มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2019 น.โยเซฟ กรรมกร

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 5:17-26
     ในครั้งนั้น มหาสมณะและทุกคนที่อยู่กับเขาคือกลุ่มชาวสะดูสี มีความอิจฉาอย่างยิ่ง จึงจับกุมบรรดาอัครสาวกและจองจำไว้ในคุกสาธารณะ
     เวลากลางคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปิดประตูคุก นำบรรดาอัครสาวกออกไป สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงไปที่พระวิหาร ประกาศพระวาจาเกี่ยวกับวิถีชีวิตใหม่นี้ให้ประชาชนฟังเถิด” เมื่อบรรดาอัครสาวกได้ฟังดังนั้น ก็เข้าไปในพระวิหารตั้งแต่เช้าตรู่และเริ่มสั่งสอนที่นั่น
     เมื่อมหาสมณะและทุกคนที่อยู่กับเขามาถึง ก็เรียกประชุมสภาซันเฮดรินและบรรดาผู้อาวุโสทุกคนของอิสราเอล แล้วให้พนักงานไปที่คุกนำตัวบรรดาอัครสาวกออกมา แต่เมื่อพนักงานไปถึง ก็ไม่พบบรรดาอัครสาวกอยู่ในคุกแล้ว จึงกลับมารายงานว่า “พวกเราพบคุกปิดไว้อย่างแน่นหนาและคนเฝ้าก็ยืนรักษาการณ์อยู่ที่ประตู แต่เมื่อเราเปิดประตูเข้าไปก็ไม่พบผู้ใดเลยสักคน” เมื่อนายทหารรักษาพระวิหารและบรรดาหัวหน้าสมณะได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ต่างรู้สึกสับสนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะนั้นเอง มีคนหนึ่งมาบอกว่า “ดูซิ คนเหล่านั้นที่ท่านทั้งหลายจองจำไว้ในคุก กำลังยืนสั่งสอนประชาชนอยู่ในพระวิหาร” นายทหารรักษาพระวิหารพร้อมกับนายทหารยามจึงไปนำบรรดาอัครสาวกมาโดยไม่ใช้กำลัง เพราะเกรงประชาชนจะขว้างด้วยก้อนหิน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 3:16-21
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น ผู้ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้มีความเชื่อในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คือความสว่างเข้ามาในโลกนี้แล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการกระทำของเขานั้นชั่วร้าย ทุกคนที่ทำความชั่วย่อมเกลียดความสว่างและไม่เข้าใกล้ความสว่าง เกรงว่าการกระทำของตนจะปรากฏชัดแจ้ง แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามความจริง ย่อมเข้าใกล้ความสว่าง เพื่อให้เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นได้ทำโดยพึ่งพระเจ้า”

 

ข้อคิด

     ความเชื่อที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับนิโคเดมัส ไม่ใช่เป็นแค่ข้อความเชื่อที่เราท่องจำ แต่เป็นความเชื่อมั่นในคุณค่าที่จะต้องเปลี่ยนแปลงชีวิต ผลักดันเราให้ออกแรงปฏิบัติ เพื่อให้ความเชื่อนั้นปรากฏเป็นจริงเป็นจังในชีวิตของเรา “ผู้ที่ไม่เชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว” เพราะว่า ชีวิตเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง ชีวิตจะอยู่ในความมืด สิ่งที่เขาเลือกนั้นได้ตอบสนองอยู่ในตัวเองแล้ว ในทุกๆวันแห่งชีวิต เราจะต้องเลือก ระหว่างความมืดและความสว่าง จึงไม่แปลกที่บางครั้งเรายังตกในบาปและต้องการการอภัย

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม 2019 ระลึกถึง น.อาทานาส พระสังฆราชและนักปราชญ์

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                              กจ 5:27-33
     ในครั้งนั้น เขานำบรรดาอัครสาวกมายังสภาซันเฮดริน มหาสมณะจึงกล่าวหาว่า “เรากำชับท่านทั้งหลายอย่างแข็งขันแล้ว ไม่ให้สอนโดยออกนามนี้ แต่ท่านยังขืนนำคำสอนของตนมาแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และต้องการให้โลหิตของคนคนนี้ตกอยู่กับเรา” เปโตรและบรรดาอัครสาวกตอบว่า “เราต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าที่ท่านทั้งหลายประหารชีวิตโดยตรึงบนไม้กางเขนนั้นกลับคืนพระชนมชีพ พระเจ้าทรงยกพระองค์ท่านขึ้นประทับเบื้องขวาในฐานะเป็นหัวหน้าและผู้กอบกู้ เพื่อให้อิสราเอลกลับใจและรับการอภัยบาป เราทั้งหลายเป็นพยานในเรื่องนี้ และพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานแก่ผู้ที่เชื่อฟังพระองค์ก็ทรงเป็นพยานด้วย” เมื่อได้ฟังดังนี้ทุกคนในสภาซันเฮดรินรู้สึกโกรธเคืองอย่างมากอยากจะฆ่าบรรดาอัครสาวก

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                  ยน 3:31-36
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “ผู้ที่มาจากเบื้องบนย่อมอยู่เหนือทุกคน ผู้ที่มาจากแผ่นดินนี้ ย่อมเป็นของแผ่นดินนี้ และพูดอย่างคนของแผ่นดินนี้ ผู้ที่มาจากสวรรค์ย่อมอยู่เหนือทุกคน เขาเป็นพยานถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน แต่ไม่มีใครยอมรับคำพยานยืนยันของเขา ผู้ที่รับคำพยานยืนยันของเขา ก็รับรองว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมานั้นย่อมกล่าวพระวาจาของพระเจ้า เพราะพระเจ้าประทานพระจิตเจ้าให้เขาอย่างไม่จำกัด พระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระบุตร ผู้ใดมีความเชื่อในพระบุตรย่อมมีชีวิตนิรันดร ผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระบุตร จะไม่พบชีวิตนั้น การลงโทษของพระเจ้ากำลังอยู่เหนือเขาแล้ว”

 

ข้อคิด

     พระเป็นเจ้าทรงให้พระบุตรมาเป็นพยานแห่งความสว่างและความจริงแก่เราในรูปแบบที่ชัดเจน ไม่อาจจะปฏิเสธได้ของพระบุตรนั้น ปรากฏมาในรูปแบบของการเป็นมนุษย์ เปิดหนทางที่เป็นไปได้แก่มนุษย์ทุกคน ที่ต้องการจะติดตามความสว่างและความจริง เป็นพยานของชีวิตพระเจ้าในความเป็นมนุษย์ของพระองค์ และเราทุกคนในฐานะที่เป็นมนุษย์ ก็สามารถเป็นพยานในความสว่างและความจริงได้เช่นเดียวกับที่พระคริสตเจ้าผู้ทรงรับเอากายเป็นมนุษย์ได้เป็นพยาน

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม 2019 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 6:1-7
     เวลานั้น ศิษย์มีจำนวนมากขึ้น บรรดาศิษย์ที่พูดภาษากรีกไม่พอใจศิษย์ที่พูดภาษาฮีบรู เพราะในการแจกทานประจำวัน บรรดาแม่ม่ายของตนถูกละเลยมิได้รับแจก
      อัครสาวกสิบสองคนจึงเรียกบรรดาศิษย์มาประชุม กล่าวว่า “ไม่สมควรที่เราจะละทิ้งการประกาศพระวาจาของพระเจ้าเพื่อไปแจกอาหาร พี่น้องทั้งหลาย จงเลือกบุรุษเจ็ดคนจากกลุ่มของท่านทั้งหลาย เป็นคนที่มีชื่อเสียงดี เปี่ยมด้วยพระจิตเจ้าและปรีชาญาณ แล้วเราจะแต่งตั้งเขาให้ทำหน้าที่นี้ ส่วนเราจะอุทิศตนอธิษฐานภาวนาและประกาศพระวาจา ทุกคนในที่ประชุมต่างเห็นชอบกับข้อเสนอนี้ จึงเลือกสเทเฟนบุรุษผู้เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า ฟีลิป โปรโครัส นิคาโนร์ ทิโมน ปาร์เมนัส และนิโคลัสชาวอันทิโอกผู้กลับใจมานับถือศาสนายิว เขานำคนทั้งเจ็ดคนมาอยู่ต่อหน้าบรรดาอัครสาวกซึ่งอธิษฐานภาวนาและปกมือเหนือเขา
พระวาจาของพระเจ้าแพร่หลายยิ่งขึ้น ศิษย์มีจำนวนมากขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม บรรดาสมณะหลายคนยอมรับความเชื่อด้วย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 6:16-21
     เมื่อถึงเวลาเย็น บรรดาศิษย์ต่างลงไปยังทะเลสาบ และลงเรือข้ามฟากไปทางเมืองคาเปอรนาอุม ขณะนั้นมืดแล้ว พระเยซูเจ้าก็ยังไม่เสด็จมากับเขา ทะเลปั่นป่วนเพราะลมพัดจัด บรรดาศิษย์กรรเชียงเรือไปได้ราวสี่หรือห้ากิโลเมตร เห็นพระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินบนทะเล เข้ามาใกล้เรือ ก็ตกใจกลัว แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “เป็นเราเอง อย่ากลัวเลย” บรรดาศิษย์รับพระองค์ลงเรือด้วยความเต็มใจ ทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขามุ่งจะไป

 

ข้อคิด

     บรรดาศิษย์เผชิญกับความหวาดกลัวสองประการ ระหว่างพายุและองค์พระคริสตเจ้าที่ทรงดำเนินบนน้ำ ความวางใจในพระเป็นเจ้าเป็นสิ่งสำคัญและเป็นพื้นฐานของความเชื่อ การวางใจในพระเป็นเจ้าเรียกร้องให้เราละทิ้งทุกสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่าจะทดแทนพระเจ้าได้ หรือที่เราคิดว่าเข้มแข็งกว่าพระเจ้า รวมทั้งตัวตนของเราเอง และวางใจในพระองค์ ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความไม่แน่นอน แต่คำว่า “เป็นเราเอง อย่ากลัวเลย” เป็นคำยืนยันว่า ให้เราดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า ด้วยความวางใจ แม้ว่าเราจะหวาดกลัว

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2019 ฉลองนักบุญฟีลิป และ นักบุญยากอบ อัครสาวก

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง    1 คร 15:1-8
     พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอเตือนท่านให้คำนึงถึงข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านได้รับไว้แล้วและยังคงเชื่อมั่นในข่าวดีนี้ ท่านกำลังรับความรอดพ้นอาศัยข่าวดีนี้ ถ้าท่านยังยึดมั่นตามที่ข้าพเจ้าประกาศ แต่ถ้าท่านไม่ยึดมั่น ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ ข้าพเจ้ามอบธรรมประเพณีสำคัญที่สุดให้ท่าน เป็นธรรมประเพณีที่ข้าพเจ้าได้รับมาอีกทอดหนึ่ง คือพระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ และทรงถูกฝังไว้ พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สามตามความในพระคัมภีร์ และทรงแสดงพระองค์แก่เคฟาส แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบสองคน หลังจากนั้นทรงแสดงพระองค์แก่พี่น้องมากกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว คนส่วนมากในจำนวนนี้ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าบางคนล่วงหลับไปแล้ว ต่อมาพระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่ยากอบ แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกทุกคน ในที่สุด ทรงแสดงพระองค์แก่ข้าพเจ้า ผู้เป็นเสมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนดด้วย

สดด 19:1-2,3-4ก

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                             ยน 14:6-14
      เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสตอบโทมัสว่า “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเรา ท่านก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย บัดนี้ ท่านก็รู้จักพระบิดา และเห็นพระองค์แล้ว”
ฟีลิปทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดทำให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด เท่านี้ก็พอแล้ว”
     พระเยซูเจ้าตรัสว่า ”ฟีลิปเอ๋ย เราอยู่กับท่านมานานเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดาด้วย ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘โปรดทำให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด’ ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราดำรงอยู่ในพระบิดา และพระบิดาทรงดำรงอยู่ในเรา วาจาที่เราบอกกับท่านทั้งหลายนี้ เรามิได้พูดตามใจของเรา แต่พระบิดาผู้สถิตในเรา ทรงกระทำกิจการของพระองค์ ท่านทั้งหลายจงเชื่อเราเถิดว่า เราดำรงอยู่ในพระบิดา และพระบิดาก็ทรงดำรงอยู่ในเรา หรืออย่างน้อยท่านทั้งหลายจงเชื่อเพราะกิจการเหล่านี้เถิด เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็จะทำกิจการที่เรากำลังทำอยู่ด้วย และจะทำกิจการที่ใหญ่กว่านั้นอีก เพราะเรากำลังจะไปเฝ้าพระบิดา สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อพระบิดาจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในพระบุตร ถ้าท่านทั้งหลายขอสิ่งใดในนามของเรา เราจะทำให้”

 

ข้อคิด

     ในการเดินทาง เราไม่สามารถแยกแยะระหว่างหนทางและเป้าหมายได้เลย พระเยซูเจ้าประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นทั้งหนทางและเป้าหมาย ในขณะที่ฟีลิปทูลพระองค์ว่า “แค่ชี้ให้เห็นพระเจ้าก็พอ” แต่แท้จริงแล้ว ชีวิตที่สนิทสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้านั้น ไม่ใช่แค่เป้าหมาย แต่เป็นความสัมพันธ์ที่จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงของชีวิตคริสตชนทุกคน ให้การเดินทางไปหาพระเจ้าของเราแต่ละคนได้เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้ละม้ายคล้ายคลึงกับองค์พระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม 2019 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 5:27ข-32,40ข-41
     ในครั้งนั้น มหาสมณะจึงกล่าวหาว่า “เรากำชับท่านทั้งหลายอย่างแข็งขันแล้ว ไม่ให้สอนโดยออกนามนี้ แต่ท่านยังขืนนำคำสอนของตนมาแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และต้องการให้โลหิตของคนคนนี้ตกอยู่กับเรา” เปโตรและบรรดาอัครสาวกตอบว่า “เราต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าที่ท่านทั้งหลายประหารชีวิตโดยตรึงบนไม้กางเขนนั้นกลับคืนพระชนมชีพ พระเจ้าทรงยกพระองค์ท่านขึ้นประทับเบื้องขวาในฐานะเป็นหัวหน้าและผู้กอบกู้ เพื่อให้อิสราเอลกลับใจและรับการอภัยบาป เราทั้งหลายเป็นพยานในเรื่องนี้ และพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานแก่ผู้ที่เชื่อฟังพระองค์ก็ทรงเป็นพยานด้วย”
     ทุกคนเห็นด้วยกับกามาลิเอล จึงส่งคนไปเรียกบรรดาอัครสาวกเข้ามา สั่งให้เฆี่ยนและกำชับมิให้พูดในพระนามพระเยซูเจ้า แล้วปล่อยตัวไป บรรดาอัครสาวกออกจากสภาซันเฮดริน มีความยินดีที่ได้รับเกียรติที่ถูกสบประมาทเพราะพระนามพระเยซูเจ้า

 

เพลงสดุดี                                                                    สดด 30:1-3,5ก,10,11-12
     ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ายกย่องสรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นมา
พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้เหล่าศัตรูยินดีที่เห็นข้าพเจ้าประสบเคราะห์ร้าย
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
พระองค์ก็ทรงรักษาข้าพเจ้าให้หาย
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นมาจากแดนมรณะ
พระองค์ประทานชีวิต มิให้ข้าพเจ้าต้องลงไปในขุมลึก
     ข) พระพิโรธคงอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่ง แต่ความโปรดปรานของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดชีวิต
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงฟังเถิด โปรดทรงเมตตาข้าพเจ้าด้วย
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าเถิด
     ค) พระองค์ทรงเปลี่ยนการร่ำไห้ของข้าพเจ้าให้เป็นการเริงระบำ
ทรงเปลื้องเสื้อผ้ากระสอบของข้าพเจ้าและประทานอาภรณ์งดงามให้ข้าพเจ้ายินดี
ดังนั้น ดวงใจข้าพเจ้าจะขับร้องถวายพรพระองค์มิหยุดหย่อน
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ตลอดไป

 

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์                                             วว 5:11-14
     ข้าพเจ้าเห็นและได้ยินเสียงทูตสวรรค์จำนวนมากนับล้านนับโกฏินับอสงไขย รอบพระบัลลังก์ รอบผู้มีชีวิตทั้งสี่ตนและรอบบรรดาผู้อาวุโส ร้องสรรเสริญเสียงดังว่า
“ลูกแกะที่ถูกประหารชีวิตแล้วนั้น ทรงเป็นผู้สมควรได้รับพระอานุภาพ ทรัพย์ศฤงคาร พระปรีชาญาณ พระพลานุภาพ พระเกียรติยศ พระสิริรุ่งโรจน์และคำถวายพระพร”
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงสิ่งสร้างทั้งมวล ทั้งที่อยู่ในสวรรค์และบนแผ่นดิน ทั้งใต้พิภพและในทะเล ทุกสิ่งที่อยู่ในที่เหล่านั้น ร้องสรรเสริญว่า
“พระองค์ผู้ประทับบนพระบัลลังก์ และลูกแกะ จงได้รับคำถวายพระพร พระเกียรติยศ พระสิริรุ่งโรจน์และพระอำนาจปกครอง ตลอดนิรันดรเทอญ”
ผู้มีชีวิตทั้งสี่ตนพูดว่า “อาเมน” และบรรดาผู้อาวุโสก็กราบนมัสการ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                   ยน 21:1-19
     หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์อีกครั้งหนึ่งที่ฝั่งทะเลสาบทิเบเรียส เรื่องราวเป็นดังนี้ ศิษย์บางคนอยู่พร้อมกันที่นั่น คือซีโมนเปโตร กับโทมัสที่เรียกกันว่า “ฝาแฝด” นาธานาเอล ซึ่งมาจากหมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองคนของเศเบดีและศิษย์อีกสองคน ซีโมนเปโตร
     บอกคนอื่นว่า “ข้าพเจ้าจะไปจับปลา” ศิษย์คนอื่นตอบว่า “พวกเราจะไปกับท่านด้วย” เขาทั้งหลายออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นทั้งคืนเขาจับปลาไม่ได้เลย
     พอรุ่งสาง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่ง แต่บรรดาศิษย์ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทรงร้องถามว่า “ลูกเอ๋ย มีอะไรกินบ้างไหม” เขาตอบว่า “ไม่มี” พระองค์จึงตรัสว่า “จงเหวี่ยงแหไปทางกราบเรือด้านขวาซิ แล้วจะได้ปลา” บรรดาศิษย์จึงเหวี่ยงแหออกไป แต่ดึงขึ้นไม่ไหว เพราะได้ปลาเป็นจำนวนมาก ศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักกล่าวกับเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้านี่” เมื่อซีโมนเปโตรได้ยินว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” เขาก็หยิบเสื้อมาสวม เพราะเขาไม่ได้สวมเสื้ออยู่ แล้วกระโดดลงไปในทะเล ศิษย์คนอื่นเข้าฝั่งมากับเรือ ลากแหที่ติดปลาเข้ามาด้วย เพราะอยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก ประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น
     เมื่อบรรดาศิษย์ขึ้นมาบนฝั่ง ก็เห็นถ่านติดไฟลุกอยู่ มีปลาและขนมปังวางอยู่บนไฟ พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเอาปลาที่เพิ่งจับได้มาบ้างซิ” ซีโมนเปโตรจึงลงไปในเรือ แล้วลากแหขึ้นฝั่ง มีปลาตัวใหญ่ติดอยู่เต็ม นับได้หนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว แต่ทั้งๆ ที่ติดปลามากเช่นนั้น แหก็ไม่ขาด พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “มากินอาหารกันเถิด” ไม่มีศิษย์คนใดกล้าถามว่า “ท่านเป็นใคร” เพราะรู้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูเจ้าทรงเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้เขา แล้วทรงแจกปลาให้เช่นเดียวกัน นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย
     เมื่อบรรดาศิษย์กินเสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านรักเรามากกว่าคนเหล่านี้รักเราไหม” เปโตรทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสถามเขาอีกเป็นครั้งที่สองว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม” เขาทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสถามเป็นครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม” เปโตรรู้สึกเป็นทุกข์ที่พระองค์ตรัสถามตนถึงสามครั้งว่า “ท่านรักเราไหม” เขาทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์”
     พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด เราบอกความจริงกับท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่ม ท่านคาดสะเอวด้วยตนเอง และเดินไปไหนตามใจชอบ แต่เมื่อท่านชรา ท่านจะยื่นมือ แล้วคนอื่นจะคาดสะเอวให้ท่าน พาท่านไปในที่ที่ท่านไม่อยากไป”
พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้เพื่อแสดงว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าโดยตายอย่างไร เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ทรงเสริมว่า “จงตามเรามาเถิด”

 

ข้อคิด

     เปโตรจำพระเยซูเจ้าได้ เพราะมองเห็นพระองค์ ไม่ใช่เพราะการเหวี่ยงแหลงไปตามคำแนะนำของพระองค์และได้ปลาจำนวนมากมาย ในชีวิตของการรับใช้พระเป็นเจ้านั้น ความสำเร็จและความดีงามเป็นผลมาจากการรับฟัง แสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าในทุกสิ่งที่เรากระทำ และในความสำเร็จนั้น เราจะเห็นพระเจ้าสัมผัสพระองค์ และจำพระองค์ได้
พระเป็นเจ้าทรงวางใจ และเชื้อเชิญให้เราเข้ามามีส่วนร่วมในแผนการแห่งความรอดของพระองค์ สิ่งสำคัญก็คือ เราจะต้องตอบคำถามของพระองค์ให้ได้อย่างชัดเจนและด้วยความมั่นใจ เมื่อพระองค์ถามเราว่า “ท่านรักเราไหม?”

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown