มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2019 ระลึกถึง น.ปีอที่ 10 พระสันตะปาปา

บทอ่านจากหนังสือผู้วินิจฉัย                                      วนฉ 9:6-15
     ในครั้งนั้น คนสำคัญทั้งหลายของเมืองเชเคมและเบธมิลโลทั้งหมดมาชุมนุมกันที่ต้นโอ๊กใกล้เสาศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองเชเคม ตั้งอาบีเมเลคเป็นกษัตริย์
     เมื่อโยธามทราบข่าวนี้ก็ไปยืนบนยอดภูเขาเกริซิมร้องตะโกนเสียงดังว่า “ชาวเชเคมผู้มีเกียรติทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้าเถิด แล้วพระเจ้าจะทรงฟังท่านด้วย ครั้งหนึ่ง บรรดาต้นไม้ออกไป เพื่อเจิมตั้งกษัตริย์ขึ้นปกครองตน กล่าวเชิญต้นมะกอกเทศว่า ‘จงเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเราเถิด’ ต้นมะกอกเทศตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะต้องเลิกผลิตน้ำมัน ที่ใช้ถวายเกียรติแด่เทพเจ้าและมนุษย์ ไปแกว่งไกวอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆ หรือ’ บรรดาต้นไม้จึงกล่าวเชิญต้นมะเดื่อเทศว่า ‘จงมาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเราเถิด’ ต้นมะเดื่อเทศตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะต้องเลิกผลิตผลหวานน่ากิน ไปแกว่งไกวอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆ หรือ’ บรรดาต้นไม้กล่าวเชิญเถาองุ่นว่า ‘จงมาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเราเถิด’ เถาองุ่นตอบว่า ‘ข้าพเจ้าจะต้องเลิกผลิตเหล้าองุ่น ซึ่งทำให้เทพเจ้าและมนุษย์มีความยินดี ไปแกว่งไกวอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆ หรือ’ บรรดาต้นไม้จึงพร้อมใจกล่าวเชิญพุ่มหนามว่า ‘จงมาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเราเถิด’ พุ่มหนามก็ตอบบรรดาต้นไม้ว่า ‘ถ้าท่านต้องการเจิมตั้งข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์จริงๆ ละก็ จงมาพักอยู่ใต้ร่มเงาของข้าพเจ้าเถิด ถ้าท่านไม่มา ไฟจะออกมาจากพุ่มหนาม และเผาผลาญต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน’”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 20:1-16ก
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์เป็นคำอุปมาดังนี้ “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่น ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำงานในสวนองุ่น ประมาณสามโมงเช้า พ่อบ้านออกมาก็เห็นคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่ลานสาธารณะโดยไม่ทำงาน จึงพูดกับคนเหล่านี้ว่า ‘จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ คนเหล่านี้ก็ไป พ่อบ้านออกไปอีกประมาณเที่ยงวันและบ่ายสามโมง กระทำเช่นเดียวกัน ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคนอื่นๆ ยืนอยู่ จึงถามเขาว่า ‘ทำไมท่านยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำอะไร’ เขาตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครมาจ้าง’ พ่อบ้านจึงพูดว่า ‘จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด’
     ครั้นถึงเวลาค่ำ เจ้าของสวนบอกผู้จัดการว่า ‘ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริ่มตั้งแต่คนสุดท้ายจนถึงคนแรก’ เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่งเหรียญ เมื่อคนงานพวกแรกมาถึง เขาคิดว่าตนจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้รับคนละหนึ่งเหรียญเช่นเดียวกัน ขณะรับค่าจ้างเขาก็บ่นต่อหน้าเจ้าของสวนว่า ‘พวกที่มาสุดท้ายนี้ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว ท่านก็ให้ค่าจ้างแก่เขาเท่ากับเรา ซึ่งต้องตรากตรำอยู่กลางแดดตลอดวัน’ เจ้าของสวนจึงพูดกับคนหนึ่งในพวกนี้ว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับฉันคนละหนึ่งเหรียญหรือ จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ’
ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับเป็นคนกลุ่มสุดท้าย”


ข้อคิด

     เมื่อใดที่ความอิจฉา เป็น “แรงผลัก” ให้เราอยากที่จะทำดีเหมือนเขา ก็ควรส่งเสริม แต่ถ้าเมื่อใดที่อิจฉาเป็น “แรงฉุด” ให้ชีวิตต้องสะดุด...ก็จงหยุดเถิด... พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมา เพื่อให้ศิษย์เห็นถึงพิษร้ายของความอิจฉาที่พาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมงาน ทำให้ลูกจ้างไม่พบความสุขจากการทำงาน มองไม่เห็นความใจดี มีเมตตาของนายจ้างที่ให้โอกาสพวกเขาในการทำงาน

วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม 2019 ระลึกถึงพระนางมารีย์ ราชินีแห่งสากลโลก

บทอ่านจากหนังสือผู้วินิจฉัย                                        วนฉ 11:29-39ก
     ในครั้งนั้น พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเหนือเยฟธาห์ เขาเดินข้ามแคว้นกิเลอาดและแผ่นดินของเผ่ามนัสเสห์ผ่านเมืองมิสปาห์แห่งกิเลอาด และจากที่นั่นเข้าไปในดินแดนของชาวอัมโมน เยฟธาห์บนบานกับองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ว่า “ถ้าพระองค์ทรงมอบชาวอัมโมนให้อยู่ในมือของข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้ามีชัยชนะต่อชาวอัมโมนกลับมา คนแรกที่ออกจากประตูบ้านมาต้อนรับข้าพเจ้าจะเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะถวายเขาเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระองค์” เยฟธาห์ยกทัพไปสู้รบกับชาวอัมโมน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบชาวอัมโมนไว้ในมือของเขา เขาตีศัตรูแตกพ่ายตั้งแต่เมืองอาโรเออร์ไปจนถึงบริเวณรอบเมืองมินนิท รวมทั้งสิ้นยี่สิบเมือง จนถึงเมืองอาเบล-เครามิม ดังนั้น ชาวอัมโมนประสบความพ่ายแพ้ยับเยินต้องตกอยู่ใต้ปกครองของชาวอิสราเอล
     เมื่อเยฟธาห์กลับบ้านที่เมืองมิสปาห์ บุตรสาวของเขาเริงระบำเข้ากับรำมะนาออกมาต้อนรับ เยฟธาห์มีบุตรสาวคนนี้เพียงคนเดียว ไม่มีบุตรชายหรือบุตรสาวคนอื่นเลย เมื่อเขาเห็นเธอเข้า ก็ฉีกเสื้อผ้าด้วยความทุกข์ ร้องรำพันว่า “โธ่ลูกเอ๋ย ลูกทำให้ใจพ่อแตกสลาย ทำไมต้องเป็นลูกด้วยที่นำความทุกข์มาให้พ่อ พ่อสัญญากับองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้แล้ว พ่อกลับคำไม่ได้” เธอตอบเขาว่า “คุณพ่อขา ถ้าคุณพ่อสัญญาไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จงทำกับลูกตามคำสัญญาที่คุณพ่อทำไว้เถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้คุณพ่อได้แก้แค้นชาวอัมโมนศัตรูของคุณพ่อแล้ว” แล้วเธอขอร้องบิดาว่า “ลูกขอคุณพ่อเพียงประการเดียว ขอเวลาให้ลูกสักสองเดือน เพื่อลูกจะไปร่ำไห้พร้อมกับเพื่อนๆ ตามภูเขาที่ลูกต้องตายตั้งแต่ยังสาวอยู่” เยฟธาห์ตอบว่า “จงไปเถิด” เขาอนุญาตให้เธอจากไปเป็นเวลาสองเดือน เธอกับเพื่อนๆ ท่องเที่ยวไปร่ำไห้ตามภูเขา เนื่องจากเธอต้องตายตั้งแต่ยังสาวอยู่ เมื่อสองเดือนผ่านไป เธอก็กลับมาหาบิดา เยฟธาห์ก็ทำกับเธอตามที่ได้บนบานไว้

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                 มธ 22:1-14
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่งซึ่งทรงจัดงานอภิเษกสมรสให้พระโอรส ทรงส่งผู้รับใช้ไปเรียกผู้รับเชิญให้มาในงานวิวาห์ แต่พวกเขาไม่ต้องการมา พระองค์จึงทรงส่งผู้รับใช้อื่นไปอีก รับสั่งว่า ‘จงไปบอกผู้รับเชิญว่า บัดนี้เราได้เตรียมการเลี้ยงไว้พร้อมแล้ว ได้ฆ่าวัวและสัตว์อ้วนพีแล้ว ทุกสิ่งพร้อมสรรพ เชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ แต่ผู้รับเชิญมิได้สนใจ คนหนึ่งไปที่ทุ่งนา อีกคนหนึ่งไปทำธุรกิจ คนที่เหลือได้จับผู้รับใช้ของกษัตริย์ ทำร้ายและฆ่าเสีย กษัตริย์กริ้ว จึงทรงส่งกองทหารไปทำลายฆาตกรเหล่านั้นและเผาเมืองของเขาด้วย แล้วพระองค์ตรัสแก่ผู้รับใช้ว่า ‘งานวิวาห์พร้อมแล้ว แต่ผู้รับเชิญไม่เหมาะสมกับงานนี้ จงไปตามทางแยก พบผู้ใดก็ตาม จงเชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ บรรดาผู้รับใช้จึงออกไปตามถนน เชิญทุกคนที่พบมารวมกัน ทั้งคนเลวและคนดี แขกรับเชิญจึงมาเต็มห้องงานอภิเษกสมรส กษัตริย์เสด็จมาทอดพระเนตรแขกรับเชิญ ทรงเห็นคนหนึ่งไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ จึงตรัสแก่เขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ท่านไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ แล้วเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร’ คนนั้นก็นิ่ง กษัตริย์จึงตรัสสั่งผู้รับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าของเขา เอาไปทิ้งในที่มืดข้างนอกเถิด ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง เพราะผู้รับเชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย’”

 

ข้อคิด

     พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมา โดยเปรียบเทียบงานวิวาหมงคลกับอาณาจักรของพระเจ้า คนที่เหมาสมจะเข้าไปนั้น คือ คนที่ยินดี เตรียมพร้อม เพราะผู้ที่ได้รับเชิญมีมาก แต่ผู้ที่ได้รับเลือกนั้นมีน้อย ดังเช่น เยฟธาห์ ผู้มีความพร้อมที่จะทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับพระเจ้า ทำให้ท่านกล้าที่จะมอบทุกสิ่ง แม้แต่สิ่งที่ตนรักหวงแหนและนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ท่านประสบความสำเร็จในหน้าที่ ได้รับการอวยพรจากพระเจ้า

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2019 ฉลองนักบุญบาร์โธโลมิว อัครสาวก

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์                                           วว 21:9ข-14
     ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในเจ็ดองค์ซึ่งถือขันเจ็ดใบบรรจุภัยพิบัติสุดท้ายทั้งเจ็ดประการมาและกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “มาเถิด ข้าพเจ้าจะให้ดูสตรีที่เป็นเจ้าสาวของลูกแกะ” ทูตสวรรค์นำข้าพเจ้าเดชะพระจิตเจ้าไปบนภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง ชี้ให้ข้าพเจ้าเห็นกรุงเยรูซาเล็มนครศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งกำลังลงมาจากสวรรค์ มาจากพระเจ้า นครนี้มีพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า มีความสุกใสเหมือนเพชรพลอยล้ำค่า คล้ายแก้วมณีโชติช่วงเป็นผลึกสดใส มีกำแพงสูงใหญ่ ประตูสิบสองประตู แต่ละประตูมีทูตสวรรค์ประจำอยู่และมีชื่อจารึกไว้ คือชื่อตระกูลอิสราเอลสิบสองตระกูล ทางทิศตะวันออกมีสามประตู ทางทิศเหนือมีสามประตู ทางทิศใต้มีสามประตูและทางทิศตะวันตกมีสามประตู กำแพงเมืองตั้งอยู่บนฐานศิลาสิบสองฐาน บนฐานศิลานั้นมีชื่อของบรรดาอัครสาวกทั้งสิบสององค์ของลูกแกะ

 

สดด 145:10-11,12-13ข,16-19

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                               ยน 1:45-51
     เวลานั้น ฟีลิปพบนาธานาเอล และบอกเขาว่า “เราพบผู้ที่โมเสสในธรรมบัญญัติและบรรดาประกาศกเขียนถึง ผู้นั้นคือพระเยซูบุตรของโยเซฟ ชาวนาซาเร็ธ” นาธานาเอลจึงพูดกับฟีลิปว่า “จะมีอะไรดีมาจากนาซาเร็ธได้รึ” ฟีลิปตอบว่า “มาดูซิ” พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลเข้ามาเฝ้า จึงตรัสถึงเขาว่า “นี่คือชาวอิสราเอลแท้ เป็นคนไม่มีมารยา” นาธานาเอลทูลถามว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อเทศ” นาธานาเอลทูลตอบว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านเชื่อเพราะเราพูดว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อเทศหรือ ท่านจะเห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” แล้วพระองค์ตรัสเสริมว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าเปิด และจะเห็นบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงรับใช้บุตรแห่งมนุษย์”

 

ข้อคิด

     บางทีแค่เปลี่ยนความคิด... ชีวิตก็เปลี่ยนไป เมื่อนาธานาเอลยอมออกจากความคิด อคติที่ตนเองยึดติด แล้วไปมีประสบการณ์ด้วยตนเองกับพระเยซูเจ้า ชีวิตของท่านเปลี่ยนไป จากที่เคยใจแคบ ปิดกั้นทุกสิ่ง นำไปสู่การยอมรับความจริงให้พระเยซูเจ้าเข้ามาเป็นผู้นำในชีวิต เช่นเดียวกับยอห์นในวิวรณ์ เมื่อตัวท่านเองปรับทัศนคติความคิดของตน รับฟังการแนะนำของทูตสวรรค์ ท่านจึงได้เห็นความงดงามของเยรูซาเล็ม นครใหม่ที่สดใสกว่าเดิม

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2019 น.โรซา ชาวลีมา พรหมจารี

บทอ่านจากหนังสือนางรูธ                                           นรธ 1:1,3-8ก,14-16,22
     ในสมัยที่บรรดาผู้วินิจฉัยปกครองอิสราเอล เกิดอดอยากกันดารอาหารขึ้นในแผ่นดิน ชายคนหนึ่งจากเมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูดาห์พร้อมกับภรรยาและบุตรชายสองคน เดินทางไปอยู่ในที่ราบโมอับ
     ต่อมาเอลีเมเลค สามีของนางนาโอมีถึงแก่กรรม ทิ้งนางไว้กับบุตรชายสองคน บุตรทั้งสองคนแต่งงานกับหญิงชาวโมอับ คนหนึ่งชื่อโอรปาห์ อีกคนหนึ่งชื่อรูธ เขาอยู่ที่นั่นประมาณสิบปี แล้วมาห์โลนและคิลิโอนก็ถึงแก่กรรม ทิ้งนางนาโอมีไว้คนเดียว ไม่มีทั้งบุตรและสามี นางนาโอมีได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเยี่ยมเยียนประชากรของพระองค์ ประทานอาหารให้เขาอีก จึงเตรียมจะออกจากที่ราบโมอับไปกับบุตรสะใภ้สองคน นางจึงออกจากสถานที่อยู่พร้อมกับบุตรสะใภ้ทั้งสองคนและขณะที่กำลังเดินทางกลับไปยังแผ่นดินยูดาห์
      นางนาโอมีกล่าวแก่บุตรสะใภ้ทั้งสองคนว่า “ลูกแต่ละคนจงกลับไปบ้านมารดาของลูกเถิด ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อลูกทั้งสองคน เหมือนกับที่ลูกเคยแสดงต่อแม่และต่อสามีที่ล่วงลับไปแล้วเถิด” เขาทั้งสองคนเริ่มร้องไห้เสียงดังอีก แล้วนางโอรปาห์ก็จูบลามารดาของสามีและกลับไป แต่นางรูธไม่ยอมพรากจากเธอ
      นางนาโอมีจึงกล่าวว่า “ดูสิ พี่สะใภ้ของลูกกลับไปหาประชาชนและเทพเจ้าของตนแล้ว ลูกจงกลับไปกับพี่สะใภ้ของลูกเถิด”
     แต่นางรูธตอบว่า “แม่อย่าเร่งรัดให้ดิฉันละทิ้งแม่ หรือห้ามดิฉันไม่ให้ไปกับแม่เลย แม่จะไปที่ไหน ดิฉันจะไปที่นั่นด้วย แม่จะอยู่ที่ไหน ดิฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ประชากรของแม่จะเป็นประชากรของดิฉัน พระเจ้าของแม่จะเป็นพระเจ้าของดิฉันด้วย
ดังนี้ นางนาโอมีกับนางรูธบุตรสะใภ้ชาวโมอับกลับมาจากที่ราบโมอับ เขาทั้งสองคนมาถึงเมืองเบธเลเฮมต้นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 22:34-40
     เวลานั้น เมื่อชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำให้ชาวสะดูสีนิ่งอึ้งไป จึงมาชุมนุมพร้อมกัน มีคนหนึ่งเป็นบัณฑิตทางกฎหมาย ได้ทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “พระอาจารย์ บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้”

 

ข้อคิด

     ความรักของเราต่อพระเจ้า อาจจะเกิดความสับสน ถ้าเราละเลยที่จะรัก “คนรอบข้าง” เมื่อพบเจอกับกลุ่มคนที่ใช้ความรู้ เอาเปรียบ จับผิดคนอื่น พระเยซูเจ้าทรงสอนให้พวกเขาได้เข้าใจว่า แรงจูงใจที่ถูกต้องของการดำเนินชีวิตนั้น ต้องมุ่งไปสู่ความรักต่อ “พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์” ดังเช่น ความรักของนางนาโอมีต่อพระเจ้า แสดงออกผ่านทางการรักนางรูธผู้เป็นลูกสะใภ้ ไม่คิดเหนี่ยวรั้ง บังคับให้ทำตามใจตน และนางรูธตอบสนองความรักต่อสามีและแม่สามีด้วยการยินดีติดตามดูแล ปรนนิบัติรับใช้

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2019 สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                              อสย 66:18-21
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เรารู้การกระทำและความคิดของเขาทั้งหลาย เราจะมารวบรวมชนทุกชาติทุกภาษา เขาเหล่านั้นจะมาและเห็นสิริรุ่งโรจน์ของเรา เราจะให้เครื่องหมายแก่เขา จะส่งผู้รอดชีวิตในหมู่เขาไปยังชนชาติต่างๆ คือ ทารชิช พูต ลูด เมเชค ทูบัลและยาวาน ไปยังเกาะและแผ่นดินชายทะเลที่อยู่ห่างไกลซึ่งยังไม่เคยได้ยินผู้ใดกล่าวถึงเรา และไม่เคยเห็นสิริรุ่งโรจน์ของเรา เขาจะประกาศสิริรุ่งโรจน์ของเราแก่นานาชาติ เขาจะนำพี่น้องทุกคนของท่านทั้งหลายจากชนทุกชาติมาเป็นเครื่องบูชาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะขี่ม้า ขึ้นรถศึก นั่งเสลี่ยง ขี่ล่อ ขี่อูฐโหนกเดียว มายังกรุงเยรูซาเล็ม ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา เช่นเดียวกับที่ชาวอิสราเอลนำธัญบูชาใส่ภาชนะไร้มลทินมายังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส และเราจะนำเขาบางคนมาเป็นสมณะ และเป็นชนเลวี” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส

 

เพลงสดุดี                                                                 สดด 117:1-2
     ก) นานาชาติเอ๋ย จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงเทิดทูนพระองค์เถิด
     ข) เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ต่อเรานั้นช่างยิ่งใหญ่
และความซื่อสัตย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าดำรงอยู่เป็นนิตย์

 

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู                                   ฮบ 12:5-7,11-13
     พี่น้อง ท่านลืมคำเตือนที่พระเจ้าตรัสกับท่านในฐานะที่เป็นบุตรแล้วหรือ
ลูกเอ๋ย อย่าดูถูกการเฆี่ยนตีสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า
อย่าท้อถอยเมื่อพระองค์ทรงตำหนิเจ้า
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฆี่ยนตีสั่งสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก
และทรงเฆี่ยนตีทุกคนที่ทรงรับไว้เป็นบุตร
     ท่านจงอดทนรับการเฆี่ยนตีสั่งสอนเถิด พระเจ้าทรงกระทำต่อท่านเยี่ยงกระทำต่อบุตร มีบุตรคนใดบ้างที่บิดาไม่เฆี่ยนตีสั่งสอนเลย
     เป็นความจริงที่ว่า ขณะที่ถูกเฆี่ยนตีสั่งสอนไม่มีความน่ายินดี มีแต่ความทุกข์ แต่ให้ผลเป็นสันติและเป็นความชอบธรรมแก่ผู้ที่ยอมรับการเฆี่ยนตีสั่งสอนเป็นการฝึกฝนตนเอง ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงทำให้มือที่อ่อนเปลี้ยและหัวเข่าที่สั่นเทามีกำลังมั่นคงขึ้น จงเดินให้ตรงทาง เพื่อว่าขากะเผลกจะได้ไม่ต้องพิการ แต่จะหายเป็นปกติ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 13:22-30
      เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านเมืองและหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนประชาชนและทรงเดินทางมุ่งไปกรุงเยรูซาเล็ม คนคนหนึ่งทูลถามพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า มีน้อยคนใช่ไหมที่รอดพ้นได้” พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงพยายามเข้าทางประตูแคบ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าหลายคนพยายามจะเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้
     เมื่อเจ้าของบ้านจะลุกขึ้นเพื่อปิดประตู ท่านจะยืนอยู่ข้างนอก เคาะประตูพูดว่า ‘นายเจ้าข้า เปิดประตูให้พวกเราด้วย’ แต่เขาจะตอบว่า ‘เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใด’ แล้วท่านก็จะพูดว่า ‘พวกเราได้กินได้ดื่มอยู่กับท่าน ท่านได้สอนในลานสาธารณะของเรา’ แต่เจ้าของบ้านจะตอบว่า ‘เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใด ไปให้พ้นจากเราเถิด เจ้าทั้งหลายที่ทำการอยุติธรรม’
     เวลานั้น ท่านทั้งหลายจะร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคืองเมื่อแลเห็นอับราฮัม อิสอัคและยาโคบกับบรรดาประกาศกในพระอาณาจักรของพระเจ้า แต่ท่านทั้งหลายกลับถูกไล่ออกไปข้างนอก จะมีคนจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ทิศเหนือและทิศใต้ มานั่งร่วมโต๊ะในพระอาณาจักรของพระเจ้า
ดังนั้น พวกที่เป็นกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นกลุ่มแรก และพวกที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นกลุ่มสุดท้าย”

 

ข้อคิด

     เมื่ออุปสรรคพิสูจน์ความแข็งแกร่ง ความเข้มแข็งจึงพิสูจน์กำลังใจ ประกาศกอิสยาห์ป่าวประกาศถึงพระเจ้าผู้ทรงรู้การกระทำ และความคิดในชีวิตมนุษย์ พระองค์ทรงเลือก และส่งบางคนที่เหมาะสมเพื่อทำหน้าที่ “ผู้นำข่าวดี” นักบุญเปาโลเอง ได้ให้กำลังใจ ใครก็ตามที่ปรารถนาจะเป็นผู้นำข่าวดี แต่ต้องพบกับการถูกเฆี่ยนตี สั่งสอนนั้น จงอดทน อย่าท้อถอยเพราะผลของการผ่านความทุกข์ คือ ความสุขจากสันติ อย่างไรก็ตาม ในหนทางที่ยากลำบาก มักจะมีคนจำนวนน้อยที่จะยอม “ผ่าน” ถ้าพวกเขาเลือกทางอื่นได้ พระเยซูเจ้าจึงสอนว่า ผู้ที่ปรารถนาจะนำข่าวดีสำหรับผู้อื่น พวกเขาจำเป็นต้องเป็นผู้ประพฤติดี ปฏิบัติตนอย่างยุติธรรมกับเพื่อนพี่น้องเสียก่อน

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown