มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2019 สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณ                                     ปชญ 18:6-9
     บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้รับรู้ล่วงหน้าถึงคืนนั้น เขาจะได้มีใจกล้าหาญเพราะมั่นใจในพระสัญญาที่เขาเคยเชื่อ ประชากรของพระองค์รอคอยความรอดพ้นของผู้ชอบธรรม และรอคอยความพินาศของศัตรู ถูกต้องแล้ว สิ่งที่พระองค์ทรงใช้ลงโทษศัตรู พระองค์ก็ทรงใช้ประทานเกียรติแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายที่ทรงเรียกมาอยู่กับพระองค์ บรรดาบุตรหลานศักดิ์สิทธิ์ของผู้ชอบธรรมถวายสักการบูชาอย่างลับๆ พร้อมใจกันจะปฏิบัติตามพระบัญญัติข้อนี้ของพระเจ้า คือบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์จะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน เขาจึงขับร้องเพลงสดุดีของบรรพบุรุษ

 

เพลงสดุดี                                                                  สดด 33:1,11-12,18-19,20-22
     ก) ผู้ชอบธรรมทั้งหลาย จงร้องสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความเบิกบานเถิด
คำสรรเสริญคู่ควรกับผู้สุจริต
แต่แผนการขององค์พระผู้เป็นเจ้ามั่นคงตลอดกาล
โครงการที่ตั้งพระทัยไว้ก็คงอยู่ต่อไปทุกยุคทุกสมัย
ชนชาติที่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าของตนย่อมเป็นสุข
คือประชากรที่ทรงเลือกไว้เป็นสมบัติของพระองค์
     ข) แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้าพิทักษ์ผู้ที่ยำเกรงพระองค์
ผู้ที่หวังในความรักมั่นคงของพระองค์
เพื่อจะช่วยชีวิตของเขาให้พ้นจากความตาย
และรักษาเขาไว้ในยามขาดแคลนอาหาร
     ค) จิตใจของเราทั้งหลายกำลังรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือและทรงเป็นโล่ป้องกันภัยของเรา
ใช่แล้ว จิตใจของเราชื่นชมในพระองค์
เพราะเราวางใจในพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอความรักมั่นคงของพระองค์สถิตกับข้าพเจ้าทั้งหลาย
เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายมีความหวังในพระองค์

 

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู                                       ฮบ 11:1-2,8-12
     พี่น้อง ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นข้อพิสูจน์ถึงสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะความเชื่อนี้ คนในสมัยก่อนจึงได้รับการยกย่องในพระคัมภีร์
      เพราะความเชื่อ อับราฮัมเชื่อฟังเมื่อพระเจ้าทรงเรียกให้ออกเดินทางไปสู่สถานที่ที่เขาจะได้รับเป็นมรดก เขาออกเดินทางไปโดยไม่รู้ว่าจะไปไหน เพราะความเชื่อ เขาพำนักในดินแดนแห่งพระสัญญาเยี่ยงคนต่างด้าวในต่างแดน เขาอาศัยอยู่ในกระโจมเช่นเดียวกับอิสอัคและยาโคบผู้เป็นทายาทร่วมพระสัญญาเดียวกัน เขารอคอยนครที่มีรากฐานซึ่งพระเจ้าทรงเป็นผู้ออกแบบและทรงก่อสร้าง
     เพราะความเชื่อ แม้นางซาราห์จะพ้นวัยให้กำเนิดแล้ว พระเจ้ายังทรงบันดาลให้ตั้งครรภ์ได้ เพราะนางเชื่อว่าพระองค์ผู้ทรงสัญญาจะทรงซื่อสัตย์ต่อคำสัญญานั้น ดังนั้น จากคนเดียวซึ่งเปรียบเสมือนกับตายแล้ว กลับเกิดลูกหลานจำนวนมากเหมือนดวงดาวในท้องฟ้า และเหมือนเม็ดทรายที่นับไม่ได้บนชายทะเล

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 12:32-48
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า“ฝูงแกะน้อยๆ เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะพระบิดาของท่านพอพระทัยจะประทานพระอาณาจักรให้แก่ท่าน” “จงขายทรัพย์สินของท่านและให้ทาน จงหาถุงเงินที่ไม่มีวันชำรุด จงหาทรัพย์สมบัติที่ไม่มีวันหมดสิ้นในสวรรค์ ที่นั่นขโมยเข้าไม่ถึงและตัวขมวนไม่ทำลาย เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย”
     “ท่านทั้งหลายจงคาดสะเอวและจุดตะเกียงเตรียมพร้อมไว้ จงเป็นเสมือนผู้รับใช้ที่กำลังคอยนายกลับจากงานมงคลสมรส เมื่อนายมาและเคาะประตูจะได้เปิดรับ ผู้รับใช้เหล่านั้นเป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขากำลังตื่นเฝ้าอยู่ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะคาดสะเอวพาผู้รับใช้เหล่านั้นไปนั่งโต๊ะและจะรับใช้เขาด้วย ไม่ว่านายจะมาเวลาสองยามหรือสามยาม ถ้าพบผู้รับใช้กำลังทำเช่นนี้ ผู้รับใช้เหล่านั้นก็เป็นสุข พึงรู้ไว้เถิด ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะมาเวลาใด เขาคงไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้านของตน ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย”
เปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ตรัสอุปมานี้สำหรับพวกเราหรือสำหรับทุกคน” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ใครเป็นผู้จัดการที่ซื่อสัตย์และรอบคอบ ซึ่งนายจะแต่งตั้งให้ดูแลผู้รับใช้อื่นๆ เพื่อปันส่วนอาหารให้ตามเวลาที่กำหนด รับใช้คนนั้นเป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขากำลังทำดังนี้ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะแต่งตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของตน แต่ถ้าผู้รับใช้คนนั้นคิดว่า ‘นายจะมาช้า’ และเริ่มตบตีผู้รับใช้ทั้งชายและหญิง กินดื่มจนเมามาย นายของผู้รับใช้คนนั้นจะกลับมาในวันที่เขามิได้คาดหมาย ในเวลาที่เขาไม่รู้ นายจะแยกเขาออก ให้ไปอยู่กับพวกคนที่ไม่ซื่อสัตย์
ผู้รับใช้ที่รู้ใจนายของตน แต่ไม่เตรียมพร้อมและไม่ทำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนมาก แต่ผู้รับใช้ที่ไม่รู้ใจนาย แม้ทำสิ่งที่ควรจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยนน้อย ผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ผู้นั้นก็จะถูกทวงกลับไปมากด้วย”

 

ข้อคิด

     การเดินทางติดตามพระเยซูเจ้า ไม่ใช่การเดินทางภายใต้แสงสว่างที่มองเห็นได้ชัดเจน ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงให้กำลังใจบรรดาศิษย์ของพระองค์ไม่ให้หวดกลัว โดยทรงเตือนพวกเขาว่า พระบิดาทรงสัญญาจะประทานพระอาณาจักรให้แก่พวกเขาแล้ว และหากพวกเขาปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากความโลภในทรัพย์สมบัติของโลกนี้ พวกเขาก็จะพบความจริงและปรารถนาสวรรค์ หัวใจของพวกเขาจะผูกพันกับสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม พวกเขาจะเป็นดังคนใช้ที่ได้รับรางวัลเพราะเขาเพียรพยายามตื่นเฝ้า และพร้อมอยู่เสมอ

วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2019 น.ฌาน ฟรังซัวส์ เดอ ชังตาล นักบวช

บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ                            ฉธบ 10:12-22
     บัดนี้ อิสราเอลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทรงประสงค์สิ่งใดจากท่าน พระองค์ทรงประสงค์ให้ท่านยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ให้เดินตามทุกวิถีทางของพระองค์ ให้รัก และรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจและสุดวิญญาณ ให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าและข้อกำหนดที่ข้าพเจ้ามอบให้ท่านในวันนี้ เพื่อความดีของท่าน
     ดูซิ สวรรค์ และสวรรค์สูงสุด เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน แผ่นดินและทุกสิ่งที่อยู่ในนั้นก็เป็นของพระองค์ด้วย แต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงรักบรรพบุรุษของท่านยิ่งกว่าผู้อื่น ทรงรักเขาและต่อมาทรงเลือกบุตรหลานของเขาคือท่านทั้งหลายจากชนชาติทั้งปวง ดังที่ทรงรักท่านจนถึงวันนี้ ดังนั้น จงเข้าสุหนัตในใจ และอย่าดื้อรั้นอีกต่อไป เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าเหนือเทพเจ้าใดๆ ทั้งสิ้น ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งปวง ทรงเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ ทรงพระอานุภาพและน่าสะพรึงกลัว พระองค์ไม่ทรงลำเอียง ไม่ทรงรับสินบน ทรงให้ความยุติธรรมแก่ลูกกำพร้าและหญิงม่าย ทรงรักคนต่างด้าว ประทานอาหารและเสื้อผ้าแก่เขา ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงรักคนต่างด้าวเถิด เพราะครั้งหนึ่ง ท่านก็เคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์ด้วย จงยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านและรับใช้พระองค์เพียงพระองค์เดียว จงซื่อสัตย์ต่อพระองค์ และจงสาบานในพระนามพระองค์เท่านั้น จงสรรเสริญพระองค์เถิด เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของท่าน พระองค์ทรงกระทำการยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวที่ท่านได้เห็นกับตา เมื่อบรรพบุรุษของท่านลงไปยังอียิปต์ มีจำนวนเพียงเจ็ดสิบคนเท่านั้น แต่บัดนี้องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้ทรงบันดาลให้ท่านทวีจำนวนมากมายดุจดวงดาวในท้องฟ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                  มธ 17:22-27
     เวลานั้น เมื่อบรรดาศิษย์ชุมนุมอยู่กับพระเยซูเจ้าในแคว้นกาลิลี พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย และถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สาม บุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพ” บรรดาศิษย์รู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก
เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ ผู้เก็บภาษีบำรุงพระวิหารเข้ามาหาเปโตร ถามว่า “อาจารย์ของท่านไม่เสียเงินบำรุงพระวิหารหรือ”
     เปโตรตอบว่า “เสียซิ” เมื่อเปโตรเข้าไปในบ้าน พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาก่อนว่า “ซีโมน ท่านมีความเห็นอย่างไร กษัตริย์ในโลกนี้ทรงเก็บภาษีจากใคร จากโอรสธิดา หรือจากคนอื่น” เปโตรทูลตอบว่า “จากคนอื่น” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นโอรสธิดาย่อมได้รับการยกเว้น แต่เพื่อมิให้ใครตำหนิเรา ท่านจงไปที่ทะเล หย่อนเบ็ดลงไป จับปลาตัวแรกที่ตกได้ เปิดปากปลา ท่านจะพบเงินหนึ่งเหรียญ จงนำเงินนั้นไปเสียภาษีเพื่อเราและท่านเถิด”


ข้อคิด

     พระเยซูเจ้าให้เปโตรนำเงินไปเสียภาษีบำรุงพระวิหาร “เพื่อเราและท่านด้วย” เพราะพระองค์มองเห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากพระองค์ไม่ปฏิบัติเช่นนั้นก็จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อคนอื่นที่จะนำไปปฏิบัติตาม พระองค์ต้องการจะสอนเปโตรว่า ไม่ใช่ว่าเราต้องทำเฉพาะเป็นหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น หากแต่เราต้องทำมากกว่าหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เพื่อเป็นตัวอย่างให้คนอื่นเห็นว่าพวกเขาต้องทำอะไรดีๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าสิทธิที่ต้องทำ พระเยซูเจ้ากำลังสอนเราว่า ในสังคมที่เราอยู่นั้น เราอาจมีสิทธิพิเศษบางอย่างมากกว่าคนอื่น แต่เราไม่ควรใช้สิทธิพิเศษนั้น เพราะการกระทำนั้นอาจจะเป็นตัวอย่างไม่ดีต่อคนอื่น

วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2019 ระลึกถึง น.มักซีมีเลียน มารีย์ กอลเบ พระสงฆ์และมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ                            ฉธบ 34:1-12
     ในครั้งนั้น โมเสสขึ้นจากที่ราบโมอับไปบนภูเขาเนโบ ยอดของเทือกเขาปิสกาห์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเมืองเยรีโค องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้เขาเห็นแผ่นดินทั้งหมด คือแคว้นกิเลอาดจนถึงเมืองดาน แคว้นนัฟทาลี แผ่นดินเอฟราอิมและมนัสเสห์ แผ่นดินทั้งหมดของยูดาห์จนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ดินแดนเนเกบ และที่ราบเยรีโค เมืองต้นอินทผลัมไปจนถึงเมืองโศอาร์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “นี่คือแผ่นดินที่เราสาบานแก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบว่า จะยกให้แก่บุตรหลานของเขา เราให้ท่านเห็นกับตาของท่าน แต่ท่านจะไม่ได้เข้าไป”
      โมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสิ้นชีวิตที่นั่นในแผ่นดินโมอับตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา พระองค์ทรงฝังเขาไว้ในหุบเขาของแผ่นดินโมอับ ตรงข้ามกับเบธเปโอร์ แต่จนถึงวันนี้ ยังไม่มีผู้ใดรู้ว่าหลุมศพของเขาอยู่ที่ใด เมื่อโมเสสสิ้นชีวิต เขามีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปี ตาของเขายังเห็นชัดเจน กำลังยังไม่ลดลง ชาวอิสราเอลไว้ทุกข์ให้โมเสส ณ ที่ราบโมอับเป็นเวลาสามสิบวัน จนสิ้นกำหนดไว้ทุกข์ โยชูวาบุตรของนูนมีจิตแห่งปรีชาญาณเต็มเปี่ยม เพราะโมเสสได้ปกมือเหนือเขา ชาวอิสราเอลจึงเชื่อฟังเขา และปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาแก่โมเสส
      ตั้งแต่นั้นมา ไม่เคยมีประกาศกคนใดเกิดขึ้นในอิสราเอลเหมือนโมเสส ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักเป็นการส่วนพระองค์ ไม่มีผู้ใดทำเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์เหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้โมเสสทำในแผ่นดินอียิปต์เฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ฟาโรห์ ต่อหน้าข้าราชบริพารของพระองค์ และประชาชนทั่วแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดทำการยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวดังที่โมเสสทำต่อหน้าชาวอิสราเอลได้

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                            มธ 18:15-20
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ถ้าพี่น้องของท่านทำผิด จงไปตักเตือนเขาตามลำพัง ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้พี่น้องกลับคืนมา ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย คำพูดของพยานสองคนหรือสามคนจะได้จัดเรื่องราวให้เรียบร้อย ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยาน จงแจ้งให้หมู่คณะทราบ ถ้าเขาไม่ยอมฟังหมู่คณะอีก จงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นคนต่างศาสนา หรือคนเก็บภาษีเถิด”
     “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดิน จะผูกไว้ในสวรรค์ และทุกสิ่งที่ท่านจะแก้บนแผ่นดิน ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”
     “เราบอกความจริงแก่ท่านอีกว่า ถ้าท่านสองคนบนแผ่นดินพร้อมใจกันอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะประทานให้ เพราะว่า ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา”

 

ข้อคิด

     พระเยซูเจ้าทรงสอนเราถึงแนวทางที่ชัดเจนในพระวรสารว่า เราจะต้องเอาใจใส่ต่อคนอื่นอย่างไร? หากพี่น้องทำผิดหรือบกพร่อง เราต้องหาวิธีช่วยเขา ให้รู้ตัวและปรับปรุงแก้ไข บนพื้นฐานแห่งความรักและความเข้าใจ เตือนกันแบบพี่น้องเป็นอันดับแรก หากเขายังไม่แก้ไข ก่อนแจ้งพระศาสนจักรให้ทราบเป็นลำดับสุดท้าย จงขอร้องผู้ใหญ่คนหรือสองคนที่เขาเคารพนับถือให้ช่วยตักเตือน คริสตชนจึงต้องตระหนักในการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยความรักและเมตตา อย่าเป็นคนแล้งน้ำใจ อย่านิ่งเฉยดูดายโดยถือว่าธุระไม่ใช่

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2019 น.ปอนซีอาโน พระสันตะปาปา น.ฮิปโปลิต พระสังฆราชและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ                           ฉธบ 31:1-8
     ในครั้งนั้น โมเสสกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้แก่ชาวอิสราเอลทุกคนว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้าอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปีแล้ว ไม่อาจเป็นผู้นำท่านได้อีกต่อไป นอกจากนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้ายังตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘ท่านจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้’ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะทรงนำหน้าท่านข้ามแม่น้ำนี้จะทรงทำลายชนชาติต่างๆ ที่อยู่ต่อหน้าท่านและท่านจะเข้าครอบครองแผ่นดินของเขา โยชูวาจะเป็นผู้นำท่านข้ามไป ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำกับชนชาติเหล่านี้ ดังที่ได้เคยทรงกระทำกับสิโหนและโอก กษัตริย์ของชาวอาโมไรต์ที่พระองค์ทรงทำลายพร้อมกับแผ่นดินของเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบชนชาติเหล่านี้ไว้ใต้อำนาจของท่าน ท่านจะต้องจัดการกับเขาตามคำสั่งทุกข้อที่ข้าพเจ้าสั่งท่านไว้ จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวเลย อย่าครั่นคร้ามเขาเลย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะเสด็จไปกับท่าน พระองค์จะไม่ทรงทำให้ท่านผิดหวังหรือทอดทิ้งท่าน”
     แล้วโมเสสเรียกโยชูวามากล่าวกับเขาต่อหน้าชาวอิสราเอลทุกคนว่า “จงเข้มแข็ง และกล้าหาญเถิด ท่านจะเป็นผู้นำประชากรนี้เข้าไปในแผ่นดินที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสาบานไว้กับบรรดาบรรพบุรุษว่าจะประทานให้เขา ท่านจะต้องทำให้เขาได้ครอบครองแผ่นดิน องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จนำหน้าท่าน พระองค์จะสถิตกับท่าน จะไม่ทรงทำให้ท่านผิดหวังหรือทอดทิ้งท่าน อย่ากลัวและอย่าท้อแท้เลย”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                               มธ 18:1-5,10,12-14
     ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์”
“ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา
“จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดาๆ เหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์”
“ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว แล้วแกะตัวหนึ่งบังเอิญหลงทาง เขาจะไม่ปล่อยแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา เพื่อค้นหาแกะตัวที่หลงไปหรือ”
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าเขาหาแกะตัวนั้นพบแล้ว เขาจะรู้สึกยินดีที่พบมัน มากกว่ายินดีในแกะเก้าสิบเก้าตัวที่มิได้พลัดหลง”
“พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ทรงปรารถนาให้คนธรรมดาๆ เหล่านี้แม้เพียงผู้เดียวต้องพินาศไป”

 

ข้อคิด

     พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนบรรดาศิษย์ว่า พระเจ้าทรงยินดีที่จะออกไปตามหาแกะที่หลงทางให้กลับมา แม้แต่จะเป็นแกะเพียงตัวเดียวก็ตาม เมื่อพบแกะตัวนั้น ความชื่นชมยินดีที่เกิดขึ้นจะมากกว่าการที่แกะอีก 99 ตัว ที่มิได้พลัดหลงไปด้วยซ้ำ สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงสรุปก็คือพระบิดาไม่ปรารถนาให้เราแม้แต่เพียงผู้เดียวต้องพินาศไป พระองค์ทรงรอคอยเราแต่ละคน ทรงมองเราด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความเมตตาที่พร้อมให้เรากลับใจ ให้เราวิงวอนขอนักบุญปอนซีอาโน และนักบุญฮิปโปลิตที่เราฉลองในวันนี้ได้ช่วยเราดำเนินชีวิตอย่างดีและพร้อมเสมอกับการกลับใจ หากกระแสสังคมโลกนี้ทำให้เราหลงทางและไขว้เขวไปจากพระเจ้า

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2019 สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือโยชูวา                                           ยชว 3:7-10ก,11,13-17
     ในครั้งนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โยชูวาว่า “วันนี้เราจะทำให้ท่านยิ่งใหญ่ในสายตาของชาวอิสราเอลทุกคน เพื่อเขาจะรู้ว่า เราจะอยู่กับท่าน เหมือนที่เราเคยอยู่กับโมเสส บัดนี้ จงสั่งสมณะที่แบกหีบพันธสัญญาว่า ‘เมื่อท่านทั้งหลายมาถึงริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน ท่านจะต้องหยุดอยู่ในแม่น้ำ’” แล้วโยชูวากล่าวกับชาวอิสราเอลว่า “จงเข้ามาใกล้ๆ และฟังพระวาจาองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน” โยชูวากล่าวอีกว่า “ท่านทั้งหลายจะรู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงชีวิตสถิตในหมู่ท่าน จากการนี้ พระองค์จะทรงขับไล่ชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวฮีไวต์ ชาวเปริสซี ชาวเกอร์กาซี ชาวอาโมไรต์และคนเยบุส ออกไปต่อหน้าท่านอย่างแน่นอน ดูเถิด หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมดกำลังจะเคลื่อนนำหน้าท่านลงไปในแม่น้ำจอร์แดน ทันทีที่สมณะผู้แบกหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมด ก้าวเหยียบลงในแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนจะแยกออก น้ำที่ไหลลงมาจากตอนบนจะหยุดไหลเหมือนกับเป็นมวลน้ำเดียวกัน”
ดังนั้น เมื่อประชากรรื้อค่ายเพื่อข้ามแม่น้ำจอร์แดน บรรดาสมณะแบกหีบพันธสัญญาขึ้นนำหน้าประชากร แม่น้ำจอร์แดนจะเต็มฝั่งตลอดฤดูเก็บเกี่ยว แต่ทันทีที่ผู้แบกหีบพันธสัญญาถึงแม่น้ำจอร์แดน และเท้าของบรรดาสมณะที่แบกหีบพันธสัญญาแตะน้ำ น้ำตอนบนก็หยุดนิ่ง และรวมตัวขึ้นเป็นมวลเดียวเป็นระยะทางไกลตรงที่เรียกว่าอาดัม ใกล้เมืองศาเรธาน ในขณะที่น้ำส่วนที่ไหลลงสู่ทะเลอาราบาห์ ทะเลเกลือ ถูกแยกออกอย่างสิ้นเชิง ประชากรจึงข้ามแม่น้ำที่บริเวณตรงข้ามกับเมืองเยรีโค บรรดาสมณะที่แบกหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าหยุดยืนบนพื้นดินแห้งกลางแม่น้ำจอร์แดน ขณะที่ชาวอิสราเอลข้ามแม่น้ำบนพื้นดินแห้งจนกระทั่งชนทั้งชาติได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนครบทุกคน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 18:21-19:1
     เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง”
     อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่หนึ่งหมื่นตะลันต์ เขาไม่มีสิ่งใดจะชำระหนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตร ภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ผู้รับใช้กราบพระบาททูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด’ กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเหรียญ เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด’
     เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ยอมฟัง นำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้หมด เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน

 

ข้อคิด

     เราต้องให้อภัยคนทำผิดต่อเราบ่อยแค่ไหน พระเยซูเจ้าทรงตอบนักบุญเปโตรด้วยนิทานเปรียบเทียบที่ให้บทเรียนทางจริยธรรม เรื่องพระมหากษัตริย์คิดตรวจบัญชีกับผู้รับใช้ คนหนึ่งเป็นหนี้เขาจนไม่สามารถจะชำระได้ แต่ “กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้” ผู้รับใช้คนนี้พบเพื่อนที่เป็นหนี้เขาแต่เพียงเล็กน้อย ไม่ยอมฟังคำขอร้องของเพื่อนกลับนำเขาไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้ให้ ได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นพระมหากษัตริย์โกรธมาก ตรัสสั่งให้ “นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมด” แล้วพระเยซูเจ้าทรงสรุปว่า “พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง” นี่เป็นท่าทีที่พระเยซูเจ้าบอกว่า เราต้องให้อภัยกันและกันเสมอไป

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown