มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2019 ระลึกถึง น.อัลฟองโซ เดลิกวอรี พระสังฆราชและนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                          อพย 40:16-21,34-38
     ในครั้งนั้น โมเสสทำทุกสิ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา เขาตั้งกระโจมที่ประทับขึ้นในวันต้นเดือนแรกของปีที่สอง หลังจากที่ได้ออกจากอียิปต์ โมเสสตั้งกระโจมที่ประทับ วางฐานรับเสา ตั้งกรอบติดไม้ขวางและตั้งเสา กางผ้าคลุมเหนือกระโจมที่ประทับ และคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา นำแผ่นศิลาจารึกใส่ลงในหีบ สอดคานหามไว้ในห่วงของหีบ นำพระที่นั่งพระกรุณามาปิดไว้ นำหีบเข้ามาตั้งไว้ในกระโจมที่ประทับ ขึงม่านกั้นหีบบรรจุแผ่นศิลาจารึกตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา
     เมฆปกคลุมกระโจมนัดพบ และพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เต็มกระโจมที่ประทับ โมเสสเข้าไปในกระโจมนัดพบไม่ได้ เพราะเมฆหนาทึบอยู่เหนือกระโจม และพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เต็มกระโจมที่ประทับ
เมื่อเมฆลอยขึ้นจากกระโจมที่ประทับ ชาวอิสราเอลจะออกเดินทางต่อไป ถ้าเมฆไม่ลอยขึ้น เขาก็ไม่ออกเดินทางไปที่อื่น เขาจะคอยจนกว่าเมฆลอยขึ้น เพราะเมฆแสดงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือกระโจมที่ประทับในเวลากลางวัน และมีไฟลุกในเมฆในเวลากลางคืน เพื่อให้ชาวอิสราเอลทั้งหมดมองเห็นได้ตลอดเวลาการเดินทาง

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 13:47-53
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับอวนที่หย่อนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด เมื่ออวนเต็มแล้ว ชาวประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยนทิ้งไป เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงคราวสิ้นโลก ทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม ทิ้งคนชั่วลงในขุมไฟ ที่นั่น จะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคือง”
     “ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่” บรรดาศิษย์ทูลตอบว่า “เข้าใจแล้ว”
พระองค์จึงตรัสว่า “ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคนที่มาเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์ก็เหมือนกับเจ้าบ้านที่นำทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน”
    เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องอุปมาเหล่านี้จบแล้ว พระองค์เสด็จออกจากที่นั่น

 

ข้อคิด

      อุปมาเรื่องอวนเปรียบโลกนี้มีทั้งคนดีและคนชั่ว ในวันสุดท้ายพระเจ้าจะแยกคนดีจากคนชั่ว คนดีจะได้รับอาณาจักรเป็นมรดก คนชั่วจะถูกโยนลงในขุมไฟนรก เพื่อผู้คนจะได้เป็นคนดี มีแนวทางชีวิตสู่หนทางแห่งความรอดพ้น นักบุญอัลฟอนโซ ซึ่งเราฉลองในวันนี้ได้หันหลังให้กับยศศักดิ์ และชื่อเสียง บวชเป็นพระสงฆ์ เทศน์สอน ประกาศข่าวดีแห่งความรักและการอภัยของพระเจ้าแก่ปวงชน โดยเฉพาะแก่คนยากจน และคนที่ถูกทอดทิ้ง ขอให้การเป็นประจักษ์พยานของนักบุญอัลฟอนโซ ก้าวเดินไปพร้อมๆการดำเนินชีวิตของเรา บนพื้นฐานแห่งความรักและมโนธรรมที่ดีของสังคม

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2019 น.เอวซิบิโอ แห่งแวร์แชลลี พระสังฆราช น.เปโตร ยูเลียน ไรมาร์ด พระสงฆ์

บทอ่านจากหนังสือเลวีนิติ                                          ลนต 23:1,4-11,15-16,27,34ข-37
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชาวอิสราเอลว่า “วันสมโภชอื่นๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ชาวอิสราเอลต้องมาชุมนุมกันนมัสการพระองค์ตามเวลากำหนด มีดังต่อไปนี้
     วันที่สิบสี่ของเดือนที่หนึ่ง ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตก ท่านจะต้องฉลองปัสกาเป็นเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า วันที่สิบห้าเดือนเดียวกัน เริ่มเทศกาลขนมปังไร้เชื้อเป็นเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันแรก ท่านจะต้องจัดชุมนุมเพื่อนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า และงดทำงานทุกอย่าง ท่านจะต้องถวายสิ่งของเป็นเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ด ท่านจะต้องจัดชุมนุมนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกครั้งหนึ่งและงดทำงานทุกอย่าง”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชาวอิสราเอลอีกว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเข้าไปในแผ่นดินที่เราจะให้แก่ท่านและจะเก็บเกี่ยวพืชผลได้แล้ว ท่านจะต้องนำข้าวฟ่อนแรกที่เก็บเกี่ยวได้ไปมอบให้สมณะ สมณะจะนำข้าวฟ่อนนั้นไปยื่นถวายตามพิธีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงรับและโปรดปรานท่าน สมณะจะนำข้าวฟ่อนนี้มายื่นถวายตามพิธีหลังวันสับบาโตหนึ่งวัน
     ท่านทั้งหลายจะต้องนับเจ็ดสัปดาห์เต็มตั้งแต่วันหลังวันสับบาโตที่ท่านนำข้าวฟ่อนแรกมายื่นถวายตามพิธี ท่านจะต้องนับห้าสิบวัน จนถึงวันหลังวันสับบาโตที่เจ็ด จึงจะนำพืชผลใหม่มาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
     วันที่สิบของเดือนที่เจ็ดจะเป็นวันชดเชยบาป ท่านทั้งหลายจะต้องจัดชุมนุมเพื่อนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องจำศีลอดอาหารและนำสิ่งของมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชาใช้ไฟเผา
     วันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ดนี้จะเริ่มเทศกาลอยู่เพิงถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันแรกท่านทั้งหลายจะต้องจัดชุมนุมเพื่อนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและงดทำงานทุกอย่าง ในระหว่างเจ็ดวันนั้นท่านจะต้องนำสิ่งของมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชาใช้ไฟเผา ในวันที่แปด ท่านจะต้องจัดชุมนุมเพื่อนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า และจะต้องนำสิ่งของมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชาที่ใช้ไฟเผา ในวันที่ท่านมาชุมนุมกันเช่นนี้ ท่านจะต้องงดทำงานทุกอย่าง
นี่คือวันสมโภชองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ท่านจะต้องเรียกประชาชนมาชุมนุมกันเพื่อนมัสการพระองค์ และเพื่อนำของมาใช้ไฟเผาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้แก่ เครื่องเผาบูชา ธัญบูชา ศานติบูชา และการเทเหล้าองุ่นถวายตามพิธีการของวันฉลองแต่ละวัน”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                  มธ 13:54-58
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมายังถิ่นกำเนิดของพระองค์ ทรงสั่งสอนในศาลาธรรมของชาวยิว ประชาชนต่างประหลาดใจและพูดว่า “คนนี้เอาปรีชาญาณและอำนาจทำอัศจรรย์มาจากที่ใด เขาเป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ แม่ของเขาชื่อมารีย์ พี่ชายน้องชายของเขามิใช่ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาหรือ พี่สาวน้องสาวทุกคนของเขาก็อยู่กับเรามิใช่หรือ เขาไปได้สิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด” คนเหล่านี้รู้สึกสะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำเนิดและในบ้านของตน” พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ที่นั่นไม่มากนัก เพราะเขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ


ข้อคิด

     ฝูงชนที่ติดตามพระเยซูเจ้ามีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน บางคนติดตามเพื่อฟังพระวาจา เพราะพระองค์ทรงสอนด้วย “ปรีชาญาณ” บางคนติดตามเพื่อจะได้เห็น “อำนาจทำอัศจรรย์” สาวกติดตามพระองค์ เพราะเชื่อว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” แต่ประชาชนในถิ่นกำเนิดของพระองค์ไม่ยอมรับและเชื่อในพระองค์ เพราะพวกเขาดื้อรั้นถือว่ารู้จักครอบครัวของพระองค์ เป็นการดีหากคริสตชนจะเป็นดั่งเช่นบรรดาอัครสาวก ตระหนักเสมอว่ามีพระเยซูคริสตเจ้าเป็นพระอาจารย์ของตน ยึดพระองค์เป็นศูนย์กลางของชีวิต ประพฤติตามแบบฉบับและติดตามพระองค์ใกล้ชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2019 สัปดาห์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือปัญญาจารย์                                 ปญจ 1:2 และ 2:21-23
ปัญญาจารย์พูดว่า “ไม่เที่ยงแท้ที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยงแท้”
เพราะคนที่ตรากตรำทำงานโดยใช้ปรีชาญาณ ความรู้และความชำนาญ จะต้องละทิ้งผลงานให้เป็นมรดกแก่คนที่ไม่ได้ตรากตรำเพื่องานนั้นเลย นี่ก็ไม่เที่ยงแท้ด้วยและเป็นเคราะห์ร้ายอย่างยิ่ง มนุษย์จะได้ประโยชน์อะไรจากความลำบากตรากตรำทั้งหมด และความกังวลใจที่เขาต้องตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์ ทุกวันของเขามีแต่ความทุกข์ งานของเขาคือความกังวลใจ แม้ในเวลากลางคืน จิตใจของเขาก็ยังไม่ได้หยุดพัก นี่ก็ไม่เที่ยงแท้ด้วย

เพลงสดุดี สดด 95
ก) มาเถิด เราจงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความยินดี
เราจงโห่ร้องสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงเป็นหลักศิลาที่ช่วยเราให้รอดพ้น
เราจงเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์เพื่อขอบพระคุณ
เราจงโห่ร้องเพลงสดุดีถวายพรพระองค์ด้วยความยินดี
ข) เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพเจ้าใดๆ
ส่วนลึกสุดของแผ่นดินอยู่ในพระหัตถ์พระองค์
ยอดภูเขาสูงสุดก็เป็นของพระองค์
ทะเลเป็นของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้าง
พระหัตถ์พระองค์ปั้นแผ่นดินแห้ง
มาเถิด เราจงกราบนมัสการพระองค์
เราจงคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างเรา
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา
และเราเป็นประชากรที่ทรงเลี้ยงดูดุจฝูงแกะที่ทรงนำไปยังทุ่งหญ้า
ค) ท่านทั้งหลายจงฟังพระสุรเสียงของพระองค์ในวันนี้เถิด
"ท่านอย่าทำใจให้แข็งกระด้างเหมือนกับที่เกิดขึ้นที่เมรีบาห์
เหมือนในวันนั้นที่มัสสาห์ในถิ่นทุรกันดาร
เมื่อบรรพบุรุษของท่านทดลองเรา
เขาทดสอบเรา แม้ได้เห็นการกระทำของเราแล้ว"
เราเอือมระอาคนรุ่นนั้นเป็นเวลานานสี่สิบปี
และพูดว่า "เขาทั้งหลายเป็นประชาชนที่มีใจไม่เที่ยงตรง
เขาไม่ยอมรู้จักทางของเรา
ดังนั้น เราจึงปฏิญาณด้วยความโกรธ
ว่าเขาทั้งหลายจะไม่มีวันได้เข้าในที่พักผ่อนของเราเลย"

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโคโลสี คส 3:1-5,9-11
พี่น้อง ถ้าท่านทั้งหลายกลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว ก็จงใฝ่หาแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบนเถิด ณ ที่นั้นพระคริสตเจ้าประทับเบื้องขวาของพระเจ้า จงคิดถึงแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบน อย่าพะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้ เพราะท่านทั้งหลายตายไปแล้วและชีวิตของท่านก็ซ่อนอยู่กับพระคริสตเจ้าในพระเจ้า เมื่อพระคริสตเจ้าองค์ชีวิตของท่านจะทรงสำแดงพระองค์ เมื่อนั้นท่านจะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์ด้วย
ท่านทั้งหลายจงขจัดโลกียวิสัยในตัวท่าน คือการผิดประเวณี ความลามก กิเลสตัณหา ความปรารถนาในทางชั่วร้าย และความโลภซึ่งเป็นเหมือนการกราบไหว้รูปเคารพอย่างหนึ่ง อย่าพูดเท็จต่อกัน ท่านทั้งหลายได้ปลดเปลื้องวิสัยมนุษย์เก่า และการกระทำตามวิสัยมนุษย์เก่า และสวมใส่วิสัยมนุษย์ใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เพื่อมุ่งไปหาความรู้ตามภาพลักษณ์ขององค์พระผู้สร้าง ดังนั้น การเป็นชาวกรีก หรือชาวยิว การเข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัต การเป็นอนารยชน เป็นชาวสิเธีย เป็นทาสหรือเป็นคนอิสระก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ที่สำคัญก็คือพระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นทุกสิ่งในทุกคน

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 12:13-21
เวลานั้น ประชาชนคนหนึ่งทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ โปรดบอกพี่ชายข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้ข้าพเจ้าเถิด” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “มนุษย์เอ๋ย ใครตั้งเราเป็นผู้พิพากษาหรือเป็นผู้แบ่งมรดกของท่าน” แล้วพระองค์ตรัสกับคนเหล่านั้นว่า “จงระวังและรักษาตัวไว้ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด เพราะชีวิตของคนเราไม่ขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเขา แม้ว่าเขาจะมั่งมีมากเพียงใดก็ตาม”
พระองค์ยังตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังอีกว่า “เศรษฐีคนหนึ่งมีที่ดินที่เกิดผลดีอย่างมาก เขาจึงคิดว่า ‘ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันไม่มีที่พอจะเก็บพืชผลของฉัน’ เขาคิดอีกว่า ‘ฉันจะทำอย่างนี้ จะรื้อยุ้งฉางเก่าแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเดิม จะได้เก็บข้าวและสมบัติทั้งหมดไว้ แล้วฉันจะพูดกับตนเองว่า ดีแล้ว เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากมายเก็บไว้ใช้ได้หลายปี จงพักผ่อน กินดื่มและสนุกสนานเถิด’ แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘คนโง่เอ๋ย คืนนี้ เขาจะเรียกเอาชีวิตเจ้าไป แล้วสิ่งที่เจ้าได้เตรียมไว้จะเป็นของใครเล่า คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนเอง แต่ไม่เป็นคนมั่งมีสำหรับพระเจ้า ก็จะเป็นเช่นนี้’”

ข้อคิด ชายคนหนึ่งเข้ามาหาพระองค์ เพื่อให้ตัดสินเรื่องมรดก แต่พระองค์ปฏิเสธ กลับสั่งสอนไม่ให้หลงใหลไปตามความต้องการฝ่ายโลกเป็นเรื่องอุปมาว่า “ชีวิตของคนเราไม่ขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเขา” “คนสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนเอง แต่ไม่เป็นคนมั่งมีสำหรับพระเจ้า” แนวทางที่พระองค์สอนก็คือ อย่าสะสมทรัพย์สมบัติบนแผ่นดินนี้ เพราะทรัพย์สมบัติอยู่ที่ใดจิตใจก็จะอยู่ที่นั้น นั่นก็คือ การหลงใหลในทรัพย์ฝ่ายโลกอย่างคลั่งไคล้ เป็นอันตรายนำเราให้ปันใจจากพระเจ้า “ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้ (มธ 6:24)” มีแล้วอย่าโลภแต่แบ่งปัน นี่คือแนวทางที่พระเยซูเจ้าทรงสอน

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2019 สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือเลวีนิติ                                          ลนต 25:1,8-14,17ข
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสบนภูเขาซีนาย ให้บอกชาวอิสราเอลว่า “ท่านจะต้องนับระยะเวลาเจ็ดปีเจ็ดครั้ง จะได้รวมทั้งสิ้นสี่สิบเก้าปี ในวันที่สิบเดือนเจ็ด ท่านจะสั่งให้เป่าเขาสัตว์ ท่านจะสั่งให้ประกาศวันชดเชยบาปโดยเป่าเขาสัตว์ทั่วแผ่นดินของท่าน ท่านจะต้องประกาศว่าปีที่ห้าสิบนั้นเป็นปีศักดิ์สิทธิ์ และประกาศการปลดปล่อยสำหรับทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดิน ปีนั้นจะได้ชื่อว่า ‘ปีเป่าเขาสัตว์’ สำหรับท่าน แต่ละคนจะได้รับที่ดินของตระกูลคืนมา แต่ละคนจะกลับไปยังครอบครัวของตน ในปีที่ห้าสิบซึ่งเป็นปีเป่าเขาสัตว์สำหรับท่านนี้ ท่านจะต้องไม่หว่านพืช ไม่เก็บเกี่ยวข้าวซึ่งงอกขึ้นเอง ไม่เก็บผลองุ่นจากเถาที่ไม่ได้ลิด ปีเป่าเขาสัตว์นี้จะเป็นปีศักดิ์สิทธิ์สำหรับท่าน ตลอดปีนี้ ท่านจะกินพืชผลที่งอกขึ้นเองในทุ่งนา
     ในปีเป่าเขาสัตว์นี้ แต่ละคนจะได้รับที่ดินของตระกูลคืนมา ดังนั้น เมื่อท่านขายที่ดินแก่เพื่อนบ้าน หรือซื้อจากเขา ท่านจะต้องไม่เอารัดเอาเปรียบกัน 15เมื่อซื้อที่ดินจากเพื่อนบ้าน ท่านจะต้องคำนวณราคาซื้อตามจำนวนปีที่ผ่านมาจากปีเป่าเขาสัตว์ครั้งก่อน ราคาขายจะขึ้นอยู่กับจำนวนปีการผลิตที่ยังเหลืออยู่ 16ยิ่งเหลือจำนวนปีมากเท่าใด ราคาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งจำนวนปีน้อยลงเท่าใด ราคาก็น้อยลงตามไปด้วย เพราะสิ่งที่เขาขายให้ท่านนั้นคือจำนวนการเก็บเกี่ยวพืชผล เพราะฉะนั้น จงยำเกรงพระเจ้าของท่าน เพราะเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 14:1-12
     เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า จึงตรัสกับข้าราชบริพารว่า “คนนี้คือยอห์นผู้ทำพิธีล้างที่กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ดังนั้นเขาจึงมีอำนาจทำอัศจรรย์ได้” 

     กษัตริย์เฮโรดทรงสั่งให้จับกุมยอห์นล่ามโซ่และขังคุกไว้ เพราะเรื่องของนางเฮโรเดียส ภรรยาของ ฟีลิปพระอนุชา ยอห์นเคยทูลกษัตริย์เฮโรดว่า “ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับนางมาเป็นมเหสี” กษัตริย์เฮโรดต้องการจะฆ่ายอห์น แต่ทรงเกรงประชาชน เพราะประชาชนคิดว่ายอห์นเป็นประกาศก 6ในวันคล้ายวันประสูติของกษัตริย์เฮโรด บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสได้เต้นรำต่อหน้าแขกรับเชิญ เป็นที่พอพระทัยกษัตริย์เฮโรดอย่างยิ่ง พระองค์จึงทรงสัญญาและทรงสาบานจะประทานทุกสิ่งที่นางทูลขอ
      นางจึงทูลตามคำแนะนำที่ได้รับจากมารดาว่า “โปรดประทานศีรษะของยอห์นผู้ทำพิธีล้างใส่ถาดมาให้หม่อมฉันที่นี่เถิด” กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์ แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้ และเพราะเห็นแก่ผู้รับเชิญ จึงทรงสั่งให้จัดการตามที่นางขอ กษัตริย์เฮโรดทรงส่งคนไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก เขาจึงนำศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาส่งให้หญิงสาว หญิงสาวจึงนำไปให้มารดา บรรดาศิษย์ของยอห์นได้มารับศพไปฝัง แล้วแจ้งข่าวให้พระเยซูเจ้าทรงทราบ

 

ข้อคิด

     นักบุญยอห์น บัปติสต์ถูกล่ามโซ่และขังคุกไว้ สุดท้ายถูกตัดศีรษะ เพราะตำหนิความสัมพันธ์ฉันชู้สาวของกษัตริย์เฮโรดกับภรรยาของน้องชาย “ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับนางมาเป็นมเหสี”
     คริสตชนเสริมสร้างอาณาจักรพระเจ้าให้น่าอยู่มีสันติ ด้วยการดำเนินชีวิตรู้จักผิดชอบชั่วดี ประพฤติตนตามทำนองครองธรรมในครอบครัว จริงจังรับผิดชอบในหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่กระทำในสิ่งที่ผิด สิ่งที่เลวร้าย ไม่มองข้ามความทุกข์และความอยุติธรรม จากตัวอย่างของนักบุญยอห์น บัปติสต์ การเสริมสร้างอาณาจักรพระเจ้านั้นไม่เพียงแต่ทำดีหนีชั่ว แต่สนับสนุนให้คนสร้างความดี และปกป้องสิ่งที่ดีในสังคมด้วย

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2019 วันถวายพระวิหารแม่พระแห่งหิมะ

บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี                                       กดว 11:4ข-15
     ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลก็บ่นอีกว่า “พวกเราอยากจะได้เนื้อมากินเหลือเกิน จำได้ไหมว่า เมื่ออยู่ในอียิปต์ พวกเราเคยกินสิ่งใดบ้างเราเคยกินปลา แตงกวา แตงโม ต้นหอม หัวหอม และกระเทียม โดยไม่ต้องซื้อ มาบัดนี้ เรี่ยวแรงของเราหมดสิ้นไป เราไม่มีอะไรกินเลย ตาของเรามองเห็นแต่มานนาเท่านั้น”
     มานนามีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชีขาว มีสีเหลืองเหมือนยางไม้ตะคร้ำ ประชากรจะออกไปเก็บ นำมาโม่หรือใส่ครกตำให้ละเอียดเป็นแป้ง แล้วต้มในหม้อหรือทำเป็นขนมแผ่น มีรสเหมือนขนมปังเคล้าน้ำมันมะกอกเทศ มานนาตกลงมาเหนือค่ายพร้อมกับน้ำค้างในเวลากลางคืน
     โมเสสได้ยินประชากรบ่นและร้องไห้ ขณะที่แต่ละครอบครัวมายืนออกันอยู่ที่ทางเข้ากระโจมของตน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง และโมเสสรู้สึกกลุ้มใจด้วย เขาทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “เหตุไฉนพระองค์ทรงทำกับผู้รับใช้พระองค์เช่นนี้ ทำไมพระองค์ไม่พอพระทัยข้าพเจ้าเล่า ทำไมพระองค์จึงทรงให้ข้าพเจ้าต้องมารับแบกภาระดูแลประชากรทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าได้ตั้งครรภ์และคลอดประชากรทั้งหมดนี้ออกมา แล้วพระองค์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า ‘จงอุ้มเขาไว้ในอ้อมอกเหมือนแม่นมอุ้มทารกไว้ พาเขาไปจนถึงแผ่นดินที่เราสาบานไว้ว่าจะมอบให้แก่บรรพบุรุษของเขา’ กระนั้นหรือ ข้าพเจ้าจะไปหาเนื้อที่ไหนมาให้ประชากรทั้งหมดนี้กินได้ เขาทั้งหลายมาร้องคร่ำครวญต่อข้าพเจ้าว่า ‘จงหาเนื้อมาให้พวกเรากินเถิด’ ข้าพเจ้าคนเดียวไม่อาจแบกภาระดูแลประชากรทั้งหมดนี้ได้อีกแล้ว ภาระนี้หนักเกินไปสำหรับข้าพเจ้า ถ้าพระองค์ทรงประสงค์จะมอบภาระนี้แก่ข้าพเจ้า ขอทรงพระกรุณาประหารชีวิตข้าพเจ้าเสียเถิด ข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ต่อไป”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                มธ 14:13-21
     เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบข่าวนี้ ได้เสด็จออกจากที่นั่น ลงเรือไปยังที่สงัดตามลำพัง เมื่อประชาชนรู้ต่างก็เดินเท้าจากเมืองต่างๆ มาเฝ้าพระองค์ เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงเห็นประชาชนจำนวนมากก็ทรงสงสาร และทรงรักษาผู้เจ็บป่วยให้หายจากโรค
     เมื่อถึงเวลาเย็น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลพระองค์ว่า “สถานที่นี้เป็นที่เปลี่ยว และเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนไปตามหมู่บ้านเพื่อซื้ออาหารเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด” เขาทูลตอบว่า “ที่นี่เรามีขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น” พระองค์จึงตรัสว่า “เอามาให้เราที่นี่เถิด” พระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้นหญ้า ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวขึ้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า ทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกแก่ประชาชน ทุกคนได้กินจนอิ่ม แล้วยังเก็บเศษที่เหลือได้ถึงสิบสองกระบุง จำนวนคนที่กินมีผู้ชายประมาณห้าพันคน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก

 

ข้อคิด

     พระเยซูเจ้าทรงเลี้ยงฝูงชนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว “ทุกคนได้กินจนอิ่ม” จากนั้นสาวกยังเก็บเศษที่เหลือได้ถึงสิบสองกระบุง อัศจรรย์ทวีขนมปังครั้งแรกของพระเยซูคริสตเจ้านี้เป็นสัญลักษณ์ให้เราทราบอย่างชัดเจนว่า ความจำเป็นต่างๆในชีวิตจะได้รับการตอบสนองอย่างเต็มเปี่ยมจากพระองค์ หากเราติดตามพระองค์ด้วยความรักและความจริงใจดั่งฝูงชนในพระวรสาร “เดินเท้าจากเมืองต่างๆมาเฝ้าพระองค์”
     เมื่อไปร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ อาหารที่พระเยซูเจ้าประทานนั้นก็คือพระองค์เอง เป็นอาหารทิพย์จากโต๊ะ 2 โต๊ะ บนโต๊ะอ่านพระคัมภีร์อาหารทิพย์คือพระวาจา และบนโต๊ะพระแท่นบูชาอาหารทิพย์คือพระกายและพระโลหิต

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown