มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน 2019 ฉลองนักบุญมัทธิว อัครสาวก และผู้นิพนธ์พระวรสาร

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส     อฟ 4:1-7,11-13
    พี่น้อง ข้าพเจ้าผู้ถูกจองจำเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า วอนขอท่านทั้งหลายให้ดำเนินชีวิตสมกับการที่ท่านได้รับเรียก จงถ่อมตนอยู่เสมอ จงมีความอ่อนโยน พากเพียรอดทนต่อกันด้วยความรัก พยายามรักษาเอกภาพแห่งพระจิตเจ้าด้วยสายสัมพันธ์แห่งสันติ มีกายเดียวและจิตเดียว ดังที่พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการเดียว มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อหนึ่งเดียว ศีลล้างบาปหนึ่งเดียว พระเจ้าหนึ่งเดียว ผู้ทรงเป็นพระบิดาของทุกคน พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน ทรงกระทำการผ่านทุกคน และสถิตในทุกคน
     เราแต่ละคนได้รับพระหรรษทานตามสัดส่วนที่พระคริสตเจ้าประทานให้ ดังนั้น จึงมีคำกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า
“เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง พระองค์ทรงนำบรรดาเชลยไปด้วย
และทรงแจกจ่ายของประทานแก่บรรดามนุษย์”
คำว่า “พระองค์เสด็จขึ้น” นั้นหมายความว่าอย่างไร ถ้ามิใช่หมายความว่า พระองค์ได้เสด็จลงไปยังแผ่นดินเบื้องล่างก่อนแล้ว และพระองค์ผู้เสด็จลงไปก็เป็นองค์เดียวกับผู้เสด็จขึ้นไปเหนือสวรรค์ทุกชั้น เพื่อจะทรงครอบครองทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์ พระองค์ประทานให้บางคนเป็นอัครสาวก บางคนเป็นประกาศก บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวดี บางคนเป็นผู้อภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ไว้สำหรับงานรับใช้ เสริมสร้างพระกายของพระคริสตเจ้า จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ตามมาตรฐานความสมบูรณ์ของพระคริสตเจ้า

 

สดด 19:1-2,3-4

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 9:9-13
     ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินไปจากที่นั่น ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว กำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
     ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของมัทธิว คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคน มาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เมื่อเห็นดังนี้ ชาวฟาริสีจึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงกินอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า” พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้น จึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ จงไปเรียนรู้ความหมายของพระวาจาที่ว่า ‘เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา’ เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป”

 

ข้อคิด

      กระแสเรียกของมัทธิว เป็นที่สะดุดอย่างร้ายแรงสำหรับชาวฟาริสี เพราะพวกนี้สอนว่า คนเก็บภาษีเป็นที่น่าดูหมิ่นเหยียดหยามมากกว่าหญิงโสเภณี เพราะหญิงโสเภณีขายเฉพาะร่างกายของตน แต่คนเก็บภาษีนั้นได้ขายจิตวิญญาณของตนเองด้วย ในพระวรสารทั้ง 4 เล่ม มีแต่พระวรสารนักบุญมัทธิวที่เรียกชายที่นั่งอยู่ที่ด่านภาษีว่า “มัทธิว” ส่วนที่เหลือจะเรียกว่า “เลวี” ไม่มีใครที่เอ่ยถึงว่ามัทธิวคือคนเก็บภาษีมาก่อน เพื่อปิดบังว่าคนเก็บภาษีคนนี้เป็นมัทธิว แต่เป็นมัทธิวเองที่แสดงถึงอดีตของการเป็นคนบาปของตนเอง เพราะท่านมั่นว่า พระเยซูเจ้าทรงเรียกท่านซึ่งเป็นคนบาปให้มาเป็นศิษย์ของพระองค์ พระองค์มาเพื่อมอบความรักให้กับคนบาป

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2019 สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอาโมส                              อมส 8:4-7
     ท่านทั้งหลายที่เหยียบย่ำคนขัดสน และทำลายคนยากจนของแผ่นดิน จงฟังถ้อยคำนี้เถิด ท่านพูดว่า “เมื่อไรวันต้นเดือนจะผ่านไป เราจะได้ขายข้าว เมื่อไรวันสับบาโตจะพ้นไป เราจะได้นำข้าวสาลีออกขาย เราจะทำถังตวงข้าวให้เล็กลง ทำให้ตุ้มเชเขลใหญ่ขึ้น ใช้ตาชั่งโกงน้ำหนัก เราจะได้ใช้เงินซื้อคนจน และใช้รองเท้าสานคู่หนึ่งซื้อคนขัดสน เราจะขายแม้กากข้าวสาลี” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสาบานต่อศักดิ์ศรีของยาโคบว่า “เราจะไม่ลืมการกระทำของเขาเลย”


เพลงสดุดี                                                                สดด 113:1-3,4-6,7-8
     ก) ผู้รับใช้ทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้าเอ๋ย จงสรรเสริญพระองค์เถิด
จงสรรเสริญพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้าจงได้รับการถวายพระพรบัดนี้และตลอดไป
ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตก
ขอพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้าจงได้รับการสรรเสริญ
     ข) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสูงส่งเหนือนานาชาติ
พระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์สูงสุดเหนือสวรรค์
ผู้ใดจะเสมอเหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา
พระองค์ประทับบนพระบัลลังก์ในที่สูง
แต่ทรงน้อมพระองค์ทอดพระเนตรลงมายังสวรรค์และแผ่นดิน
     ค) ทรงยกคนยากจนขึ้นมาจากฝุ่นดิน
ทรงยกคนขัดสนขึ้นมาจากกองขยะ
เพื่อให้เขานั่งร่วมกับบรรดาเจ้านาย
กับเจ้านายแห่งประชากรของพระองค์

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่หนึ่ง     1 ทธ 2:1-8
     ลูกที่รัก ในขั้นแรกนี้ ข้าพเจ้าขอร้องให้วอนขอ อธิษฐาน อ้อนวอนแทนและขอบพระคุณพระเจ้าเพื่อมนุษย์ทุกคน เพื่อกษัตริย์และเพื่อผู้มีอำนาจ เราจะได้มีชีวิตที่สงบสุขราบรื่น เป็นชีวิตที่มีเกียรติด้วยความเคารพเลื่อมใสพระเจ้า การกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่ดีงามและเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าพระผู้ไถ่ของเรา พระองค์มีพระประสงค์ให้ทุกคนได้รับความรอดพ้น และรู้ความจริงที่สมบูรณ์ ทั้งนี้เพราะมีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว และพระเจ้ากับมนุษย์ก็มีคนกลางแต่เพียงผู้เดียวซึ่งเป็นมนุษย์คนหนึ่ง คือพระคริสตเยซู ผู้ทรงมอบพระองค์เป็นสินไถ่สำหรับมนุษย์ทุกคน การมอบพระองค์ดังกล่าวนี้คือการเป็นพยานยืนยันที่ทรงให้ไว้ตามเวลาที่กำหนด และข้าพเจ้าก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศการเป็นพยานยืนยันนี้ เป็นอัครสาวก เป็นผู้สอนคนต่างชาติเรื่องความเชื่อและความจริง ข้าพเจ้ากำลังพูดความจริง มิได้พูดความเท็จ
    ข้าพเจ้าปรารถนาให้บุรุษยกมือที่บริสุทธิ์ขึ้นอธิษฐานไม่ว่าจะอยู่ที่ใด อย่าให้มีความโกรธหรือการโต้เถียงใดๆ ระหว่างกัน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 16:1-13
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า  “เศรษฐีผู้หนึ่งมีผู้จัดการดูแลผลประโยชน์คนหนึ่ง มีผู้มาฟ้องว่าผู้จัดการคนนี้ผลาญทรัพย์สินของนาย เศรษฐีจึงเรียกผู้จัดการมาถามว่า ‘เรื่องที่เราได้ยินเกี่ยวกับเจ้าเป็นอย่างไร จงทำบัญชีรายงานการจัดการของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้จัดการอีกต่อไป’ ผู้จัดการจึงคิดว่า ‘ฉันจะทำอย่างไร นายจะไล่ฉันออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะไปขุดดินก็ทำไม่ไหว จะไปขอทานก็อายเขา ฉันรู้แล้วว่าจะทำอย่างไรเพื่อว่าเมื่อฉันถูกไล่ออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะมีคนรับฉันไว้ในบ้านของเขา’
     เขาจึงเรียกลูกหนี้ของนายเข้ามาทีละคน ถามคนแรกว่า ‘ท่านเป็นหนี้นายข้าพเจ้าเท่าไร’ ลูกหนี้ตอบว่า ‘เป็นหนี้น้ำมันมะกอกเทศหนึ่งร้อยถัง’ ผู้จัดการจึงบอกว่า ‘นำใบสัญญาของท่านมา นั่งลงเร็วๆ เขียนแก้เป็นห้าสิบถัง’ แล้วเขาถามลูกหนี้อีกคนหนึ่งว่า ‘แล้วท่านล่ะ เป็นหนี้อยู่เท่าไร’ เขาตอบว่า ‘เป็นหนี้ข้าวสาลีหนึ่งร้อยกระสอบ’ ผู้จัดการจึงบอกว่า ‘เอาใบสัญญาของท่านมาแล้วเขียนแก้เป็นแปดสิบกระสอบ’
    นายนึกชมผู้จัดการทุจริตคนนั้นว่าเขาทำอย่างเฉลียวฉลาด ทั้งนี้ก็เพราะบุตรของโลกนี้มีความเฉลียวฉลาดในการติดต่อกับคนประเภทเดียวกันมากกว่าบุตรของความสว่าง”
     “ดังนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงใช้เงินทองของโลกอธรรมนี้เพื่อสร้างมิตรให้ตนเอง เพื่อว่าเมื่อเงินทองนั้นหมดสิ้นแล้ว ท่านจะได้รับการต้อนรับสู่ที่พำนักนิรันดร ผู้ที่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเงินทองของโลกอธรรมแล้ว ผู้ใดจะวางใจมอบสมบัติแท้จริงให้ท่านดูแลเล่า ถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในการดูแลทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ผู้ใดจะให้ทรัพย์สมบัติของท่านแก่ท่าน
     ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะเกลียดชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่ง เขาจะจงรักภักดีต่อนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้”

 

ข้อคิด

     เวลาพูดถึง “ความเฉลียวฉลาด” ของผู้จัดการทุจริต ไม่ใช่พระเยซูเจ้าที่ทรงชื่นชม แต่เป็นเศรษฐีในนิทานเปรียบเทียบที่ชื่นชมในความ “เฉลียวฉลาด” นั้น
ดังนั้น ใจความสำคัญของพระวรสารตอนนี้ ไม่ใช่การสอนให้คริสตชนต้องเป็นคนเฉลียวฉลาดทางโลกและทำการทุจริต แต่เป็น “ความซื่อสัตย์”
เพื่อทำให้ ตัวเอง หลังจากถูกไล่ออกจากงาน มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ผู้จัดการทุจริตคนนี้ จึงต้องพยายามคิดแผนการที่ดูเฉลียวฉลาดต่างๆ
แต่เพื่อทำให้วิญญาณ หลังจากผ่านโลกนี้ไปแล้ว มีชีวิตนิรันดร คริสตชนจึงต้องพยายามดำเนินชีวิตอย่าง “ซื่อสัตย์”ต่อพระพักตร์พระเจ้า

วันอังคารที่ 24 กันยายน 2019 สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือเอสรา                                           อสร 6:7-8,12ข,14-20
     ในครั้งนั้น กษัตริย์ดาริอัสได้มีพระราชหัตถเลขาถึงบรรดาผู้ปกครองดินแดนที่อยู่ทางอีกฟากหนึ่งว่า “จงปล่อยให้ผู้ปกครองและบรรดาผู้อาวุโสชาวยิวดำเนินงานก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้าหลังนี้ต่อไป ให้เขาก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้าขึ้นใหม่ในสถานที่เดิม เรายังสั่งท่านทั้งหลายอีก ให้ช่วยเหลือบรรดาผู้อาวุโสของชาวยิวในการก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้าขึ้นใหม่ ค่าใช้จ่ายในงานนี้ให้จ่ายเต็มจำนวนแก่คนเหล่านี้จากท้องพระคลังหลวง คือจากเงินภาษีที่เก็บได้ในแคว้นตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส เพื่องานก่อสร้างจะได้ไม่หยุดชะงัก และขอให้พระเจ้าผู้ทรงเลือกกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นที่พำนักสำหรับพระนามพระองค์ ทรงทำลายกษัตริย์หรือชนชาติใดๆ ที่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งนี้ และพยายามทำลายพระวิหารหลังนี้ของพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม เรา ดาริอัส ออกพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ และสั่งให้ปฏิบัติตามทุกประการ”
     บรรดาผู้อาวุโสชาวยิวก็ดำเนินงานก่อสร้างให้ก้าวหน้าต่อไป เพราะคำสนับสนุนของประกาศกฮักกัยและเศคาริยาห์บุตรอิดโด เขาสร้างพระวิหารจนเสร็จตามพระบัญชาของพระเจ้าแห่งอิสราเอล และตามพระราชกฤษฎีกาของกษัตริย์ไซรัส ดาริอัส และอารทาเซอร์ซีสแห่งเปอร์เซีย พระวิหารหลังนี้สร้างเสร็จในวันที่สาม เดือนอาดาร์ ปีที่หกในรัชสมัยของกษัตริย์ดาริอัส ชาวอิสราเอลทุกคน คือบรรดาสมณะ ชนเลวี และคนอื่นที่กลับมาจากถิ่นเนรเทศก็ร่วมใจกันเฉลิมฉลองการถวายพระวิหารของพระเจ้าหลังนี้ด้วยความยินดี ในงานถวายพระวิหารของพระเจ้าครั้งนี้ เขาทั้งหลายถวายโคเพศผู้หนึ่งร้อยตัว แกะเพศผู้สองร้อยตัว ลูกแกะสี่ร้อยตัว และยังถวายแพะเพศผู้สิบสองตัวเป็นเครื่องบูชาชดเชยบาปสำหรับชาวอิสราเอลทั้งปวง ตามจำนวนเผ่าของอิสราเอล เขาจัดตั้งสมณะและชนเลวีไว้เป็นหมวดตามเวรเพื่อรับใช้พระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม ตามที่เขียนไว้ในหนังสือของโมเสส
     วันที่สิบสี่เดือนแรก บรรดาผู้กลับจากถิ่นเนรเทศเฉลิมฉลองปัสกา บรรดาสมณะและชนเลวีชำระตนพร้อมกันทุกคน เขาไม่มีมลทิน จึงฆ่าลูกแกะปัสกาสำหรับทุกคนที่กลับมาจากถิ่นเนรเทศ รวมทั้งสำหรับบรรดาพี่น้องสมณะ และสำหรับตนเอง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                ลก 8:19-21
     เวลานั้น พระมารดาและพระประยูรญาติของพระเยซูเจ้ามาเฝ้าพระองค์ แต่ไม่อาจเข้าถึงพระองค์ได้ เพราะมีประชาชนจำนวนมาก มีผู้ทูลพระองค์ว่า “มารดาและพี่น้องของท่านกำลังยืนอยู่ข้างนอก ต้องการพบท่าน” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “มารดาและพี่น้องของเราคือคนเหล่านี้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำไปปฏิบัติ”

 

ข้อคิด

     สำหรับนักบุญลูกา พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระผู้ไถ่สำหรับมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่เฉพาะแต่ชาวยิวเท่านั้น ดังนั้น ครอบครัวของพระเยซูเจ้าจึงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่ทางด้านกายภาพ แต่เป็นความสัมพันธ์ของผู้ที่ฟังพระพระวาจาของพระเจ้า และนำไปปฏิบัติตาม ซึ่งเรื่องนี้ เป็นข่าวดีสำหรับพวกเราทุกคน เพราะชาวยิวสอนกันมาตลอดว่า ตนเองเป็นลูกหลานของอับราฮัม ที่พระเป็นเจ้าทรงสัญญาจะประทานสวรรค์ หรือชีวิตนิรันดร คนอื่นๆ ที่เป็นคนต่างชาติ ต่างศาสนา ไม่มีสิทธิ์ในสิทธิพิเศษนี้ ดังนั้น สิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสในวันนี้ เท่ากับเป็นการประกาศว่า สวรรค์ หรือชีวิตนิรันดรนั้น มีไว้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ที่ฟังพระวาจาของพระเป็นเจ้าและนำไปปฏิบัติตามในชีวิตประจำวันของตนเอง

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2019 ระลึกถึง น.ปีโอ แห่งปีเอเตรลชีนา พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสือเอสรา                                          อสร 1:1-6
     ปีแรกในรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้พระวาจาที่ตรัสโดยประกาศกเยเรมีย์เป็นความจริง จึงทรงดลใจกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียให้ทรงประกาศทั่วพระราชอาณาจักร และมีพระราชสาสน์เป็นลายลักษณ์อักษรด้วยว่า “กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียตรัสดังนี้ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งสวรรค์ได้ประทานอาณาจักรทั้งสิ้นบนแผ่นดินแก่เรา และพระองค์ทรงบัญชาเราให้สร้างพระวิหารถวายพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในแคว้นยูดาห์ ผู้ใดในหมู่ท่านทั้งหลายเป็นประชากรของพระองค์ ขอพระเจ้าสถิตกับผู้นั้น และให้เขากลับขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในแคว้นยูดาห์ และสร้างพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลขึ้นใหม่ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพำนักอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม ขอให้ทุกคนที่เหลือรอดชีวิต ไม่ว่าจะพำนักอยู่ ณ ที่ใด ได้รับความช่วยเหลือจากประชาชนที่นั่น เป็นเงิน ทองคำ สิ่งของและสัตว์เลี้ยง รวมทั้งเครื่องบูชาตามใจสมัคร สำหรับพระวิหารของพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม’”
     หัวหน้าตระกูลยูดาห์และเบนยามินจึงออกเดินทาง พร้อมกับบรรดาสมณะและชนเลวี คือทุกคนที่พระเจ้าทรงดลใจให้กลับขึ้นไปสร้างพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นใหม่ที่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อนบ้านทุกคนช่วยเหลือ เขา ให้เงิน ทองคำ ข้าวของ สัตว์เลี้ยง และของมีค่า นอกเหนือจากเครื่องบูชาที่แต่ละคนถวายตามใจสมัคร

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                               ลก 8:16-18
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า “ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอาถังครอบไว้หรือวางไว้ใต้เตียง แต่เขาย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อคนที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้ ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนอยู่จะไม่ปรากฏชัดแจ้ง ไม่มีความลับใดจะไม่มีใครรู้และเปิดเผย ดังนั้น จงระวังว่าท่านฟังพระวาจาอย่างไร เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีจะถูกริบไปด้วย”


ข้อคิด

     ในปี ค.ศ.1575 ณ อารามของภราดาน้อยกาปูชินท่ซาน โจวานนี โรตอนโต ประเทศอิตาลี นักบุญคามิลโลมาทำธุระและพักอยู่ที่นั่น 1 คืน ก่อนเดินทางกลับ อธิการของอารามได้เตือนจิตใจท่านให้ละทิ้งบาป ระหว่างทาง พระหรรษทานของพระเจ้าได้ทำให้ท่านกลับใจ ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1575
     ในปี ค.ศ.1916 ณ อารามเดียวกัน นักบุญปีโอได้ย้ายเข้ามาพักในห้องเดียวกับนักบุญคามิลโล ท่านกล่าวว่า “นักบุญคามิลโลซึ่งเป็นคนบาป ได้นอนพักที่ห้องนี้เพียงคืนเดียวและกลายเป็นนักบุญ ดังนั้น ข้าพเจ้าที่เป็นคนบาปที่ได้พักห้องเดียวกันนี้ ก็จะพยายามดำเนินชีวิตเป็นนักบุญด้วยเช่นกัน”
    และสิ่งนี้คือจิตตารมณ์ของคริสตชน คือ การพยายามดำเนินชีวิตในทุกๆวัน ให้เป็นบุคคลที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า

วันพุธที่ 25 กันยายน 2019 สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือเอสรา                                           อสร 9:5-9
      เมื่อถึงเวลาถวายเครื่องบูชายามเย็น ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นจากสภาพความทุกข์ สวมเสื้อผ้าและเสื้อคลุมที่ขาดวิ่น คุกเข่าลง ชูมือขึ้นหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าละอายใจเหลือเกินที่จะเงยหน้าขึ้นหาพระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะความผิดของข้าพเจ้าทั้งหลายมีมากจนท่วมศีรษะ และการกระทำชั่วร้ายของข้าพเจ้าทั้งหลายกองสุมขึ้นไปจนถึงท้องฟ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายทำความชั่วยิ่งใหญ่ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษจนถึงวันนี้ และเพราะความชั่วร้าย ข้าพเจ้าทั้งหลาย บรรดากษัตริย์และบรรดาสมณะจึงตกในเงื้อมมือของบรรดากษัตริย์ต่างชาติ ถูกฆ่า ถูกจับเป็นเชลย ถูกปล้น ถูกสบประมาทอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่บัดนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายได้โปรดปรานชั่วระยะหนึ่ง ทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าบางคนรอดชีวิตเหลืออยู่และประทานที่พำนักอย่างปลอดภัยในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เพื่อพระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายจะทรงบันดาลให้จิตใจของข้าพเจ้าทั้งหลายสดชื่นขึ้น ได้รับความบรรเทาพ้นจากการเป็นทาส จริงอยู่ ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นทาส แต่พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายมิได้ทรงละทิ้งไว้ให้เป็นทาสต่อไป แต่โปรดให้เป็นที่โปรดปรานของบรรดากษัตริย์แห่งเปอร์เซีย พระองค์ประทานชีวิตใหม่ให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อจะสร้างพระวิหารของพระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายขึ้นใหม่ และซ่อมแซมสิ่งปรักหักพัง พระองค์ยังประทานที่หลบภัยแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในแคว้นยูดาห์และที่กรุงเยรูซาเล็ม

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 9:1-6
      เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคนเข้ามาพร้อมกัน ประทานอำนาจเหนือปีศาจ และพลังรักษาโรค ทรงส่งเขาไปประกาศพระอาณาจักรพระเจ้าและรักษาคนเจ็บป่วย พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านเดินทาง อย่านำสิ่งใดไปด้วย อย่านำไม้เท้า ย่าม อาหาร เงิน หรือแม้แต่เสื้อสำรองไปด้วย เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใด จงพักอยู่ที่นั่นจนกว่าจะเดินทางต่อไป ถ้าเขาไม่ต้อนรับท่าน จงออกจากเมืองนั้นและสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็นพยานกล่าวโทษเขา” บรรดาอัครสาวกจึงออกไปตามหมู่บ้าน ประกาศข่าวดีและรักษาโรคไปทั่วทุกแห่ง

 

ข้อคิด

      พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกไป “ประกาศ” ข่าวดี และ “รักษา” คนเจ็บป่วย มีทั้ง “คำพูด” และ “การลงมือ” กระทำ หรือ “เมตตาจิต” เราไม่สามารถบอกกับพี่น้องของเราว่า เรารักพวกเขา ในขณะที่พวกเขายังคงอดอยากเพราะขาดอาหารอยู่ หรือเราไม่สามารถบอกกับพวกเขาว่า เราเป็นห่วงนะ แต่เราไม่เคยไปเยี่ยมเยียนพวกเขาเหล่านั้นเลย เวลาที่เขาต้องการกำลังใจจากเรา และนี่คือสิ่งที่คริสตชนต้องตระหนักว่า ศิษย์ของพระเยซูเจ้า เป็นบุคคลที่ดำเนินชีวิตด้วยความรัก เมตตาจิตต่อบุคคลรอบข้างเสมอๆด้วยเช่นกัน

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown