มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2018 สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง                          1 ซมอ 4:1-11
     ชาวอิสราเอลทุกคนจึงฟังถ้อยคำของซามูเอล เนื่องจากเอลีชรามากและบุตรของเขายังดื้อรั้นอยู่ในความประพฤติชั่วต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
     ครั้งนั้น ชาวอิสราเอลออกไปสู้รบกับชาวฟีลิสเตีย ตั้งค่ายอยู่ที่เอเบนเอเซอร์ ส่วนชาวฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่อาเฟก ชาวฟีลิสเตียตั้งแนวรบเข้าต่อสู้กับชาวอิสราเอล และสู้รบกันอย่างหนัก ชาวอิสราเอลพ่ายแพ้ชาวฟีลิสเตียซึ่งฆ่าชาวอิสราเอลประมาณสี่พันคนในสนามรบ เมื่อกำลังพลอิสราเอลกลับมาในค่าย บรรดาผู้อาวุโสถามว่า “ทำไมวันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงปล่อยให้เราพ่ายแพ้ชาวฟีลิสเตีย เราจงไปนำหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลมาจากเมืองชิโลห์เถิด เพื่อพระองค์จะเสด็จไปกับเรา และทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากศัตรู” ประชากรจึงส่งคนไปที่เมืองชิโลห์ เพื่อนำหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล ผู้ประทับอยู่เหนือบัลลังก์ระหว่างเครูบ โฮฟนี และฟีเนหัส บุตรทั้งสองคนของเอลีก็มาพร้อมกับหีบพันธสัญญา เมื่อหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่าย ชาวอิสราเอลทุกคนโห่ร้องเสียงดังสนั่น จนแผ่นดินสั่นสะเทือน เมื่อชาวฟีลิสเตียได้ยินเสียงโห่ร้อง ก็ถามกันว่า “เสียงโห่ร้องดังเช่นนี้ในค่ายของชาวฮีบรูหมายความว่าอะไร” เมื่อชาวฟีลิสเตียรู้ว่า หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่ายชาวฮีบรู เขาก็มีความกลัว พูดกันว่า “พระเจ้าเสด็จมาในค่ายของเขาแล้ว เราแพ้แน่ๆ ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นก่อนเลย เราแพ้แน่ๆ ใครจะช่วยเราให้รอดพ้นจากอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงอานุภาพนี้ได้ พระเจ้าองค์นี้แหละทรงส่งภัยพิบัติมาทำลายชาวอียิปต์ในถิ่นทุรกันดาร ชาวฟีลิสเตียทั้งหลาย จงกล้าหาญ และเป็นลูกผู้ชายเถิด มิฉะนั้น ท่านจะต้องเป็นทาสของชาวฮีบรู เหมือนที่เขาเคยเป็นทาสของท่าน จงสู้รบอย่างลูกผู้ชายเถิด” ชาวฟีลิสเตียเข้าสู้รบ ชาวอิสราเอลก็พ่ายแพ้ ต่างหนีกลับบ้านของตน เป็นความปราชัยอย่างใหญ่หลวง ชาวอิสราเอลถูกฆ่าตายถึงสามหมื่นคน หีบพันธสัญญาของพระเจ้าถูกยึดไป โฮฟนีและฟีเนหัส บุตรทั้งสองคนของเอลีก็ถูกฆ่าด้วย

สดด 44:9-10,13-14,23-26

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 1:40-45
     เวลานั้น ผู้เป็นโรคเรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้า คุกเข่าอ้อนวอนว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หาย เขากลับเป็นปกติ พระเยซูเจ้าทรงให้เขาไปทันที ทรงกำชับอย่างแข็งขันว่า “ระวัง อย่าบอกอะไรให้ใครรู้เลย แต่จงไปแสดงตนแก่สมณะ และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำหนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว” แต่เมื่อชายผู้นั้นจากไป เขาก็ป่าวประกาศกระจายข่าวไปทั่ว จนพระองค์ไม่อาจเสด็จเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผยอีกต่อไป พระองค์จึงประทับอยู่นอกเมืองในที่เปลี่ยว แม้กระนั้น ประชาชนจากทุกทิศก็ยังมาเฝ้าพระองค์

 

ข้อคิด
     ชาวอิสราเอลคิดว่าตราบใดที่พวกเขามีหีบพระบัญญัติ พวกเขาก็มีพระเจ้าอยู่กับพวกเขา พวกเขาไม่กลัวใคร ทว่า แม้พวกเขาจะมีหีบพระบัญญัติอยู่ท่ามกลางพวกเขา แต่จิตใจของพวกเขาอยู่ห่างไกลจากพระเจ้า ไม่ยอมทำตามที่พระองค์ทรงสั่ง เมื่อพฤติกรรมของพวกเขาไม่อยู่กับพระเจ้า แม้จะมีหีบพระบัญญัติอยู่ ก็หาใช่ว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่นไม่ เพราะที่ที่พระเจ้าประทับอยู่แท้จริงคือจิตใจของมนุษย์ เป็นจิตใจที่เชื่อฟังพระองค์ จิตใจที่เปิดกว้างให้การต้อนรับพระองค์ จิตใจไว้วางใจในพระองค์ ถึงขนาดปล่อยให้พระองค์ทรงทำกับชีวิตตนตามที่พระองค์ทรงเห็นดี ดังท่าทีของคนโรคเรื้อนที่พระพบพระเยซูเจ้า

วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2018 ระลึกถึง บุญราศีนิโคลาส บุญเกิด กฤษบำรุง พระสงฆ์และมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือบุตรสิรา                                           บสร 51:1-8
     ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระราชา ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระนามพระองค์ เพราะพระองค์ทรงปกป้องคุ้มครองและช่วยเหลือข้าพเจ้า ทรงช่วยปลดปล่อยร่างกายของข้าพเจ้าให้พ้นความพินาศ ให้พ้นจากบ่วงแร้วของผู้ใส่ความกล่าวหาข้าพเจ้า และจากริมฝีปากของผู้กล่าวเท็จ ต่อหน้าผู้ที่ห้อมล้อมข้าพเจ้า พระองค์ก็ทรงช่วยเหลือและปลดปล่อยข้าพเจ้า ตามพระเมตตายิ่งใหญ่และเพราะเห็นแก่พระนามพระองค์ พระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากผู้ที่พยายามจะกัดกินข้าพเจ้า ให้พ้นจากเงื้อมมือของผู้ที่แสวงหาชีวิตของข้าพเจ้า ให้พ้นจากความทุกข์ยากมากมายที่ข้าพเจ้าต้องเผชิญ ให้พ้นจากเปลวเพลิงที่ห้อมล้อมข้าพเจ้าไว้จนหายใจไม่ออก จากกลางกองไฟที่ข้าพเจ้ามิได้จุดขึ้น ให้พ้นจากขุมลึกของแดนมรณะ จากปากที่โสมมและจากคำพูดเท็จ กษัตริย์ทรงได้ยินคำกล่าวร้ายจากปากของคนอธรรม วิญญาณของข้าพเจ้าอยู่ใกล้ความตาย ชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ที่ประตูแดนมรณะ บรรดาศัตรูห้อมล้อมข้าพเจ้าทุกด้าน ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าแสวงหาผู้ที่จะช่วยพยุงไว้ แต่ก็ไม่พบ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขณะนั้นข้าพเจ้าจึงระลึกถึงพระเมตตาของพระองค์ ระลึกถึงพระราชกิจที่ทรงกระทำเสมอมา เพราะพระองค์ทรงช่วยเหลือบรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยความพากเพียร ทรงช่วยเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรู

สดด 34:1-8

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโทธี ฉบับที่สอง      2 ทธ 2:1-13
     ลูกรัก ท่านจงรับพละกำลังจากพระหรรษทานซึ่งอยู่ในพระคริสตเยซู จงถ่ายทอดสิ่งที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้าโดยมีหลายคนเป็นพยานแก่คนที่น่าเชื่อถือซึ่งจะสอนคนอื่นต่อไปได้
     จงร่วมทนทุกข์กับผู้อื่น เหมือนทหารที่ดีของพระคริสตเยซู ทหารทุกคนจะไม่เข้าไปเกี่ยวกับกิจการของพลเรือน เขามุ่งทำให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ นักกีฬาก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครได้ชัยชนะนอกจากจะได้แข่งขันตามกติกา ชาวนาที่ตรากตรำทำงานควรเป็นผู้ที่จะได้รับผลก่อนผู้อื่น จงพิจารณาสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดนี้ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานให้ท่านเข้าใจทุกๆ เรื่อง
จงระลึกถึง “พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด” ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศ เพราะข่าวดีนี้เอง ข้าพเจ้าจึงต้องทนทุกข์จนต้องถูกจองจำเหมือนเป็นอาชญากร แต่พระวาจาของพระเจ้าจะถูกจองจำไม่ได้ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงทนทุกสิ่งเพื่อเห็นแก่ผู้ที่ได้รับเลือกสรร เพื่อพวกเขาจะได้รับความรอดพ้นซึ่งอยู่ในพระคริสตเยซู พร้อมกับชีวิตในสิริรุ่งโรจน์ตลอดนิรันดรด้วย
     ต่อไปนี้คือถ้อยคำที่เชื่อถือได้ ถ้าเราตายพร้อมกับพระองค์ เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ ถ้าเราอดทนมั่นคง เราย่อมจะครองราชย์พร้อมกับพระองค์ ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ย่อมจะทรงปฏิเสธเรา ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ พระองค์ก็ยังทรงซื่อสัตย์ต่อไป เพราะจะทรงปฏิเสธพระองค์ไม่ได้

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                  ยน 15:9-17
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระบิดาของเราทรงรักเราอย่างไร เราก็รักท่านทั้งหลายอย่างนั้น จงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิด ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา ท่านก็จะดำรงอยู่ในความรักของเรา เหมือนกับที่เราปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระบิดาของเรา และดำรงอยู่ในความรักของพระองค์ เราบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์ นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านทำตามที่เราสั่งท่าน เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป เพราะผู้รับใช้ไม่รู้ว่านายของตนทำอะไร เราเรียกท่านเป็นมิตรสหาย เพราะเราแจ้งให้ท่านรู้ทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดาของเรา มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ท่านไปทำจนเกิดผล และผลของท่านจะคงอยู่ เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน เราสั่งท่านทั้งหลายดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงรักกัน”

 

ข้อคิด
      พระเจ้าทรงเป็นความรัก ผู้ที่ดำรงอยู่ในความรักก็ดำรงอยู่ในพระองค์ ผู้ที่ดำรงอยู่ในพระองค์ก็มีพลังของพระองค์ในตน พลังแห่งความรัก หนังสือบุตรสิราสรรเสริญพระเจ้าสำหรับพลังและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่ทรงพิทักษ์รักษาคุ้มครองให้ปลอดภัยจากแผนการคนชั่วร้าย ในทำนองเดียวกันนักบุญเปาโลยืนยันว่าการดำเนินชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าคือที่มาของพลังแห่งความสัตย์ซื่อในการเป็นศิษย์ของพระองค์ ศิษย์ของพระองค์คือผู้ที่รักเหมือนพระองค์ทรงรัก รักได้แม้กระทั่งเสียสละชีวิตตามเยี่ยงอย่างของพระองค์

วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2018 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง                         1 ซมอ 3:3-10,19
     ขณะนั้น ดวงประทีปในสักการสถานของพระเจ้ายังไม่ดับ ซามูเอลกำลังนอนอยู่ในสักการสถานขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่มีหีบพันธสัญญาของพระเจ้าประดิษฐานอยู่ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกซามูเอล เขาทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” แล้ววิ่งไปหาเอลีพูดว่า “ท่านเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” แต่เอลีตอบว่า “พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับไปนอนเถอะ” ซามูเอลก็กลับไปนอน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกอีกว่า “ซามูเอล” ซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลีพูดว่า “ท่านเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” เอลีตอบว่า “ลูกเอ๋ย พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับไปนอนเถอะ” ซามูเอลยังไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกเขา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไม่ทรงเปิดเผยพระวาจาแก่เขามาก่อน8องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกซามูเอลอีกเป็นครั้งที่สาม เขาก็ลุกขึ้นไปหาเอลีพูดว่า “ท่านเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” เอลีจึงเข้าใจว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกเด็กนั้น เอลีบอกซามูเอลว่า “กลับไปนอนเถอะ ถ้ามีเสียงเรียกลูกอีกก็จงตอบว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำลังฟังอยู่’” ซามูเอลจึงกลับไปนอนในที่ของตน
องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาประทับที่นั่น ตรัสเรียกเช่นครั้งก่อนว่า “ซามูเอล ซามูเอล” ซามูเอลทูลตอบว่า “ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำลังฟังอยู่”
     ซามูเอลเจริญวัยขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และทรงทำให้คำพูดทุกคำของซามูเอลเป็นจริง

 

เพลงสดุดี                                                                     สดด 40:1 และ 3,6-7,8,9
     ก) ข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความหวัง
แล้วพระองค์ก็ทรงก้มลงมาหาข้าพเจ้า
และทรงฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงใส่เพลงบทใหม่ไว้ในปากข้าพเจ้า
เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา
หลายคนจะแลเห็นและมีความยำเกรง
จะวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า
     ข) พระองค์ไม่ทรงประสงค์เครื่องบูชาหรือของถวายใดๆ
แต่ประทานหูให้ข้าพเจ้าฟัง
พระองค์มิได้ทรงเรียกร้องเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องบูชาชดเชยบาป
ข้าพเจ้าจึงทูลว่า "ข้าพเจ้าอยู่นี่ กำลังมาแล้ว
ในม้วนหนังสือมีเขียนไว้สำหรับข้าพเจ้า
ให้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์
     ค) ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าปรารถนาเช่นนั้น
ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ลึกในหัวใจของข้าพเจ้า
     ง) ข้าพเจ้าประกาศความเที่ยงธรรมของพระองค์ในที่ประชุมใหญ่
ถูกแล้ว ข้าพเจ้ามิได้ปิดปากเลย
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบอยู่แล้ว

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง      1 คร 6:13-15,17-20
     พี่น้อง ท่านพูดอีกว่า “อาหารมีไว้สำหรับท้อง ท้องมีไว้สำหรับอาหาร” แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า “พระเจ้าจะทรงทำลายทั้งสองอย่าง” ร่างกายมิได้มีไว้สำหรับการล่วงประเวณี แต่มีไว้สำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และองค์พระผู้เป็นเจ้ามีไว้สำหรับร่างกาย พระเจ้าผู้ทรงปลุกองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ จะทรงปลุกเราให้กลับคืนชีพ ด้วยพระอานุภาพของพระองค์เช่นเดียวกัน ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นส่วนประกอบพระวรกายของพระคริสตเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะเอาส่วนประกอบพระวรกายของพระคริสตเจ้านี้ไปร่วมกับร่างกายของหญิงโสเภณีหรือ เป็นไปไม่ได้ แต่ผู้ที่สนิทสัมพันธ์กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นจิตใจเดียวกันกับพระองค์
     จงหลีกหนีการล่วงประเวณี บาปทั้งหลายนั้นมนุษย์ทำนอกร่างกาย แต่ผู้ที่ล่วงประเวณีทำบาปต่อร่างกายของตนเอง ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าผู้สถิตในท่าน ท่านได้รับพระจิตนี้จากพระเจ้า ท่านจึงไม่เป็นเจ้าของของตนเอง พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาแพง ดังนั้นจงใช้ร่างกายของท่านถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเถิด

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 1:35-42
     วันรุ่งขึ้น ยอห์นกำลังยืนอยู่ที่นั่นกับศิษย์สองคน เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไป จึงพูดว่า “นี่คือลูกแกะของพระเจ้า” เมื่อศิษย์ทั้งสองคนได้ยินยอห์นพูดดังนี้จึงติดตามพระเยซูเจ้าไป พระเยซูเจ้าทรงหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรเห็นเขากำลังติดตามพระองค์ จึงตรัสถามว่า “ท่านทั้งหลายแสวงหาอะไร” เขาทูลตอบว่า “รับบี” แปลว่า พระอาจารย์ “พระองค์ทรงพำนักอยู่ที่ไหน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มาดูซิ” เขาจึงไปดู เห็นที่ประทับของพระองค์ และพักอยู่กับพระองค์ในวันนั้น ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายสี่โมง
     อันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรเป็นคนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินคำพูดของยอห์น และตามพระเยซูเจ้าไป อันดรูว์พบซีโมนพี่ชายเป็นคนแรก จึงพูดว่า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว” พระเมสสิยาห์ หรือพระคริสตเจ้า แปลว่า ผู้รับเจิม เขาพาพี่ชายไปเฝ้าพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขา จึงตรัสว่า “ท่านคือซีโมนบุตรของยอห์น ท่านจะมีชื่อว่า ‘เคฟาส’ แปลว่า ‘เปโตร’ หรือ ‘ศิลา’”

 

ข้อคิด
     ตั้งแต่แรก พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีความเหมือนกับพระองค์ พระองค์คือความรัก ความเหมือนของพระองค์ในมนุษย์แต่ละคนคือความรัก แล้วนั้นพระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อตอกย้ำศักดิ์ศรีมนุษย์ มนุษย์ไม่เพียงมีความเหมือนพระเจ้าเท่านั้น แต่มีศักดิ์ศรีแห่งการเป็นลูกของพระเจ้า ทรงยกความเหมือนให้เป็นความสัมพันธ์พ่อ-ลูก โดยทรงประทานพระจิตของพระองค์ให้แก่แต่ละคน มนุษย์มีจิตใจเหมือนพระองค์ผ่านทางพระจิต นักบุญเปาโลเตือนทุกคนให้สำนึกถึงความจริงนี้และรักษาร่างกายให้ศักดิ์สิทธิ์สมกับการประทับอยู่ของพระจิต เพื่อการนี้ ต้องหมั่นฟังเสียงเรียกของพระองค์เหมือนซามูเอลและร่วมดำเนินชีวิตกับพระเยซูเจ้า เหมือนศิษย์ที่ติดตามไปที่พระองค์ทรงพัก

วันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2018 น.ฮีลารี พระสังฆราชและนักปราชญ์

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง                          1 ซมอ 9:1-4,17-19,และ 10:1
     ชายผู้หนึ่งจากเผ่าเบนยามินชื่อ คีช เป็นคนร่ำรวย เขาเป็นบุตรของอาบีเอล บุตรของเศโรห์ บุตรของเบโครัท บุตรของอาฟียาห์ บุตรของคนเผ่าเบนยามิน คีชมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ ซาอูล เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี มีรูปร่างงามสง่ากว่าชาวอิสราเอลทั้งหลาย สูงกว่าคนอื่นราวหนึ่งศอก
     วันหนึ่ง ฝูงลาของคีช บิดาของซาอูลพลัดหลงไป คีชจึงกล่าวแก่ซาอูล บุตรของตนว่า “จงนำผู้รับใช้ไปด้วยคนหนึ่ง ออกตามหาลาเหล่านั้นเถิด” ทั้งสองคนจึงข้ามเขตภูเขาเอฟราอิม ผ่านไปถึงแผ่นดินชาลิชาแต่ก็หาไม่พบ เขาจึงไปหาที่แผ่นดินชาอาลิม แต่ลาก็ไม่อยู่ที่นั่น เขาข้ามเขตแดนเบนยามิน แต่ก็ยังไม่พบอีก
     เมื่อซามูเอลเห็นซาอูล องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ตรัสกับเขาว่า “ชายผู้นี้คือผู้ที่เราบอกท่านว่า ‘เขาจะปกครองประชากรของเรา’” ซาอูลเข้าไปพบซามูเอลที่ประตูเมือง ถามว่า “โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า บ้านของผู้ทำนายอยู่ที่ไหน” ซามูเอลตอบซาอูลว่า “ข้าพเจ้าคือผู้ทำนาย จงเดินนำหน้าข้าพเจ้าขึ้นไปยังสักการสถานบนภูเขา ท่านทั้งสองคนจะร่วมกินอาหารกับข้าพเจ้าในวันนี้ พรุ่งนี้เช้า ข้าพเจ้าจะตอบคำถามทุกอย่างของท่าน แล้วจะให้ท่านไป
     ซามูเอลเอาขวดน้ำมันมะกอกเทศขึ้นมา เทน้ำมันลงบนศีรษะของซาอูล จูบเขาแล้วพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมท่านให้เป็นผู้นำชาวอิสราเอลประชากรของพระองค์ ท่านจะปกครองประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ช่วยเขาให้พ้นจากมือของศัตรูที่อยู่โดยรอบ นี่จะเป็นเครื่องหมายพิสูจน์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมท่านให้เป็นผู้นำประชากรอิสราเอลซึ่งเป็นส่วนมรดกของพระองค์

สดด 21:1-2,3-4,5-6

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                              มก 2:13-17
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปริมฝั่งทะเลสาบอีก ประชาชนต่างมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงทรงสั่งสอนเขา ขณะที่ทรงพระดำเนินไป พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อเลวี บุตรของอัลเฟอัสกำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
     ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของเลวี คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์มา บรรดาธรรมาจารย์ที่เป็นฟาริสีเห็นพระองค์เสวยร่วมกับคนบาปและคนเก็บภาษี จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านกินอาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาป” พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป”

 

ข้อคิด
     พระเจ้าทรงปกครองดูแลประชากรของพระองค์ผ่านทางผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรค์ ทรงเจิม และทรงแต่งตั้งให้ช่วยดูแลพวกเขาอย่างเป็นรูปธรรม ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรค์จึงเป็นดังตัวแทนของพระองค์ จนกระทั่งเมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ "ผู้รับเจิม" ของพระเจ้าอย่างแท้จริง ทรงทำหน้าที่ดูแลมนุษย์ ไม่ใช่อย่างคนอื่นๆที่ผ่านมาในฐานะกษัตริย์และผู้ปกครอง แต่ทรงดูแลมนุษย์ด้วยรักและรับใช้...ทุกคน ไม่เว้นใคร ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด เพราะพระองค์ทรงถือว่าทุกคนมีอย่างหนึ่งเหมือนกันหมด นั่นคือการเป็นลูกของพระเจ้า

วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2018 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง            1 ซมอ 15:16-23
     ในครั้งนั้น ซามูเอลทูลตอบซาอูลว่า “พอแล้ว อย่าตรัสอะไรอีก ข้าพเจ้าจะทูลให้ทรงทราบว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสอะไรกับข้าพเจ้าเมื่อคืนที่แล้ว” กษัตริย์ซาอูลตรัสว่า “บอกมาเถิด” ซามูเอลทูลตอบว่า “แม้พระองค์จะทรงคิดว่าไม่ทรงเป็นคนสำคัญอะไร แต่พระองค์ก็ทรงเป็นหัวหน้าของเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งพระองค์ไปปฏิบัติภารกิจตรัสว่า ‘จงไปทำลายล้างชาวอามาเลขคนบาปเหล่านั้นให้หมดสิ้นเถิด จงสู้รบกับเขาจนกว่าจะทำลายเขาให้หมด’ ทำไมพระองค์จึงไม่ทรงเชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทำไมพระองค์จึงทรงเข้าไปไขว่คว้าสิ่งของที่ยึดมาได้ และทรงทำสิ่งชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า” กษัตริย์ซาอูลทรงตอบซามูเอลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อฟังพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว และออกไปปฏิบัติภารกิจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา ข้าพเจ้านำอากัก กษัตริย์ของชาวอามาเลขมา และทำลายล้างชาวอามาเลขจนหมดสิ้น แต่ประชากรเก็บแพะแกะ และโคตัวดีที่สุดที่ยึดมาได้และจะต้องถูกฆ่าทำลายเสียนั้น นำมาที่เมืองกิลกาลเพื่อถวายเป็นบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน”
     ซามูเอลก็ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ เท่ากับที่พอพระทัยให้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ฟังเถิด การเชื่อฟังย่อมดีกว่าการถวายบูชา การอ่อนน้อมย่อมดีกว่าไขมันแกะ การใช้เวทมนตร์คาถาเป็นบาปเหมือนการกบฏ การไม่ยอมเชื่อฟังเป็นความผิดเหมือนการกราบไหว้รูปปฏิมา
     เพราะพระองค์ทรงละทิ้งไม่ยอมปฏิบัติตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงละทิ้งไม่ให้พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ด้วย”

สดด 50:8-9,16-18,21,23

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก                               มก 2:18-22
     เวลานั้น บรรดาศิษย์ของยอห์นและชาวฟาริสีกำลังจำศีลอดอาหาร มีผู้ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมศิษย์ของยอห์นและศิษย์ของชาวฟาริสีจำศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำศีล” พระองค์ตรัสตอบว่า “ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจะจำศีลอดอาหารได้หรือขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขา ตราบใดที่เจ้าบ่าวยังอยู่ด้วย เขาย่อมไม่จำศีลอดอาหาร แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกพรากไป ในวันนั้น เขาจะจำศีลอดอาหาร ไม่มีใครนำผ้าใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่นำมาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัวมากกว่า ทำให้เป็นรอยขาดมากกว่าเดิม ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะเหล้าจะทำให้ถุงหนังขาด ทั้งเหล้า และถุงก็จะเสียไป แต่ต้องใส่เหล้าใหม่ลงในถุงหนังใหม่”

 

ข้อคิด
     หลังจากที่ได้รับเจิมให้เป็นกษัตริย์และปกครองประชากรของพระเจ้า กษัตริย์ซาอูลเริ่มทำตามใจชอบ ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับพระประสงค์ของพระเจ้า ประกาศกซามูเอลจึงเตือนให้รู้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวทำให้พระองค์ออกห่างพระเจ้าและไม่ได้รับพรจากพระเจ้าเหมือนก่อน ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะทรงเปลี่ยนพระทัยและทรงถอยห่างไปจากกษัตริย์ซาอูล แต่เป็นกษัตริย์ซาอูลเองที่ทำตัวออกห่างจากพระเจ้า ประวัติศาสตร์ยังคงซ้ำร้อยต่อมาจนถึงสมัยพระเยซูเจ้า บรรดาธรรมาจารย์ ฟาริสี และสมณะต่างทำตัวออกห่างจากพระเจ้าด้วยการทำตามใจชอบ จนกลายเป็นศาสนกิจที่ไม่มุ่งถึงพระเจ้า แต่มุ่งสู่ผลประโยชน์แห่งตน พระเยซูเจ้าทรงนำความใหม่มาให้ แต่พวกเขายังยึดมั่นถือมั่นเหมือนเดิม จึงไม่ได้ผลอะไรจากการเสด็จมาของพระองค์ เหมือนถุงหนังเก่าแตกเมื่อใส่น้ำองุ่นใหม่

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown