเอลว่า “จงฟังถ้อยคำทุกประการที่ประชากรพูดกับท่านเถิด เขาไม่ได้ละทิ้งท่านแต่ละทิ้งเรา ไม่ยอมให้เราเป็นกษัตริย์ปกครองเขา
     ซามูเอลบอกให้ประชากรที่มาขอกษัตริย์รู้ทุกอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เขากล่าวว่า “นี่เป็นสิทธิของกษัตริย์ที่จะมาปกครองท่านพระองค์จะทรงเกณฑ์บรรดาบุตรชายของท่านไปเป็นทหารประจำรถรบและประจำม้า วิ่งนำหน้ารถรบของพระองค์ พระองค์จะทรงแต่งตั้งบุตรของท่านบางคนเป็นนายทหารคุมทหารพันคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง พระองค์จะทรงบังคับบุตรของท่านให้ไถนาและเก็บเกี่ยวผลผลิตจากทุ่งนาของพระองค์หรือให้เป็นช่างทำอาวุธและอุปกรณ์รถรบของพระองค์ พระองค์จะทรงเกณฑ์บุตรสาวของท่านไปทำน้ำหอม ปรุงอาหารและทำขนมสำหรับพระองค์ พระองค์จะทรงยึดทุ่งนา สวนองุ่นและสวนมะกอกเทศดีที่สุดของท่านไปให้ข้าราชบริพารของพระองค์ พระองค์จะทรงชักหนึ่งในสิบจากข้าวและผลองุ่น ไปยกให้ข้าราชสำนักและข้าราชการอื่นๆ พระองค์จะทรงเอาทาสชายหญิง ฝูงโคและลาดีที่สุดของท่านไปทำงานให้พระองค์ พระองค์จะทรงเอาหนึ่งในสิบจากฝูงแพะแกะของท่าน และท่านจะต้องเป็นทาสของพระองค์ เมื่อถึงเวลานั้นกษัตริย์ที่ท่านได้เลือกสำหรับท่านนี้จะเป็นเหตุให้ท่านร้องขอความช่วยเหลือ แต่ในวันนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงฟังท่าน”
     ประชากรไม่ยอมฟังเสียงของซามูเอล กลับพูดว่า “จะไม่เป็นเช่นนี้ พวกเราต้องการกษัตริย์ปกครอง เราจะได้เป็นเหมือนชนชาติอื่นที่มีกษัตริย์ปกครอง พระองค์จะทรงนำพวกเราออกไปสู้รบกับศัตรูพร้อมกับเรา”ซามูเอลฟังถ้อยคำทุกคำที่ประชากรพูด และนำเรื่องไปทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับซามูเอลว่า “จงทำตามข้อเสนอของเขาให้เขามีกษัตริย์ปกครองเถิด”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 2:1-12
     ต่อมาอีกสองสามวันพระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่เมืองคาเปอรนาอุมเมื่อเป็นที่รู้กันว่าพระองค์ประทับอยู่ในบ้านประชาชนจำนวนมากจึงมาชุมนุมกันจนไม่มีที่ว่างแม้กระทั่งที่ประตูพระองค์ประทานพระโอวาทสอนประชาชนเหล่านั้นชายสี่คนหามคนอัมพาตคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์แต่เขานำคนอัมพาตนั้นฝ่าฝูงชนเข้าไปถึงพระองค์ไม่ได้เขาจึงเปิดหลังคาบ้านตรงที่พระองค์ประทับอยู่แล้วหย่อนแคร่ที่คนอัมพาตนอนอยู่ลงมาทางช่องนั้นเมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของคนเหล่านี้จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ลูกเอ๋ยบาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” ที่นั่นมีธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ด้วยเขาคิดในใจว่า “ทำไมคนนี้จึงพูดเช่นนี้เขากล่าวดูหมิ่นพระเจ้าใครอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น” ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาด้วยพระจิตของพระองค์จึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายคิดเช่นนี้ในใจทำไมอย่างใดง่ายกว่ากันการบอกคนอัมพาตว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ หรือบอกว่า ‘ลุกขึ้นแบกแคร่เดินไปเถิด’ แต่เพื่อให้ท่านรู้ว่าบุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัยบาปได้บนแผ่นดิน” พระองค์ตรัสแก่คนอัมพาตว่า “เราสั่งท่านจงลุกขึ้นแบกแคร่กลับไปบ้านเถิด” เขาก็ลุกขึ้นแบกแคร่ออกเดินไปทันทีต่อหน้าคนทั้งปวงทุกคนต่างประหลาดใจถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและพูดว่า “พวกเรายังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย”

 

ข้อคิด
     ชาวยิวเชื่อปักใจว่าผู้ใดเจ็บไข้ได้ป่วยหรือตกทุกข์ได้ยากก็แปลว่าผู้นั้นได้ทำบาป บรรดาธรรมาจารย์จึงสอนว่าต้องอภัยบาปก่อนจึงจะรักษาคนป่วยให้หายได้
     การพูดว่า “บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” เป็นเรื่องง่าย นักต้มตุ๋นคนไหนๆ ก็พูดได้เพราะไม่มีข้อพิสูจน์แต่การสั่งคนอัมพาตให้ “ลุกขึ้น แบกแคร่เดินไปเถิด” ก่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมจับต้องได้ จึงยากที่จะหลอกลวงผู้อื่น
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทำเรื่องยากคือรักษาคนอัมพาตให้เดินได้ ก็แปลว่าพระองค์มีสิทธิ์และอำนาจที่จะยกบาปได้ ซึ่งทำให้ประชาชนพากันสรรเสริญพระเจ้า แต่พวกธรรมาจารย์กลับเสียหน้าและคิดจะกำจัดพระองค์
ในเมื่อพระองค์ทรงยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อพิสูจน์ว่าสามารถอภัยบาปให้เราได้แล้ว เรายังจะใจเย็นเฉยอยู่อีกหรือ ?

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown