มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม 2019 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 14:19-28
     ในเวลานั้น ชาวยิวบางคนมาจากเมืองอันทิโอกและเมืองอิโคนิยุม เกลี้ยกล่อมประชาชนให้เป็นฝ่ายของตนได้ เขาเหล่านั้นใช้ก้อนหินขว้างเปาโลแล้วลากออกไปนอกเมืองเพราะคิดว่าเปาโลตายแล้ว บรรดาศิษย์มาห้อมล้อมเขา เปาโลลุกขึ้น เข้าไปในเมือง วันรุ่งขึ้นเปาโลก็ออกเดินทางกับบารนาบัสไปยังเมืองเดอร์บี
     ทั้งสองคนประกาศข่าวดีที่เมืองนั้น ได้ศิษย์เป็นจำนวนมาก แล้วจึงกลับไปเมืองลิสตรา เมืองอิโคนิยุมและเมืองอันทิโอกแห่งแคว้นปิสิเดีย เขาทั้งสองคนให้กำลังใจบรรดาศิษย์ ตักเตือนให้มั่นคงอยู่ในความเชื่อ พูดว่า “พวกเราจำเป็นต้องฟันฝ่าความทุกข์ยากเป็นอันมากจึงจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าได้” เปาโลและบารนาบัสแต่งตั้งผู้อาวุโสในกลุ่มคริสตชนแต่ละกลุ่ม เขาอธิษฐานภาวนาพร้อมกับจำศีลอดอาหาร แล้วฝากบรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้ไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเขาทั้งหลายมีความเชื่อ ทั้งสองคนเดินทางผ่านแคว้นปิสิเดีย มาถึงแคว้นปัมฟีเลีย ประกาศพระวาจาที่เมืองเปอร์กา แล้วจึงไปยังเมืองอัตตาเลีย
     จากนั้น เขาลงเรือกลับไปยังเมืองอันทิโอกแห่งซีเรีย ก่อนที่เขาทั้งสองคนจะออกเดินทางจากเมืองอันทิโอก บรรดาคริสตชนเคยฝากเขาไว้กับพระหรรษทานของพระเจ้าเพื่องานที่เขาเพิ่งทำสำเร็จ เมื่อไปถึง เปาโลและบารนาบัสก็เรียกประชุมกลุ่มคริสตชน เล่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำโดยผ่านตนว่าพระเจ้าทรงเปิดประตูแห่งความเชื่อให้คนต่างศาสนา เขาทั้งสองคนพักอยู่กับบรรดาศิษย์เป็นเวลานาน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 14:27-31ก
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เรามอบสันติสุขไว้ให้ท่านทั้งหลาย เราให้สันติสุขของเราแก่ท่าน เราให้สันติสุขแก่ท่าน ไม่เหมือนที่โลกให้ ใจของท่านอย่าหวั่นไหว หรือมีความกลัวเลย ท่านได้ยินที่เราบอกกับท่านแล้วว่า เรากำลังจะไป และเราจะกลับมาหาท่านทั้งหลาย ถ้าท่านรักเรา ท่านคงยินดีที่เรากำลังไปเฝ้าพระบิดา เพราะพระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา และบัดนี้เราได้บอกท่านทั้งหลายก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ท่านจะเชื่อ เราจะพูดกับท่านต่อไปอีกไม่นาน เพราะซาตานเจ้านายแห่งโลกนี้กำลังมา มันไม่มีอำนาจใดเหนือเรา แต่โลกจะต้องรู้ว่าเรารักพระบิดา และรู้ว่าพระบิดาทรงบัญชาให้เราทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น”

 

ข้อคิด

      โลกได้หยิบยื่นความสุขให้กับเรามนุษย์ตามที่เราต้องการ แต่เรากลับไม่ได้แสวงหาสันติสุขที่แท้จริงที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาสู่โลก พระองค์ตรัสว่า “พระบิดาทรงบัญชาให้เราทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น” ซึ่งเป้าหมายของเรามนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรัก รับใช้ สรรเสริญและเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า แต่เรากลับเลือกสิงที่เราต้องการ จึงทำให้เรามนุษย์ไม่สามารถพบหนทางสันติสุขที่แท้จริง แต่เป็นความสุขที่โลกให้ คือ การอยากมี อยากได้ อยากครอบครอง ถึงเวลาแล้วที่เราแต่ละคนจะต้องกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เพื่อพบสันติสุขที่แท้จริงที่โลกไม่สามารถให้ได้นอกจากพระองค์เท่านั้น

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม 2019 น.ริต้า แห่งคาเซีย นักบวช

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 15:1-6
     เวลานั้น คริสตชนชาวยิวบางคนลงมาจากแคว้นยูเดีย และสอนบรรดาพี่น้องว่า “ถ้าท่านทั้งหลายมิได้เข้าสุหนัตตามธรรมประเพณีของโมเสส ท่านจะรอดพ้นไม่ได้” เปาโลและบารนาบัสไม่เห็นด้วย จึงโต้แย้งกับเขาเหล่านั้นอย่างรุนแรง มีการตกลงกันให้เปาโลและบารนาบัสพร้อมกับพี่น้องบางคนขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อปรึกษาปัญหานี้กับบรรดาอัครสาวกและบรรดาผู้อาวุโส เมื่อพระศาสนจักรจัดให้เขาเหล่านั้นออกเดินทางไปแล้ว เขาเดินทางผ่านแคว้นฟีนีเซียและสะมาเรีย เล่าเรื่องการกลับใจของคนต่างศาสนา ทำให้พี่น้องทุกคนชื่นชมอย่างยิ่ง เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเล็มเขาได้รับการต้อนรับจากพระศาสนจักร บรรดาอัครสาวกและบรรดาผู้อาวุโส บารนาบัสและเปาโลเล่าเรื่องต่างๆ ที่พระเจ้าทรงกระทำโดยผ่านตน
ผู้มีความเชื่อบางคนที่เคยอยู่ในกลุ่มชาวฟาริสีลุกขึ้นกล่าวว่า “ต้องให้คนต่างศาสนาเข้าสุหนัตและปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของโมเสส”
บรรดาอัครสาวกและผู้อาวุโสจึงประชุมกันเพื่อพิจารณาปัญหานี้

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 15:1-8
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นชาวสวน กิ่งก้านใดในเราที่ไม่เกิดผล พระองค์จะทรงตัดทิ้ง กิ่งก้านใดที่เกิดผล พระองค์จะทรงลิด เพื่อให้เกิดผลมากขึ้น ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้ว เพราะวาจาที่เรากล่าวกับท่าน ท่านทั้งหลายจงดำรงอยู่ในเราเถิด ดังที่เราดำรงอยู่ในท่าน กิ่งองุ่นเกิดผลด้วยตนเองไม่ได้ ถ้าไม่ติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ ถ้าไม่ดำรงอยู่ในเราฉันนั้น เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้าน ผู้ที่ดำรงอยู่ในเรา และเราดำรงอยู่ในเขา ก็ย่อมเกิดผลมาก เพราะถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าผู้ใดไม่ดำรงอยู่ในเรา ก็จะถูกโยนทิ้งไปข้างนอกเหมือนกิ่งก้าน และจะเหี่ยวแห้งไป กิ่งก้านเหล่านั้นจะถูกเก็บไปทิ้งในไฟและถูกเผา ถ้าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในเรา และวาจาของเราดำรงอยู่ในท่าน ท่านอยากได้สิ่งใด ก็จงขอเถิด และท่านจะได้รับ พระบิดาของเราจะทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์ เมื่อท่านเกิดผลมาก และกลายเป็นศิษย์ของเรา”

 

ข้อคิด

     การเป็นพยานของพระศาสนจักรในประเทศไทย เราคริสตชนทุกคนไม่สามารถงอกงามเกิดผลได้ ถ้าไม่ได้ยึดติดอยู่กับพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตให้เจริญเติบโต ก็จะมีแต่เหี่ยวแห้งไปและไม่มีประโยชน์อันใด ในทางกลับกัน การที่ชีวิตของเราอยู่ติดกับพระองค์ มีพระองค์เป็นจุดศูนย์กลาง เราก็เกิดดอกออกผลร้อยเท่าทวีคูณ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระศาสนจักรในประเทศไทยเรายังคงความเป็นศิษย์ของพระองค์ตลอดมา และจะให้ชีวิตความเป็นศิษย์ของพระองค์สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในสังคมไทยต่อไปอีกยาวนาน

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม 2019 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 15:22-31
     ในครั้งนั้น บรรดาอัครสาวกและผู้อาวุโสพร้อมกับคริสตชนทุกคนที่ชุมนุมกันตกลงใจเลือกสมาชิกบางคน เพื่อส่งไปยังเมืองอันทิโอกพร้อมกับเปาโลและบารนาบัส คือยูดาส ที่เรียกกันว่า บารซับบัสกับสิลาส ทั้งสองคนนี้เป็นคนเด่นในบรรดาพี่น้อง ที่ประชุมเขียนจดหมายมอบให้คนเหล่านี้ถือไปใจความว่า

“จาก บรรดาอัครสาวก ผู้อาวุโส และบรรดาพี่น้อง

ถึง บรรดาพี่น้องซึ่งเคยเป็นคนต่างศาสนาอยู่ที่เมืองอันทิโอก ในแคว้นซีเรีย และแคว้นซีลีเซีย ขอให้ท่านมีความสุขเถิด
เนื่องจากเรารู้ว่า พวกเราบางคนกล่าวถ้อยคำที่ทำให้ท่านสับสนและวุ่นวายใจ โดยไม่ได้รับคำสั่งจากเราเลย เราจึงตกลงกันเป็นเอกฉันท์เลือกบุรุษบางคนส่งมาพบท่านพร้อมกับบารนาบัสและเปาโลที่รักยิ่งของเรา ผู้เสี่ยงชีวิตเพื่อพระนามพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ดังนั้น เราจึงส่งยูดาสและสิลาสมาเล่าเรื่องที่เขียนนี้ให้ท่านฟังโดยตรง พระจิตเจ้าและพวกเราตกลงที่จะไม่บังคับให้ท่านแบกภาระอื่นอีก นอกจากสิ่งที่จำเป็นต่อไปนี้ คืองดเว้นการกินเนื้อสัตว์ที่ถวายให้รูปเคารพแล้ว งดเว้นการกินเลือดและเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และงดเว้นการแต่งงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าท่านทั้งหลายงดเว้นการกระทำเหล่านี้ ก็จะเป็นการดี จงเจริญสุขเถิด”
     เมื่อร่ำลากันแล้ว คณะผู้แทนก็เดินทางมาถึงเมืองอันทิโอก เขาเรียกบรรดาคริสตชนมาประชุมกันและมอบจดหมายให้ เมื่ออ่านจดหมายนั้นแล้ว ทุกคนต่างยินดีเพราะได้รับกำลังใจ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 15:12-17

     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านทำตามที่เราสั่งท่าน เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป เพราะผู้รับใช้ไม่รู้ว่านายของตนทำอะไร เราเรียกท่านเป็นมิตรสหาย เพราะเราแจ้งให้ท่านรู้ทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดาของเรา มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ท่านไปทำจนเกิดผล และผลของท่านจะคงอยู่ เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน เราสั่งท่านทั้งหลายดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงรักกัน”

 

ข้อคิด

     นี่คือบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนที่พระองค์ทรงรักเรา พระองค์ปรารถนาให้เรารักซึ่งกันและกัน และแสดงออกทุกสิ่งในชีวิต ด้วยหัวใจแห่งความรักต่อเพื่อนพี่น้องเสมอ เพราะพระองค์ทรงเรียกและเลือกเราก่อน และมอบภารกิจที่เราทำให้เกิดผล ซึ่งผลนั้นจะคงอยู่ตลอดไป ไม่ว่าสิ่งใดที่เราทำในนามของพระองค์ พระบิดาจะประทานทุกสิ่งให้แก่เรา

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม 2019 สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                               กจ 15:7-21
     ในครั้งนั้น หลังจากโต้เถียงกันมากแล้ว เปโตรลุกขึ้นกล่าวแก่ที่ประชุม เปโตรกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย ท่านรู้แล้วว่า ตั้งแต่แรกเริ่ม พระเจ้าทรงเลือกสรรข้าพเจ้าในหมู่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้คนต่างศาสนาได้ฟังพระวาจาที่เป็นข่าวดีจากปากของข้าพเจ้าและมีความเชื่อ พระเจ้าผู้ทรงล่วงรู้จิตใจ ทรงเป็นพยานยืนยันแก่คนต่างศาสนาโดยประทานพระจิตเจ้าให้เขาเหมือนกับที่ประทานให้พวกเรา พระองค์มิได้ทรงลำเอียง แต่ทรงชำระจิตใจของเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความเชื่อ บัดนี้ ทำไมท่านทั้งหลายจึงทดลองพระเจ้า นำแอกที่ทั้งบรรพบุรุษของเราและพวกเราแบกไม่ไหวมาวางบนคอของบรรดาศิษย์ เราเชื่อว่าเราได้รับความรอดพ้นอาศัยพระหรรษทานของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับคนต่างศาสนาด้วย”
     ทุกคนในที่ประชุมนิ่งเงียบ ฟังบารนาบัสกับเปาโลเล่าเรื่องเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าทรงกระทำในหมู่คนต่าง ศาสนาโดยผ่านตน
     เมื่อทั้งสองคนเล่าจบแล้ว ยากอบจึงพูดว่า “พี่น้องทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ซีโมนเล่าแล้วว่า ตั้งแต่แรกพระเจ้าทรงพระกรุณาเลือกสรรประชากรชาติหนึ่งจากนานาชาติให้เป็นประชากรของพระองค์ การกระทำเช่นนี้สอดคล้องกับถ้อยคำของบรรดาประกาศก ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘หลังจากนี้ เราจะกลับมา และจะซ่อมแซมกระโจมที่พังลงของกษัตริย์ดาวิด จะซ่อมแซมสิ่งปรักหักพังของกระโจมนี้ และจะตั้งใหม่ให้ตรง เพื่อให้มนุษย์อื่นๆ แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พร้อมกับนานาชาติที่เราเรียกว่าเป็นของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเช่นนี้ และทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่รู้กันตลอดมาแล้ว’
     ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าไม่ควรก่อความยุ่งยากแก่คนต่างศาสนาที่กลับใจมาหาพระเจ้า ควรเขียนจดหมายไปบอกเขา ให้งดเว้นการกินเนื้อสัตว์ที่ถวายแก่รูปเคารพแล้ว ให้งดเว้นการแต่งงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และงดเว้นการกินเลือดและเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอให้ตาย กฎเหล่านี้ของโมเสสเป็นที่รู้จักกันทั่วทุกเมืองตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพราะมีผู้ประกาศในศาลาธรรมทุกวันสับบาโต”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 15:9-11
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “พระบิดาของเราทรงรักเราอย่างไร เราก็รักท่านทั้งหลายอย่างนั้น จงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิด ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา ท่านก็จะดำรงอยู่ในความรักของเรา เหมือนกับที่เราปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระบิดาของเรา และดำรงอยู่ในความรักของพระองค์ เราบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์”

 

ข้อคิด

     พระเยซูเจ้าทรงตอกย้ำกับอัครสาวกของพระองค์ถึงความรักของพระองค์ไม่ใช่แค่เพียงคำพูด แต่พระองค์ทรงแสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมด้วยแบบอย่างที่ชัดเจน นอกเหนือจากนั้นแล้วพระองค์ยังคงภาวนาเพื่อบรรดาศิษย์ของพระองค์ให้ดำเนินชีวิตยู่ในความรักของพระองค์อยู่ตลอดเวลา เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในทุกๆกิจการที่กระทำ เช่นเดียวกันตลอดเวลาที่ผ่านมา พระศาสนจักรในประเทศไทยเองก็ได้เป็นรูปแบบอย่างเด่นชัด ในเรื่องของความรักและการให้อภัย เพราะเราเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่กับพระศาสนจักรไทยตลอดมา

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม 2019 น.เกรโกรี่ที่ 7 พระสันตะปาปา น.เบดา พระสงฆ์และนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร น.มารีย์ มักดาเลนา เดปัสซี พรหมจารี

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                 กจ 16:1-10
     ในครั้งนั้น เปาโลเดินทางมาถึงเมืองเดอร์บีและเมืองลิสตรา ที่เมืองนี้ศิษย์คนหนึ่งชื่อทิโมธี มารดาของเขาเป็นคริสตชนชาวยิว แต่บิดาเป็นชาวกรีก เขาเป็นที่นับถือของบรรดาพี่น้องคริสตชนที่เมืองลิสตราและเมืองอิโคนิยุม เปาโลต้องการให้เขาร่วมเดินทางไปด้วย จึงให้เขาเข้าสุหนัต เพื่อเอาใจบรรดาชาวยิวที่อยู่ในที่ต่างๆ แถบนั้น เพราะทุกคนรู้ว่า บิดาของเขาเป็นชาวกรีก เมื่อคณะของเปาโลผ่านไปตามเมืองต่างๆ ก็แจ้งให้บรรดาคริสตชนรู้ข้อกำหนดที่บรรดาอัครสาวกและผู้อาวุโสตกลงกันที่กรุงเยรูซาเล็ม เตือนเขาให้ปฏิบัติตาม บรรดากลุ่มคริสตชนจึงมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้นและมีจำนวนคริสตชนเพิ่มขึ้นทุกวัน
พระจิตเจ้าทรงห้ามคณะของเปาโลประกาศพระวาจาในแคว้นเอเชีย เขาจึงเดินทางผ่านแคว้นฟรีเจียและแคว้นกาลาเทีย มาถึงแคว้นมิเซีย เขาพยายามเข้าไปในแคว้นบิธีเนีย แต่พระจิตของพระเยซูเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เข้าไป เขาจึงเดินทางผ่านแคว้นมิเซีย ไปถึงเมืองโตรอัส เวลากลางคืนเปาโลเห็นนิมิต ชาวมาซิโดเนียคนหนึ่งยืนอยู่ อ้อนวอนเปาโลว่า “โปรดข้ามมาในแคว้นมาซิโดเนียและช่วยพวกเราด้วยเถิด” เมื่อเปาโลเห็นนิมิตนี้แล้ว พวกเราก็หาโอกาสที่จะไปยังแคว้นมาซิโดเนียทันที เพราะเชื่อแน่ว่าพระเจ้าทรงเรียกเราให้ไปประกาศข่าวดีแก่ชาวแคว้นนั้นด้วย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 15:18-21
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ถ้าโลกเกลียดชังท่านทั้งหลาย ก็จงรู้ไว้เถิดว่า โลกเกลียดชังเราก่อนแล้ว ถ้าท่านทั้งหลายเป็นฝ่ายโลก โลกก็คงรักสิ่งที่เป็นของตน แต่เพราะท่านมิได้เป็นฝ่ายโลก และเราเลือกท่านออกมาจากโลก โลกจึงเกลียดชังท่าน จงจำวาจาที่เราบอกแล้วเถิดว่า ผู้รับใช้ย่อมไม่เป็นใหญ่กว่านายของตน ถ้าเขาเบียดเบียนข่มเหงเรา เขาก็จะเบียดเบียนข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามวาจาของเรา เขาก็จะปฏิบัติตามวาจาของท่านด้วย แต่เขาจะทำทุกอย่างเช่นนี้แก่ท่าน ก็เพราะนามของเรา เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”

 

ข้อคิด

     การที่พระศาสนจักรในประเทศไทยน้อมรับวิถีทางของพระเยซูเจ้า เราพร้อมที่จะต้องเผชิญกับความขัดแย้งทางด้านฝ่ายจิตใจในการเป็นพยานถึงชีวิตของพระองค์ เพราะโลกได้ปฏิเสธและเบียดเบียนพระองค์ก่อน เรามิได้เป็นคนของโลก โลกจึงเกลียดชังเรา ในอดีตพระศาสนจักรไทยก็ถูกเบียดเบียน เพราะนามของพระเยซูเจ้าเช่นกัน แต่ถ้าเราปฏิเสธวิถีทางของพระองค์และดำเนินชีวิตตามกระแสของโลกวัตถุนิยม แสวงหาความสะดวกสบาย ชื่อเสียงและเกียรติยศ เราก็จะกลายเป็นคนของโลกนี้โดยสิ้นเชิง ที่สุดเราพระศาสนจักรในประเทศไทยก็ไม่สามารถสัมผัสพระวาจาและความสุขที่แท้จริงที่พระองค์ทรงนำมา

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown