มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2023 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                            กจ 2:14ก,36-41

        ในวันเปนเตกอสเต เปโตรยืนขึ้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วยเสียงดังว่า “ขอให้เผ่าพันธุ์อิสราเอลทั้งมวลรู้แน่เถิดว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูผู้นี้ที่ท่านทั้งหลายนำไปตรึงบนไม้กางเขนให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสตเจ้า”

         ถ้อยคำเหล่านี้เสียดแทงใจของทุกคน เขาเหล่านั้นจึงถามเปโตรและอัครสาวกอื่นๆ ว่า “พี่น้อง พวกเราจะต้องทำอย่างไร” เปโตรตอบว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเถิด แต่ละคนจงรับศีลล้างบาปเดชะพระนามพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะได้รับการอภัยบาป แล้วท่านจะได้รับพระพรของพระจิตเจ้า พระสัญญานี้มีไว้สำหรับท่านทั้งหลาย สำหรับบุตรหลานของท่านและสำหรับทุกคนที่อยู่ห่างไกล ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราจะทรงเรียก” เปโตรกล่าวถ้อยคำอีกมาก อ้อนวอน และตักเตือนเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงช่วยตนให้รอดพ้นจากคนชั่วร้ายในยุคนี้เถิด” คนเหล่านั้นรับถ้อยคำของเปโตรและได้รับศีลล้างบาป วันนั้นผู้มีความเชื่อมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกประมาณสามพันคน

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง         1 ปต 2:20ข-25

          ลูกที่รัก ถ้าท่านทำความดี แล้วยอมทนทุกข์ จึงจะเป็นพระหรรษทานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

         พระเจ้าทรงเรียกท่านให้ปฏิบัติดังนี้ พระคริสตเจ้าทรงรับทรมานเพื่อท่าน และประทานแบบฉบับไว้ให้ท่านดำเนินตามรอยพระบาท พระองค์มิได้ทรงทำบาป มิได้ตรัสหลอกลวงผู้ใด เมื่อเขาดูหมิ่นพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงโต้ตอบ เมื่อทรงรับทรมาน พระองค์มิได้ทรงข่มขู่จะแก้แค้น แต่ทรงมอบพระองค์ไว้แด่พระผู้ทรงพิพากษาด้วยความเที่ยงธรรม พระองค์ทรงแบกบาปของเราไว้ในพระวรกายบนไม้กางเขน เพื่อเราจะได้ตายจากบาปและมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม รอยแผลของพระองค์รักษาท่านให้หาย ท่านเคยเป็นเหมือนแกะที่พลัดหลงจากฝูง แต่บัดนี้กลับมาหาผู้เลี้ยงและผู้ดูแลวิญญาณของท่านแล้ว

 

บทอ่านจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น          ยน 10:1-10

          เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่ไม่เข้าคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าทางอื่น ก็เป็นขโมยและโจร ผู้ที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ คนเฝ้าประตูย่อมเปิดประตูให้เขาเข้าไป บรรดาแกะก็ฟังเสียงเขา เขาเรียกชื่อแกะของตนทีละตัว และพาออกไปข้างนอก เมื่อเขาพาแกะออกไปหมดแล้ว เขาจะเดินนำหน้า และแกะก็ตามไปเพราะจำเสียงของเขาได้ แกะจะไม่ตามคนแปลกหน้าเลย แต่จะหนีจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของคนแปลกหน้า

         พระเยซูเจ้าตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้คนเหล่านั้นฟัง แต่เขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นหมายถึงสิ่งใด พระเยซูเจ้ายังตรัสกับเขาอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราเป็นประตูคอกแกะทุกคนที่มาก่อนหน้าเราเป็นขโมยและโจร แต่แกะมิได้ฟังเสียงของเขาเหล่านั้น เราเป็นประตู ผู้ที่เข้ามาทางเราก็จะรอดพ้น เขาจะเข้าจะออก และจะพบทุ่งหญ้า ขโมยย่อมมาเพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย เรามาเพื่อให้แกะมีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์”

 

 

ข้อคิด
     วันอาทิตย์ "นายชุมพาบาลที่ดี" "พระผู้อภิบาลผู้ประเสริฐ" "ผู้เลี้ยงแกะที่ดี" เป็นชื่อเดียวกันพระศาสนจักรสอนคริสตชนในวันนี้ให้ระลึกถึงพระสังฆราชผู้ปกครองสังฆมณฑล พวกท่านรับผิดชอบงานที่สำคัญคือต้องดูแลคริสตชน ผู้เป็นเสมือนฝูงแกะของพระเยซูเจ้า พวกท่านเป็นคนเลี้ยงแกะที่ต้องเลียนแบบพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นคนเลี้ยงแกะที่ดี ที่ทรงยอมตายปกป้องลูกแกะคือบรรดาคริสตชน ให้พ้นการลงโทษเพราะบาปความผิดโดยยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและกลับคืนชีพ ไถ่เราพ้นโทษความตาย กลับมาเป็นลูกของพระเจ้ามีชีวิตนิรันดร บรรดาพระสังฆราชจะตระหนักถึงความสำคัญของวันอาทิตย์นี้มากกว่าสัตบุรุษ พวกท่านสวมแหวนแต่งงานกับสังฆมณฑล พวกท่านยอมตายเพื่อสังฆมณฑลและลูกแกะที่พวกท่านดูแล และท่านจะทำสิ่งนี้ได้สำเร็จก็โดยอาศัยคำภาวนาของสัตบุรุษที่มีให้แก่พระสังฆราชของตน

 

วันเสาร์ที่ 29 เมษายน 2023 น.กาธารีนาแห่งซีเอนา พรหมจารีและนักปราชญ์

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                        กจ 9:31-42

         ขณะนั้น พระศาสนจักรมีสันติภาพทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลีและสะมาเรีย พระศาสนจักรเติบโตขึ้น มีความเคารพยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้รับกำลังใจจากพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม

         เมื่อเปโตรเดินทางไปเยี่ยมผู้มีความเชื่อในที่ต่างๆ เขาไปเยี่ยมบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในเมืองลิดดาด้วย ที่นั่น เขาพบชายคนหนึ่งชื่อไอเนอัส เป็นอัมพาตนอนอยู่บนแคร่มาแปดปีแล้ว เปโตรจึงพูดกับเขาว่า “ไอเนอัสเอ๋ย พระเยซูคริสตเจ้าทรงรักษาท่านให้หาย จงลุกขึ้นและเก็บที่นอนเถิด” เขาก็ลุกขึ้นทันที เมื่อเห็นดังนี้ ทุกคนที่อยู่ในเมืองลิดดาและในที่ราบชาโรนก็กลับใจมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า

        ในบรรดาศิษย์ที่เมืองยัฟฟามีหญิงคนหนึ่งชื่อทาบีธา แปลว่า “เนื้อทราย” ทำความดีและให้ทานเป็นอันมาก ระหว่างนั้นนางป่วยและถึงแก่กรรม เขาทำความสะอาดศพและตั้งศพไว้ในห้องชั้นบน เมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา บรรดาศิษย์รู้ว่าเปโตรอยู่ที่เมืองลิดดา จึงส่งชายสองคนไปเชิญเขาว่า “โปรดรีบมาหาเราเถิด”

          เปโตรไปกับเขาทันที เมื่อไปถึง เขาก็พาเปโตรขึ้นไปยังห้องชั้นบน บรรดาหญิงม่ายมาห้อมล้อม ทุกคนต่างร้องไห้และชี้ให้เปโตรดูเสื้อผ้าทั้งชั้นนอกชั้นในที่ทาบีธาตัดเย็บให้เมื่อนางยังมีชีวิต เปโตรจึงสั่งให้ทุกคนออกไปข้างนอก เขาคุกเข่าอธิษฐานภาวนาแล้วหันมาดูศพ พูดว่า “ทาบีธาเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” นางก็ลืมตาขึ้นมองดูเปโตรและลุกขึ้นนั่ง เปโตรจึงยื่นมือพยุงให้นางยืน แล้วเรียกบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์และบรรดาหญิงม่ายเข้ามา ชี้ให้เห็นว่านางยังมีชีวิต เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วเมืองยัฟฟา หลายคนมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                         ยน 6:60-69

          เมื่อศิษย์หลายคนได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสดังนี้ก็กล่าวว่า “ถ้อยคำนี้ขัดหูจริง ใครจะฟังได้” พระเยซูเจ้าทรงทราบด้วยพระองค์ว่าบรรดาศิษย์กำลังบ่นกันเรื่องนี้ จึงตรัสแก่เขาว่า “เรื่องนี้ทำให้ท่านเคลือบแคลงใจหรือ แล้วถ้าท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์กลับขึ้นสู่สถานที่ที่เคยอยู่แต่ก่อนเล่า ท่านจะว่าอย่างไร พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้ประทานชีวิต ลำพังมนุษย์ทำอะไรไม่ได้ วาจาที่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้นให้ชีวิต  เพราะมาจากพระจิตเจ้า แต่บางท่านไม่เชื่อ”

          พระเยซูเจ้าทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ใดไม่เชื่อ และผู้ใดจะทรยศต่อพระองค์ พระองค์ตรัสต่อไปว่า “ดังนั้น เราจึงบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ใดมาหาเราได้ เว้นแต่ผู้ที่พระบิดาประทานให้เขามา” หลังจากนั้น ศิษย์หลายคนเปลี่ยนใจไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป

            พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับอัครสาวกสิบสองคนว่า “ท่านทั้งหลายจะไปด้วยหรือ”

            ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์มีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร พวกเราเชื่อและรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”

 

 

ข้อคิด
     บทอ่านที่ 1 เล่าเรื่องกิจการเทศน์สอนของนักบุญเปโตรในแคว้นสะมาเรีย เพราะเมืองลิดดา และเมืองยัฟฟาอยู่ในแคว้นนี้ ซึ่งแสดงว่าพระศาสนจักรออกจากกรุงเยรูชาเล็มแผ่ขยายขึ้นเหนือไปสู่คนกึ่งยิว (พวกเขาเป็นชาวยิวที่ถูกคนต่างชาติมาแต่งงานและกลืนสายเลือดยิวแท้หายไปแล้ว) และพร้อมจะพ้นจากชาวยิวไปสู่คนต่างชาติสุดปลายแผ่นดิน ที่พ้นจากชาวยิวเพราะชาวยิวไม่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า "ท่านทั้งหลายจะไปด้วยหรือ?" อาจมีบางสิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจตัวบุคคลในพระศาสนา แต่สิ่งนี้ต้องไม่ทำให้เราหันหลังให้กับพระเยซูเจ้าในพิธีมิสชา การสวดภาวนา การอ่านพระคัมภีร์ และจงมีความรู้สึกชื่นชมยินดีในพระศาสนจักรของพระองค์

 

วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2023 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                        กจ 8:26-40

        ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้น และเดินไปทางทิศใต้ ตามทางที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองกาซา ทางนั้นเป็นทางเปลี่ยว” ฟีลิปจึงลุกขึ้นออกเดินทาง ระหว่างทางเขาพบชาวเอธิโอเปียคนหนึ่ง เป็นขันที ข้าราชการของพระราชินีคานดาสีของชาวเอธิโอเปีย เป็นผู้ดูแลราชทรัพย์ทั้งหมดของพระนาง และมานมัสการพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม ขณะเดินทางกลับ เขานั่งในรถม้าและอ่านหนังสือของประกาศกอิสยาห์ พระจิตเจ้าตรัสสั่งฟีลิปว่า “จงตามรถคันนั้นไปให้ทัน” ฟีลิปวิ่งตามไป ได้ยินเขากำลังอ่านหนังสือของประกาศกอิสยาห์ จึงถามว่า “ท่านเข้าใจข้อความที่กำลังอ่านหรือ” ขันทีตอบว่า “ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครอธิบาย” แล้วเขาก็เชิญฟีลิปขึ้นไปนั่งด้วย ข้อความของพระคัมภีร์ที่เขากำลังอ่านอยู่นั้นมีดังนี้

        “เขาถูกนำไปฆ่าเหมือนแกะตัวหนึ่ง ลูกแกะไม่ออกเสียงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนตัดขนแกะฉันใด เขาก็ไม่อ้าปากฉันนั้น เมื่อเขาถูกเหยียดหยาม เขาไม่ได้รับความยุติธรรมเลย ใครจะเล่าเรื่องเชื้อสายของเขาได้ เพราะชีวิตของเขาถูกยกไปจากแผ่นดินนี้แล้ว”

         ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า ประกาศกกล่าวเช่นนี้หมายถึงใคร หมายถึงตนเองหรือหมายถึงผู้อื่น” ฟีลิปจึงเริ่มประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูเจ้าให้เขาฟัง โดยอธิบายพระคัมภีร์เริ่มตั้งแต่ตอนนี้

         ขณะเดินทางอยู่นั้น ทั้งสองคนมาถึงแหล่งน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีกล่าวว่า “ดูซิ ที่นี่มีน้ำ มีอะไรขัดขวางมิให้ข้าพเจ้ารับศีลล้างบาป” เขาสั่งให้หยุดรถ ทั้งฟีลิปและขันทีลงไปในน้ำ ฟีลิปล้างบาปให้ขันที เมื่อทั้งสองคนขึ้นจากน้ำแล้ว พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำฟีลิปไปที่อื่น ขันทีไม่เห็นฟีลิปอีก จึงเดินทางต่อไปด้วยความยินดี ส่วนฟีลิปนั้นมีผู้พบที่เมืองอาโซทัส เขาเดินทางผ่านเมืองต่างๆ ประกาศข่าวดีจนมาถึงเมืองซีซารียา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                         ยน 6:44-52

         เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า

       “ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำเขา และเราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย มีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาประกาศกว่า ทุกคนจะได้รับคำสอนจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้ฟังพระบิดา และเรียนรู้จากพระองค์ ก็มาหาเรา ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา นอกจากผู้ที่มาจากพระเจ้า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราเป็นปังแห่งชีวิต บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดารแล้วยังตาย แต่ปังที่ลงมาจากสวรรค์เป็นอย่างนี้ คือผู้ที่กินปังนี้แล้วจะไม่ตาย เราเป็นปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต”

         ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร”

 

 

ข้อคิด
     ความรักหมายถึงพระเจ้าทรงรักเรา ความรักที่เรามีต่อพระมาหลังจากนั้น บางทีเราคิดว่าเราเป็นคนเก่งเลือกรักพระเจ้า แต่พระเยซูเจ้าตรัสว่าไม่มีใครมาหาพระองค์ได้ ถ้าพระบิดาไม่ทรงชักนำเขามา พระจิตเจ้าทรงดลใจฟิลิปให้ไปให้ทันรถม้าของขันทีชาวเอธิโอเปีย พระเจ้าทรงชักนำให้ขันทีมาเป็นคริสตชนโดยการดลใจฟิลิปให้ไปโปรดศีลล้างบาปให้แก่เขา จากนี้พระศาสนจักรมุ่งสู่คนต่างศาสนา จากกรุงเยรูซาเล็ม ขึ้นไปสะมาเรีย และลงไปยังอัฟริกาเหนือ เอธิโอเปีย เธอพูดว่า เธอรักพระเจ้า ไม่ค่อยมีคำอะไร แต่มื่อเธอพูดว่า พระเจ้าทรงรักเธอ เรียกเธอและเลือกเธอ นี่เป็นเรื่องมีค่าสูงส่งยิ่งใหญ่มาก

 

วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2023 น.หลุยส์ มารีย์ กรีญอง เดอ มงฟอร์ต พระสงฆ์ น.เปโตร ชาเนล พระสงฆ์และมรณสักขี

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                        กจ 9:1-20

        ขณะนั้น เซาโลยังคงเคียดแค้นคุกคามจะฆ่าบรรดาศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเข้าไปพบมหาสมณะ ขอหนังสือมอบอำนาจไปยังศาลาธรรมต่างๆ ในเมืองดามัสกัส เพื่อจะได้จับกุมทุกคนที่พบ ไม่ว่าชายหรือหญิงที่ดำเนินชีวิตตามวิถีทางของพระคริสตเจ้า แล้วนำไปยังกรุงเยรูซาเล็ม

          ขณะที่เขาเดินทางใกล้ถึงเมืองดามัสกัส ทันใดนั้นมีแสงสว่างจากท้องฟ้าล้อมรอบตัวเขาไว้ เขาล้มลงที่พื้นดินและได้ยินเสียงกล่าวว่า “เซาโล เซาโล ท่านเบียดเบียนเราทำไม” เซาโลจึงถามว่า “พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร” พระองค์ตรัสว่า “เราคือเยซู ซึ่งท่านกำลังเบียดเบียน ท่านจงลุกขึ้น เข้าไปในเมือง แล้วจะมีคนบอกให้รู้ว่าจะต้องทำอะไร” คนที่เดินทางพร้อมกับเซาโลยืนนิ่งพูดไม่ออก เขาได้ยินเสียงพูดแต่ไม่เห็นใครเลย เซาโลจึงลุกขึ้นจากพื้นดิน ลืมตา แต่ก็มองสิ่งใดไม่เห็น คนอื่นจึงจูงมือเขา พาเข้าไปในเมืองดามัสกัส เซาโลมองไม่เห็นสิ่งใดเลยเป็นเวลาสามวัน ไม่ได้กินและไม่ได้ดื่ม

        ที่เมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่อ อานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกเขาในนิมิตว่า “อานาเนีย” อานาเนียทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้นไปที่ถนนซึ่งเรียกว่าถนนตรง จงไปที่บ้านของยูดาส ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลที่มาจากเมืองทาร์ซัส ขณะนี้เซาโลกำลังอธิษฐานภาวนาอยู่ และเห็นชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียในนิมิตเข้ามาปกมือให้ เพื่อให้เขามองเห็นได้อีก”

          แต่อานาเนียทูลตอบว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินหลายคนพูดถึงชายผู้นี้ และได้ยินว่า ที่กรุงเยรูซาเล็มเขาได้ทำร้ายบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เพียงใด และที่นี่เขาได้รับอำนาจจากบรรดาหัวหน้าสมณะให้มาจับกุมทุกคนที่เรียกขานพระนามพระองค์” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบอานาเนียว่า “จงไปเถิด เพราะชายผู้นี้เป็นเครื่องมือที่เราเลือกสรรไว้เพื่อนำนามของเราไปประกาศแก่คนต่างศาสนา บรรดากษัตริย์และลูกหลานของอิสราเอล เราจะแสดงให้เขารู้ว่า เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมากเท่าใดเพราะนามของเรา” อานาเนียจึงจากไป และเข้าไปในบ้าน ปกมือเหนือเซาโล กล่าวว่า “เซาโลน้องรัก พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งทรงสำแดงพระองค์แก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ทรงส่งข้าพเจ้ามาเพื่อท่านจะมองเห็นได้อีกและได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” ทันใดนั้นมีสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดตกจากนัยน์ตาของเซาโล เขามองเห็นได้อีก จึงลุกขึ้นรับศีลล้างบาป เมื่อกินอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น

          เซาโลพักอยู่กับบรรดาศิษย์ที่เมืองดามัสกัสระยะหนึ่ง เขาเทศน์สอนในศาลาธรรมทันที ประกาศว่า “พระเยซูเจ้าพระองค์นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                         ยน 6:52-59

           เวลานั้น ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร”

         พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อของบุตรแห่งมนุษย์ และไม่ดื่มโลหิตของเขา ท่านจะไม่มีชีวิตในตนเอง ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำรงอยู่ในเรา และเราก็ดำรงอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น นี่คือปังที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนปังที่บรรดาบรรพบุรุษได้กิน แล้วยังตาย ผู้ที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป”

          พระองค์ตรัสเช่นนี้ขณะที่ทรงสอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม

 

 

ข้อคิด
     เมื่อสเทเฟนถูกชาวยิวเอาหินทุ่มถึงแก่ความตาย คริสตชนจากกรุงเยรูซาเล็มจึงหนีขึ้นไปยังสะมาเรียและเหนือขึ้นไปจนถึงอันทิโอกแคว้นซีเรีย แต่เซาโลก็ยังตามไปเบียดเบียน ความเชื่อมั่นในตัวเองจนมองไม่เห็นพระเจ้า พระเจ้าทรงทำให้เขาตาบอด แล้วเขาจึงเริ่มมองเห็นใหม่ คราวนี้จึงจะเห็นพระองค์ในสิ่งที่เขาปัดทิ้งไปในชีวิตสุกใสรุ่งเรือง ระวังสักวันหนึ่ง เราอาจจะตื่นนอนและลุกไม่ขึ้น เพราะเป็นอัมพาต วันนั้นจึงเข้าใจว่าการเดินไปวัดร่วมพิธีมิสชา รับศีลมหาสนิทเป็นของมีค่า เป็นพระกายของพระเยซูเจ้าที่ประทานมาให้แก่เราเพื่อจะกินแล้วมีชีวิตนิรันดร

 

วันพุธที่ 26 เมษายน 2023 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                        กจ 8:1ข-8

          วันนั้น เกิดการเบียดเบียนพระศาสนจักรอย่างรุนแรงในกรุงเยรูซาเล็ม ทุกคนนอกจากบรรดาอัครสาวกกระจัดกระจายไปตามชนบทในแคว้นยูเดียและสะมาเรีย

          ผู้มีใจศรัทธาบางคนนำศพสเทเฟนไปฝังและร่ำไห้คร่ำครวญถึงเขาอย่างมาก ส่วนเซาโลออกรังควานพระศาสนจักร เข้าไปตามบ้าน ฉุดลากทั้งชายและหญิงไปจองจำไว้ในคุก

         บรรดาผู้ที่กระจัดกระจายไปเหล่านี้ออกไปยังที่ต่างๆ ประกาศพระวาจาเป็นข่าวดี ฟีลิปไปเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย และประกาศเรื่องพระคริสตเจ้าให้ชาวเมืองนั้นฟัง ประชาชนที่ได้ฟังถ้อยคำของฟีลิป และเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่เขาทำ ก็พร้อมใจกันฟังคำสั่งสอนของเขา คนหลายคนที่ถูกปีศาจสิงอยู่ร้องเสียงดังแล้วปีศาจก็ออกไป คนอัมพาตและคนง่อยจำนวนมากหายจากโรค ประชาชนในเมืองนั้นจึงชื่นชมอย่างมาก

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                         ยน 6:35-40

         เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า

        “เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย เราบอกท่านทั้งหลายแล้วว่า ท่านเห็นเราแล้ว แต่ไม่เชื่อ ทุกคนที่พระบิดาทรงมอบให้เรา จะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ผลักไสไปเลย เพราะเราลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อทำตามใจของเรา แต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามา พระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามาก็คือ เราจะไม่สูญเสียผู้ใดที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เรา แต่จะให้ผู้นั้นกลับคืนชีพในวันสุดท้าย พระประสงค์ของพระบิดาของเราก็คือ ทุกคนที่เห็นพระบุตรแล้วเชื่อในพระบุตรจะมีชีวิตนิรันดร และเราจะให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย”

 

ข้อคิด
     มีหลายคนชอบอวดตัวว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่พอใครไปอยู่ใกล้ หรือเขาไปอยู่ในสังคมไหน ก็นำความทุกข์โศกมาสู่ผู้คนในสังคมนั้น แต่เครื่องหมายแสดงว่าผู้นั้นมีพระเจ้าประทับอยู่คือ เขาไปที่ใด ทุกคนจะมีความชื่นชมยินดี สังฆานุกรฟิลิปเปิดประตูพระศาสนจักรออกไปยังดินแดนของคนกึ่งยิว คือแคว้นสะมาเรีย พวกเขาเป็นชาวยิวที่ถูกคนต่างชาติมาแต่งงานและกลืนสายเลือดยิวแท้หายไปแล้ว นี่เป็นเครื่องหมายว่าพระศาสนากำลังจะมุ่งไปสู่มิใช่ชาวยิวเท่านั้น แต่ไปยังนานาชาติอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงกำชับอัครสาวกให้ไปเทศน์สอนจนสุดแผ่นดิน ใครที่เข้าไปหาพระเยซูเจ้าก็จะมีความชื่นชมยินดีที่ได้กินปังทรงชีวิต คือศีลมหาสนิทและฟังพระวาจา

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown