มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2018 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยนาห์                               ยนา 3:1-5,10
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยนาห์อีกครั้งหนึ่งว่า “จงลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์นครใหญ่ และประกาศเรื่องที่เราจะบอกท่านแก่เมืองนั้น” โยนาห์ก็ลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์ตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า กรุงนีนะเวห์เป็นนครใหญ่มาก ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน โยนาห์เริ่มเดินเข้าไปในเมืองเป็นระยะทางเดินหนึ่งวัน ร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวัน กรุงนีนะเวห์จะถูกทำลาย” ชาวกรุงนีนะเวห์เชื่อฟังพระเจ้า และประกาศให้อดอาหาร สวมผ้ากระสอบทุกคน ตั้งแต่คนยิ่งใหญ่ที่สุดจนถึงคนต่ำต้อยที่สุด
พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความพยายามของเขา ที่จะกลับใจไม่ประพฤติชั่วอีกต่อไป พระเจ้าทรงพระเมตตาไม่ลงโทษตามที่ตรัสไว้ว่าจะทรงลงโทษเขา

 

เพลงสดุดี                                                                           สดด 25:4-5,6-7,8-9
     ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้ารู้จักทางของพระองค์
โปรดทรงสอนมรรคาของพระองค์แก่ข้าพเจ้า
โปรดทรงนำข้าพเจ้าด้วยความจริงของพระองค์และทรงสอนข้าพเจ้า
เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น
ข้าพเจ้าหวังในพระองค์ตลอดทั้งวัน
     ข) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงพระกรุณา
และความรักมั่นคงที่ทรงมีตลอดมา
ขออย่าทรงระลึกถึงบาปและความผิดที่ข้าพเจ้าทำไว้ในวัยเยาว์
โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าตามความรักมั่นคงของพระองค์
     ค) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าเพราะพระทัยดีของพระองค์
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงความดีและทรงเที่ยงธรรม
พระองค์จึงทรงสอนทางให้คนบาป
ทรงนำผู้ถ่อมตนให้เดินตามทางแห่งความยุติธรรม
ทรงสอนคนยากจนให้รู้ทางของพระองค์

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์      ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 7:29-31
     พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า เวลานั้นสั้นนัก ตั้งแต่นี้ไปผู้ที่มีภรรยาจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีภรรยา ผู้ที่ร้องไห้จงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่ร้องไห้ ผู้ที่มีความสุขจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีความสุข ผู้ที่ซื้อจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีสิ่งใดเป็นกรรมสิทธิ์ และผู้ที่ใช้ของของโลกนี้จงเป็นเสมือนผู้ที่มิได้ใช้ เพราะโลกดังที่เป็นอยู่กำลังจะผ่านไป

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                            มก 1:14-20
     หลังจากที่ยอห์นถูกจองจำ พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศเทศนาข่าวดีของพระเจ้า ตรัสว่า “เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด”
ขณะที่ทรงพระดำเนินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์ทอดพระเนตรเห็นซีโมนกับอันดรูว์น้องชายกำลังทอดแห เขาเป็นชาวประมง พระเยซูเจ้าตรัสสั่งว่า “จงตามเรามาเถิด เราจะทำให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์” ซีโมนกับอันดรูว์ก็ทิ้งแหไว้ แล้วตามพระองค์ไปทันที
     เมื่อทรงพระดำเนินไปอีกเล็กน้อย พระองค์ทอดพระเนตรเห็นยากอบบุตรของเศเบดี และยอห์นน้องชายกำลังซ่อมแหอยู่ในเรือ พระองค์ทรงเรียกเขา ทั้งสองคนก็ละทิ้งเศเบดีบิดาของตนไว้ในเรือกับลูกจ้าง แล้วตามพระองค์ไปทันที

 

ข้อคิด
     วันนี้ พระเจ้าเรียกเราให้สำนึกผิดและกลับใจ ดังที่ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเรียกชาวนินาเวห์ เพราะพระองค์มีความเมตตากรุณามากว่าความยุติธรรม
นับุญเปาโลบอกเราว่า อายุคนเราสั้นนัก โลกปัจจุบันกำลังผ่านไป ให้เรารู้จักปล่อยวางความสลวนและความห่วงใยในสิ่งของของโลกและให้ติดยึดกับพระเจ้า.

วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2018 น.วินเซนต์ สังฆานุกรและมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง                            2 ซมอ 5:1-7,10
     ชาวอิสราเอลทุกเผ่ามาเฝ้ากษัตริย์ดาวิดที่เมืองเฮโบรน ทูลว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นสายเลือดเดียวกันกับพระองค์ ในอดีตเมื่อกษัตริย์ซาอูลทรงปกครอง พระองค์ทรงนำชาวอิสราเอลออกรบ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่พระองค์ว่า ‘ท่านจะเลี้ยงดูอิสราเอลประชากรของเรา ท่านจะเป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล’” บรรดาผู้อาวุโสชาวอิสราเอลจึงมาเฝ้ากษัตริย์ที่เมืองเฮโบรน และกษัตริย์ดาวิดทรงทำพันธสัญญากับเขาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เมืองเฮโบรน เขาจึงเจิมดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล
ดาวิดมีพระชนมายุสามสิบพรรษาเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ และทรงเป็นกษัตริย์อยู่เป็นเวลาสี่สิบปี พระองค์ทรงปกครองชนเผ่ายูดาห์ ที่เมืองเฮโบรนเป็นเวลาเจ็ดปีหกเดือน ทรงปกครองชาวอิสราเอลทุกเผ่าและชนเผ่ายูดาห์ที่กรุงเยรูซาเล็มเป็นเวลาสามสิบสามปี
กษัตริย์ดาวิดเสด็จพร้อมกับบรรดาทหารเข้าโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม โจมตีชาวเยบุสที่อยู่ในแผ่นดินนั้น ชาวเยบุสกล่าวกับกษัตริย์ดาวิดว่า “ท่านไม่มีวันจะเข้ามาที่นี่ได้ คนตาบอดและคนพิการก็ยังจะกันท่านไว้ได้ คล้ายกับกล่าวว่า ดาวิดจะเข้าไปที่นั่นไม่ได้เลย แต่กษัตริย์ดาวิดทรงยึดป้อมศิโยน คือเมืองของดาวิดไว้ได้
     นับวันกษัตริย์ดาวิดยิ่งทรงมีพระอำนาจมากขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมจักรวาลสถิตกับพระองค์

สดด 89:20-21,23-26

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                             มก 3:22-30
     เวลานั้น บรรดาธรรมาจารย์ที่มาจากกรุงเยรูซาเล็มพูดว่า “เขามีปีศาจเบเอลเซบูลสิงอยู่” และ “ขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” พระองค์จึงทรงเรียกเขาเหล่านั้นเข้ามาพบ ตรัสเป็นอุปมาว่า “ซาตานจะขับซาตานได้อย่างไร ถ้าอาณาจักรหนึ่งแตกแยก อาณาจักรนั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าครอบครัวหนึ่งแตกแยก ครอบครัวนั้นก็ตั้งมั่นอยู่ต่อไปไม่ได้ ถ้าซาตานลุกขึ้นต่อสู้กันเองและแตกแยก มันก็อยู่ไม่ได้ ต้องถึงจุดจบ ไม่มีใครเข้าไปในบ้านของคนเข้มแข็งและปล้นเอาทรัพย์ของเขาได้ ถ้าไม่มัดคนเข้มแข็งนั้นไว้ก่อน เมื่อนั้นแหละจึงจะเข้าปล้นบ้านได้
     เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า มนุษย์จะรับการอภัยบาปทุกประการรวมทั้งคำดูหมิ่นพระเจ้าที่ได้พูดออกไป แต่ใครที่พูดดูหมิ่นพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย เขามีความผิดตลอดนิรันดร” พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้เพราะมีผู้พูดว่า “คนนี้มีปีศาจสิงอยู่”

 

ข้อคิด
     อาณาจักรใดแตกแยกกันย่อมเป็นเหยื่อของศัตรู เมื่ออาณาจักรอิสราเอลแตกแยกกันก็อ่อนแอและเป็นเป้าของชาติที่เข้มแข็ง เมื่อกษัตริย์ดาวิดตีกรุงเยรูซาเล็มได้แล้ว ก็รวมอิสราเอลเป็นหนึ่งเดียวและมีความแข็งแกร่ง. ชาวเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุข
ในพระวรสารบรรดาธรรมาจารย์หมดหนทางต่อสู้กับพระเยซูเจ้าจึงตั้งข้อกล่าวหาหนักมากคือ หาว่าพระองค์เป็นหัวหน้าผี หรือพระองค์มีผีสิงอยู่ พระเยซูเจ้าตรัสว่า ผู้ที่พูดดูหมิ่นพระจิตเจ้า เขาจะไม่ได้รับการอภัย.

วันพุธที่ 24 มกราคม 2018 ระลึกถึง น.ฟรังซิส เดอซาลส์ พระสังฆราชและนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง                              2 ซมอ 7:4-17
     ในคืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่นาธันว่า “จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ท่านจะไม่เป็นผู้สร้างวิหารให้เราอยู่ ตั้งแต่เรานำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์จนกระทั่งถึงวันนี้ เราไม่เคยอยู่ในวิหาร เรามีกระโจมเป็นที่อยู่ เดินทางกับเขาไปตามที่ต่างๆ เมื่อเราเดินทางไปตามที่ต่างๆ กับชาวอิสราเอล เราไม่เคยถามผู้วินิจฉัยผู้ใด ซึ่งเราแต่งตั้งให้ดูแลอิสราเอลประชากรของเราว่า ทำไมท่านทั้งหลายไม่สร้างวิหารไม้สนสีดาห์ให้เราอยู่’ บัดนี้ ท่านจงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัสดังนี้ เราให้ท่านเลิกเลี้ยงแกะในทุ่งหญ้ามาเป็นผู้นำอิสราเอลประชากรของเรา เราอยู่กับท่านไม่ว่าท่านไปที่ใด เรากำจัดศัตรูทั้งปวงที่ท่านเผชิญหน้า เราจะทำให้ท่านมีชื่อเสียงเหมือนกับผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน เราจะเลือกที่แห่งหนึ่งให้อิสราเอลประชากรของเราตั้งหลักแหล่ง เขาจะอยู่ที่นั่นโดยไม่มีใครรบกวน จะไม่มีคนชั่วคอยกดขี่ข่มเหงเขาเหมือนในอดีต เมื่อเราเคยแต่งตั้งผู้วินิจฉัยให้ปกครองอิสราเอลประชากรของเรา เราจะให้ท่านได้พักจากศัตรูทั้งหลายของท่าน เรา องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศแก่ท่านว่า เราจะสร้างราชวงศ์ให้ท่าน เมื่อท่านสิ้นชีวิตในวัยชรา และถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษแล้ว เราจะตั้งเชื้อสายคนหนึ่งของท่าน ซึ่งเป็นบุตรของท่าน ให้เป็นกษัตริย์ต่อจากท่าน เราจะพิทักษ์รักษาอาณาจักรของเขาให้มั่นคง เขาจะเป็นผู้สร้างวิหารให้แก่นามของเรา เราจะดูแลให้ลูกหลานของเขาเป็นกษัตริย์ครองราชย์ตลอดไป เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ถ้าเขาทำผิด เราจะลงโทษเขาเหมือนบิดาใช้ไม้เรียวตีบุตร แต่เราจะไม่เรียกคืนความโปรดปรานของเราจากเขาเหมือนที่เราเคยทำกับซาอูล ซึ่งเราได้ปลดออกจากราชบัลลังก์ ให้ท่านขึ้นเป็นกษัตริย์แทน ราชวงศ์และอาณาจักรของท่านจะมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราตลอดไป อำนาจปกครองของท่านจะตั้งมั่นอยู่ตลอดไป’”
นาธันทูลกษัตริย์ดาวิดให้ทรงทราบทุกสิ่งตามที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่เขา

สดด 89:3-4,28-29,30-32,33-35

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                            มก 4:1-20
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสั่งสอนที่ริมทะเลสาบอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนจำนวนมากมาชุมนุมห้อมล้อมพระองค์จนต้องเสด็จลงไปประทับบนเรือในทะเลสาบ ส่วนประชาชนทั้งหมดอยู่บนฝั่ง พระองค์ทรงสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา ในการสอนนั้น พระองค์ตรัสว่า “จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินอยู่เล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกแดดเผา และเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมมันไว้ จึงไม่เกิดผล บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงงอกขึ้น เติบโต และเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด”

     เมื่อประชาชนจากไปแล้ว อัครสาวกสิบสองคนกับผู้ที่อยู่รอบๆ พระองค์ ทูลถามเรื่องอุปมา พระองค์ตรัสตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่สำหรับคนที่อยู่ภายนอก ทุกสิ่งแสดงออกเป็นเพียงอุปมา ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
เพื่อเขาจะมองแล้วมองเล่า แต่ไม่เห็น
ฟังแล้วฟังเล่า แต่ไม่เข้าใจ
มิฉะนั้นแล้วเขาคงได้กลับใจ และพระเจ้าคงจะทรงให้อภัยเขา”
พระองค์ตรัสว่า “ท่านไม่เข้าใจอุปมานี้ แล้วจะเข้าใจอุปมาอื่นๆ ได้อย่างไร ผู้หว่านพืชนั้นหว่านพระวาจา เมล็ดที่ตกริมทางหมายถึงบุคคลซึ่งรับพระวาจาที่หว่าน เมื่อเขาได้ฟังพระวาจา ซาตานก็มาช่วงชิงพระวาจาที่หว่านในตัวเขาไป เช่นเดียวกัน เมล็ดที่ตกบนพื้นหินหมายถึงบุคคลที่ได้ฟังพระวาจา และมีความยินดีรับไว้ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกข่มเหงเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่นๆ เข้ามาปกคลุมพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดพืชที่ตกในที่ดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแล้วรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า และร้อยเท่า”

 

ข้อคิด
     ใน 2ซมอ 7.4-7 พระเจ้าไม่สนใจในการสร้างวิหารมากเท่ากับการสร้างจิตใจของมนุษย์ พระองค์จึงเดินไปกับเขาในที่ต่างๆ พระองค์ตรัสว่า 1.“เราอยู่กับท่านในทุกแห่งที่ท่านไป 2. เราจะกำจัดศัตรูทั้งปวงของท่าน 3. เราจะทำให้ท่านมีชื่อเสียง 4. เราจะเลือกที่หนึ่งให้ชาวอิสราเอลตั้งหลักแหล่ง 5. เราจะตั้งผู้วินิจฉัยปกครองท่าน 5 เราจะตั้งเชื้อสายของท่านเป็นกษัตริย์ต่อจากท่าน ราชวงศ์และอาณาจักรของท่านจะมั่นคงตลอดไป.
พระวาจาของพระเยซูเจ้าเป็นเมล็ดพืชที่ผู้ใดอ่านสม่ำเสมอด้วยความเพียรทนก็จะเกิดผลเป็นร้อยเท่า หกสิบเท่า สามสิบเท่า

วันอังคารที่ 23 มกราคม 2018 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง                            2 ซมอ 6:12ข-15,17-19
     ในครั้งนั้น กษัตริย์ดาวิดจึงเสด็จไปนำหีบของพระเจ้าขึ้นจากบ้านของโอเบดเอโดม มาที่เมืองของดาวิดด้วยความยินดี เมื่อคนหามหีบขององค์พระผู้เป็นเจ้าเดินไปหกก้าว กษัตริย์ดาวิดก็ทรงถวายโคเพศผู้และแกะอ้วนพีอย่างละตัวเป็นเครื่องบูชา กษัตริย์ดาวิดทรงคาดเอโฟดผ้าป่านเพียงผืนเดียว เต้นรำสุดกำลังเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์ดาวิดกับชาวอิสราเอลทั้งหลายนำหีบขององค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นมา พร้อมกับโห่ร้องด้วยความยินดี และเป่าแตร
     เมื่อนำหีบขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้ามาประดิษฐานไว้ในที่กำหนดกลางกระโจมซึ่งกษัตริย์ดาวิดทรงตั้งขึ้นไว้ พระองค์ทรงถวายเครื่องบูชาและศานติบูชาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อทรงถวายเครื่องเผาบูชาและศานติบูชาแล้ว กษัตริย์ดาวิดก็ทรงอวยพรประชาชนในพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล และประทานอาหารแก่ประชาชนชาวอิสราเอลทุกคน ทั้งชายและหญิง คือขนมปังคนละก้อน เนื้อย่างคนละชิ้น และผลองุ่นแห้งอัดคนละก้อน หลังจากนั้น ประชาชนต่างกลับบ้าน

สดด 24:7-10

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                             มก 3:31-35
     เวลานั้น พระมารดาและพระประยูรญาติของพระองค์มาถึง ยืนรออยู่ข้างนอก ส่งคนเข้าไปทูลพระองค์ ประชาชนกำลังนั่งล้อมพระองค์อยู่ เขาจึงทูลพระองค์ว่า “มารดาและพี่น้องชายหญิงของท่านกำลังตามหาท่าน คอยอยู่ข้างนอก” พระองค์ตรัสถามว่า “ใครเป็นมารดาและพี่น้องของเรา” แล้วพระองค์ทอดพระเนตรผู้ที่นั่งเป็นวงล้อมอยู่ ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา ผู้ใดทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา”

 

ข้อคิด
     การพัฒนาบ้านเมืองก็เหมือนการพัฒนาความเชื่อ ดาวิดเมื่อยึดกรุงเยรูซาเล็มได้แล้วก็ทำให้กรุงนี้เป็นศูนย์กลางทางศาสนา ได้มีการอัญเชิญหีบพระบัญญัติมาไว้ที่กรุงนี้ ผลตามมาคือรัฐต่างๆยอมรับว่าอิสราเอลเป็นประเทศหนึ่งเดียว
ในนพระคัมภีร์โดยท่านมารโก พระเยซูเจ้าประกาศเป็นทางการว่า สมาชิกครอบครัวของพระองค์ประกอบด้วยทุกคนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า. เราทุกคนมีสิทธิ์ใช้นามสุกลเดียวกันคือ ณ พระคริสตเจ้า.

วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2018 ฉลองการกลับใจของนักบุญเปาโล อัครสาวก

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                  กจ 22:3-16
     เวลานั้น เปาโลจึงกล่าวกับประชาชนว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิว เกิดที่เมืองทาร์ซัสในแคว้นซีลีเซีย แต่เติบโตในเมืองนี้ กามาลิเอลเป็นอาจารย์สอนข้าพเจ้าให้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด ข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยความกระตือรือร้นอยู่เสมอเช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติอยู่ในวันนี้ ผู้ที่ดำเนินตามวิถีทางนี้ เคยถูกข้าพเจ้าเบียดเบียนถึงตาย ข้าพเจ้าจับกุมทั้งชายและหญิงจองจำไว้ในคุก ดังที่มหาสมณะและสภาผู้อาวุโสทุกคนเป็นพยานยืนยันได้ เพราะเขามอบจดหมายให้ข้าพเจ้านำไปให้แก่บรรดาพี่น้องชาวยิวที่เมืองดามัสกัส ข้าพเจ้าจึงออกเดินทางเพื่อไปจับกุมบรรดาคริสตชนซึ่งอยู่ที่นั่น นำกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อลงโทษ
     เวลาประมาณเที่ยงวัน ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินทางใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ทันใดนั้นมีแสงสว่างจ้าจากท้องฟ้าล้อมรอบตัวข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าล้มลงที่พื้นดินและได้ยินเสียงพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล เซาโล เจ้าเบียดเบียนเราทำไม’
ข้าพเจ้าจึงถามว่า ‘พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร’
     พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธ ซึ่งเจ้ากำลังเบียดเบียนอยู่’ คนที่อยู่กับข้าพเจ้าเห็นแสงสว่าง แต่ไม่ได้ยินเสียงคนที่พูดกับข้าพเจ้า
แล้วข้าพเจ้าถามอีกว่า ‘พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไร’
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงลุกขึ้น เข้าไปในเมืองดามัสกัส ที่นั่นจะมีคนบอกทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เจ้าทำ’ แสงนั้นสว่างจ้าจนข้าพเจ้ามองไม่เห็นสิ่งใด ผู้ร่วมเดินทางกับข้าพเจ้าจึงจูงมือข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองดามัสกัส
ชายคนหนึ่งชื่ออานาเนีย เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ เป็นที่เคารพนับถือของชาวยิวทุกคนซึ่งอยู่ที่นั่น เขามาพบข้าพเจ้า ยืนใกล้ๆ พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล น้องเอ๋ย จงกลับมองเห็นเถิด’ และในเวลานั้นเองข้าพเจ้าก็มองเห็นเขา
อานาเนียบอกข้าพเจ้าว่า ‘พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทรงเลือกสรรท่านให้รู้พระประสงค์ของพระองค์ ให้เห็นพระคริสตเจ้าผู้ทรงชอบธรรมและได้ยินพระสุรเสียงจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพราะท่านจะเป็นพยานของพระองค์ยืนยันสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยินแก่มนุษย์ทุกคน บัดนี้ท่านรออะไรอยู่อีก จงลุกขึ้น รับศีลล้างบาปและเรียกขานพระนามพระองค์ชำระล้างบาปของท่านเถิด’”

สดด 117:1-2

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                              มก 16:15-18
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์กับอัครสาวกสิบเอ็ดคน ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ ผู้ที่เชื่อจะทำอัศจรรย์เหล่านี้ได้ คือจะขับไล่ปีศาจในนามของเรา จะพูดภาษาใหม่ๆ ได้ จะจับงูได้ และถ้าดื่มยาพิษก็จะไม่ได้รับอันตราย เขาจะปกมือเหนือคนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย”

 

ข้อคิด
     อัศจรรย์ที่นักบุญเปาโลได้รับคือได้ยินเสียงพระเยซูเจ้าที่ต่อว่าท่านที่ไปเบียดเบียนคริสตชน ที่ถือว่าเป็นการเบียดเบียนพระองค์ ทำให้เปาโลกลับใจอย่างสิ้นเชิง ท่านมอบกายถวายใจแด่พระเจ้า 100 เปอร์เซ็นต์ ทำการประกาศพระวรสารอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ไม่สะทกสะท้านเมื่อพบปัญหา ท่านทำได้เช่นนี้ เพราะท่านเชื่อว่าพระเยซูเจ้าเพิ่งมาเมื่อวานนี้ รับการทรมานและกลับคืนชีพวันนี้ และจะเสด็จมารับท่านในวันพรุ่งนี้. ก่อนตายท่านยังบอกเราว่า ท่านได้วิ่งมาจนถึงเส้นชัยแล้วและรอรับมงกุฎที่พระเยซูเจ้าจะประทานให้ท่าน.

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown