มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

                                     

วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน 2023 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                        กจ 5:27-33

          ในครั้งนั้น เขานำบรรดาอัครสาวกมายังสภาซันเฮดริน มหาสมณะจึงกล่าวหาว่า “เรากำชับท่านทั้งหลายอย่างแข็งขันแล้ว ไม่ให้สอนโดยออกนามนี้ แต่ท่านยังขืนนำคำสอนของตนมาแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และต้องการให้โลหิตของคนคนนี้ตกอยู่กับเรา” เปโตรและบรรดาอัครสาวกตอบว่า “เราต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าที่ท่านทั้งหลายประหารชีวิตโดยตรึงบนไม้กางเขนนั้นกลับคืนพระชนมชีพ พระเจ้าทรงยกพระองค์ท่านขึ้นประทับเบื้องขวาในฐานะเป็นหัวหน้าและผู้กอบกู้ เพื่อให้อิสราเอลกลับใจและรับการอภัยบาป เราทั้งหลายเป็นพยานในเรื่องนี้ และพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานแก่ผู้ที่เชื่อฟังพระองค์ก็ทรงเป็นพยานด้วย”

          เมื่อได้ฟังดังนี้ ทุกคนในสภาซันเฮดรินรู้สึกโกรธเคืองอย่างมาก อยากจะฆ่าบรรดาอัครสาวก

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                         ยน 3:31-36

          เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า

        “ผู้ที่มาจากเบื้องบนย่อมอยู่เหนือทุกคน ผู้ที่มาจากแผ่นดินนี้ ย่อมเป็นของแผ่นดินนี้ และพูดอย่างคนของแผ่นดินนี้ ผู้ที่มาจากสวรรค์ย่อมอยู่เหนือทุกคน เขาเป็นพยานถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน แต่ไม่มีใครยอมรับคำพยานยืนยันของเขา ผู้ที่รับคำพยานยืนยันของเขา ก็รับรองว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมานั้นย่อมกล่าวพระวาจาของพระเจ้า เพราะพระเจ้าประทานพระจิตเจ้าให้เขาอย่างไม่จำกัด พระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระบุตร ผู้ใดมีความเชื่อในพระบุตร ย่อมมีชีวิตนิรันดร ผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระบุตร จะไม่พบชีวิตนั้น การลงโทษของพระเจ้ากำลังอยู่เหนือเขาแล้ว”

 

 

ข้อคิด
     ในตอนถูกจับกุมสอบสวนครั้งแรก เปโตรตอบสภาชันเฮดรินว่า "ท่านลองคิดดูว่า เราต้องเชื่อฟังพระเจ้า หรือเชื่อฟังมนุษย์" แล้วก็ถูกเฆี่ยน พวกท่านมีความยินดีที่ได้มีอะไรเป็นเหมือนพระคริสตเจ้าบ้าง แล้วก็ออกไปเทศน์อีก พอถูกจับสอบสวนครั้งที่สองท่านกลับตอบหนักแน่นกว่าเก่าว่า "เราต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์" ที่เป็นเช่นนี้มิใช่พวกท่านรั้น แต่เพราะท่านได้เห็น ท่านพูดในสิ่งที่ท่านสัมผัส "เราทั้งหลายเป็นพยานในเรื่องนี้" สภาชันเฮดรินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อยากจะฆ่าบรรดาอัครสาวก ทำไม? เพราะอัครสาวกทำเหมือนพระเยซูเจ้า เขาเป็นพยานถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน คนเราเอาชนะความจริงไม่ได้หรอก พระเยซูเจ้าทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต

 

วันพุธที่ 19 เมษายน 2023 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                        กจ 5:17-26

          มหาสมณะและทุกคนที่อยู่กับเขาคือกลุ่มชาวสะดูสี มีความอิจฉาอย่างยิ่ง จึงจับกุมบรรดาอัครสาวกและจองจำไว้ในคุกสาธารณะ

       เวลากลางคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปิดประตูคุก นำบรรดาอัครสาวกออกไป สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงไปที่พระวิหาร ประกาศพระวาจาเกี่ยวกับวิถีชีวิตใหม่นี้ให้ประชาชนฟังเถิด” เมื่อบรรดาอัครสาวกได้ฟังดังนั้น ก็เข้าไปในพระวิหารตั้งแต่เช้าตรู่และเริ่มสั่งสอนที่นั่น

         เมื่อมหาสมณะและทุกคนที่อยู่กับเขามาถึง ก็เรียกประชุมสภาซันเฮดรินและบรรดาผู้อาวุโสทุกคนของอิสราเอล แล้วให้พนักงานไปที่คุกนำตัวบรรดาอัครสาวกออกมา แต่เมื่อพนักงานไปถึง ก็ไม่พบบรรดาอัครสาวกอยู่ในคุกแล้ว จึงกลับมารายงานว่า “พวกเราพบคุกปิดไว้อย่างแน่นหนาและคนเฝ้าก็ยืนรักษาการณ์อยู่ที่ประตู แต่เมื่อเราเปิดประตูเข้าไปก็ไม่พบผู้ใดเลยสักคน” เมื่อนายทหารรักษาพระวิหารและบรรดาหัวหน้าสมณะได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ต่างรู้สึกสับสนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะนั้นเอง มีคนหนึ่งมาบอกว่า “ดูซิ คนเหล่านั้นที่ท่านทั้งหลายจองจำไว้ในคุก กำลังยืนสั่งสอนประชาชนอยู่ในพระวิหาร” นายทหารรักษาพระวิหารพร้อมกับนายทหารยามจึงไปนำบรรดาอัครสาวกมาโดยไม่ใช้กำลัง เพราะเกรงประชาชนจะขว้างด้วยก้อนหิน

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                         ยน 3:16-21

          เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า

         “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก จึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้ มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น ผู้ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้มีความเชื่อในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คือ ความสว่างเข้ามาในโลกนี้แล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะการกระทำของเขานั้นชั่วร้าย ทุกคนที่ทำความชั่ว ย่อมเกลียดความสว่างและไม่เข้าใกล้ความสว่าง เกรงว่าการกระทำของตนจะปรากฏชัดแจ้ง แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามความจริง ย่อมเข้าใกล้ความสว่าง เพื่อให้เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นได้ทำโดยพึ่งพระเจ้า”

 

 

ข้อคิด
      คนในโลกหากเป็นคนดี พวกเขาก็อยากปรากฏตัวในที่แจ้งให้ผู้คนชื่นชมสรรเสริญ แต่คริสตชนยุคแรกๆ ไม่คิดเช่นนั้น พวกเขาแม่นยำมาก ที่เราทำความดีแล้วเราอยากเข้าใกล้ความสว่าง มิใช่เพื่ออวดแสดงตัวเรา แต่เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าที่เราสะอาด งดงามและเราเป็นผู้ชอบธรรม เราทำได้เช่นนั้นเพราะเราพึ่งพระเจ้า สะดูสิคือกลุ่มคนที่ไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ เขาจึงเป็นปรปักษ์กับอัครสาวกที่ยืนยันว่าพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ เนื้อหาที่อัครสาวกเทศน์แล้วพวกนี้ไม่พอใจก็คือ พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าที่ต้องเสด็จมาและทรงพิสูจน์ด้วยการกลับคืนพระชนมชีพ พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่ประกาศกและบรรพบุรุษต่างรอคอย ได้เสด็จมาไถ่กู้และตั้งพระอาณาจักรในจิตใจของเราแล้ว

 

วันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2023 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                        กจ 4:23-31

         เมื่อเปโตรและยอห์นได้รับการปลดปล่อยแล้ว ก็ไปพบบรรดาศิษย์ เล่าทุกเรื่องที่บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสกล่าวกับตน เมื่อบรรดาศิษย์ฟังจบแล้ว จึงพร้อมใจกันเปล่งเสียงทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงสร้างฟ้า แผ่นดิน ทะเล และสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในนั้น เดชะพระจิตเจ้า พระองค์ทรงดลใจให้กษัตริย์ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์และผู้เป็นบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย ตรัสว่า

            ‘ทำไมชนชาติทั้งหลายจึงบันดาลโทสะ

                      และบรรดาประชาชาติจึงวางแผนไร้สาระ

             บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินต่างต่อต้าน

                      บรรดาผู้ปกครองมาร่วมกันต่อสู้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

             และผู้รับเจิมของพระองค์

          ความจริงแล้ว ในเมืองนี้กษัตริย์เฮโรดและปอนทิอัสปีลาตร่วมกับคนต่างชาติและประชากรอิสราเอลต่อสู้กับพระเยซูเจ้าผู้รับใช้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงเจิมไว้ เพื่อทำให้พระประสงค์ที่ทรงกำหนดไว้ด้วยพระอานุภาพสำเร็จไป บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรคำข่มขู่ของเขาทั้งหลาย และประทานให้ข้ารับใช้ของพระองค์ประกาศพระวาจาของพระองค์ด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งเถิด โปรดแสดงพระอานุภาพในการรักษาโรค ให้เครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเดชะพระนามพระเยซูเจ้าผู้รับใช้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เถิด” เมื่อบรรดาศิษย์อธิษฐานภาวนาจบแล้ว สถานที่ที่เขามาชุมนุมกันนั้นก็สั่นสะเทือน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยมและเริ่มประกาศพระวาจาของพระเจ้าอย่างกล้าหาญ

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                         ยน 3:1-8

         ชายคนหนึ่งจากกลุ่มชาวฟาริสีชื่อนิโคเดมัส เป็นหัวหน้าคนหนึ่งของชาวยิว เขามาเฝ้าพระเยซูเจ้าตอนกลางคืน ทูลว่า “รับบี พวกเรารู้ว่า ท่านเป็นอาจารย์ที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครทำเครื่องหมายอัศจรรย์อย่างที่ท่านทำได้ นอกจากพระเจ้าจะสถิตกับเขา”

             พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีใครเห็นพระอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเขาไม่ได้เกิดใหม่”

             นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนชราแล้วจะเกิดใหม่ได้อย่างไรกัน เขาจะเข้าไปในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่ง แล้วเกิดใหม่ได้หรือ”

            พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีใครเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเขาไม่เกิดจากน้ำและพระจิตเจ้า สิ่งใดที่เกิดจากเนื้อหนังย่อมเป็นเนื้อหนัง สิ่งใดที่เกิดจากพระจิตเจ้า ย่อมเป็นจิต อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องเกิดใหม่จากเบื้องบน ลมย่อมพัดไปในที่ที่ลมต้องการ ท่านได้ยินเสียงลมพัด แต่ไม่รู้ว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้าก็เป็นเช่นนี้”

 

 

ข้อคิด
      นิโคเดมัสอ้างว่าที่เชื่อในพระเยซูเจ้าเพราะเห็นพระองค์ทรงทำเครื่องหมายอัศจรรย์ หลังจากพระเยซูเจ้าเสด็จกลับคืนชีพและพระจิตเจ้าเสด็จมายังอัครสาวกแล้วทรงทำให้พวกเขา (1) ประกาศพระวาจาอย่างกล้าหาญ (2) สามารถรักษาโรค (3) กระทำเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ แต่ทั้ง 3 อย่างนี้เกิดขึ้นจากพระนามพระเยซูผู้รับใช้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า เวลาอัครสาวกจะรักษาผู้ป่วย หรือทำเครื่องหมายอัศจรรย์พวกเขาจะพูดว่า "ในนามของพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ เราสั่งท่านให้ลุกขึ้น" คนป่วยอัมพาตก็ลุกขึ้นเดินได้ เรื่องที่เรากำลังอ่านและพูดอยู่นี้เป็นเรื่องที่มาจากพระเจ้า มิใช่มนุษย์แต่งเรื่องขึ้นมาเล่นๆ

 

วันอังคารที่ 18 เมษายน 2023 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                                        กจ 4:32-37

           กลุ่มผู้มีความเชื่อดำเนินชีวิตเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนมีเป็นกรรมสิทธิ์ของตน แต่ทุกสิ่งเป็นของส่วนรวม

         บรรดาอัครสาวกยังคงเป็นพยานยืนยันถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเครื่องหมายอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ และทุกคนได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง

           ในกลุ่มของเขาไม่มีใครขัดสน ผู้ใดมีที่ดินหรือบ้านก็ขายและมอบเงินที่ได้ให้บรรดาอัครสาวก เพื่อแจกจ่ายให้ผู้มีความเชื่อแต่ละคนตามความต้องการ

            ชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ บรรดาอัครสาวกเรียกเขาว่า บารนาบัส ซึ่งแปลว่า บุตรแห่งการให้กำลังใจ เขาเป็นคนเผ่าเลวีชาวเกาะไซปรัส เขามีที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเขาขาย นำเงินมามอบให้บรรดาอัครสาวกด้วย

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                         ยน 3:7-15

          เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องเกิดใหม่จากเบื้องบน ลมย่อมพัดไปในที่ที่ลมต้องการ ท่านได้ยินเสียงลมพัด แต่ไม่รู้ว่า ลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้าก็เป็นเช่นนี้”

           นิโคเดมัสทูลถามพระองค์ว่า “เหตุการณ์เช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไร”

           พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชาวอิสราเอล ท่านไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เรากำลังพูดถึงเรื่องที่เรารู้ และเป็นพยานถึงเรื่องที่เราเห็น แต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมรับคำยืนยันของเรา ถ้าท่านทั้งหลายไม่เชื่อ เมื่อเราพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับโลกนี้ ท่านจะเชื่อได้อย่างไร เมื่อเราจะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสวรรค์ ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรแห่งมนุษย์เท่านั้น โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร”

 

ข้อคิด
     พระเยซูเจ้าตรัสถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระเจ้า คือการยอมรับ พระผู้ไถ่ที่เสด็จมาเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์และเสริมให้สมบูรณ์ด้วยความรัก แต่นิโคเดมัสและชาวยิวกลับพูดถึงธรรมบัญญัติที่ต้องกอดเอาไว้และไม่ให้ใครมาแตะต้องเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม บรรพบุรุษและประกาศกผู้มีความเชื่อรอคอยสิ่งนี้ ซึ่งมาถึงแล้วคือพระผู้ใถ่ที่ต้องเสด็จมา แต่ชาวยิวและนิโคเดมัสบอกว่าไม่ใช่ เพราะไม่ตรงกับที่เรายึดกอดเอาไว้ แล้วความรอดพ้น เปลี่ยนจากสภาพเก่าไปสู่สภาพใหม่ จะเกิดขึ้นกับชีวิตเราได้อยางไร...บารนาบัสยอมขายที่ดินที่เขามี แล้วหันมากอดพระศาสนจักรใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอย่างมีความหวังและความสุข

วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน 2023 สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา ฉลองพระเมตตา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก                            กจ 2:42-47

          คนเหล่านั้นประชุมกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อฟังคำสั่งสอนของบรรดาอัครสาวก ดำเนินชีวิตร่วมกันฉันพี่น้อง ร่วม “พิธีบิขนมปัง” และอธิษฐานภาวนา พระเจ้าทรงบันดาลให้บรรดาอัครสาวกทำปาฏิหาริย์และเครื่องหมายอัศจรรย์เป็นจำนวนมาก ทุกคนจึงมีความยำเกรง ผู้มีความเชื่อทุกคนดำเนินชีวิตร่วมกันและมีทุกสิ่งเป็นของส่วนรวม เขาขายที่ดินและทรัพย์สินอื่นๆ แบ่งเงินให้ทุกคนตามความต้องการ

         ทุกๆ วัน เขาพร้อมใจกันไปที่พระวิหารและไปตามบ้านเพื่อทำพิธีบิขนมปัง ร่วมกินอาหารด้วยความยินดีและเข้าใจกัน เขาทั้งหลายสรรเสริญพระเจ้า และได้รับความนิยมจากประชาชนทุกคน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้จำนวนผู้ที่ได้รับความรอดพ้นเพิ่มขึ้นทุกวัน

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง         1 ปต 1:3-9

         ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์ทรงพระกรุณาอย่างยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงบันดาลให้เราบังเกิดใหม่และมีความหวังที่มีชีวิตชีวา อาศัยการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้าจากบรรดาผู้ตาย เพื่อรับมรดกที่ไม่เสื่อมสลาย ไร้มลทิน ไม่มีวันร่วงโรย ซึ่งเก็บรักษาไว้ในสวรรค์เพื่อท่าน พระเจ้าทรงปกป้องท่านไว้ด้วยพระอานุภาพให้มีความเชื่อ จนกว่าจะประทานความรอดพ้นซึ่งกำลังจะได้รับการเปิดเผยในวาระสุดท้าย

        ดังนั้น ท่านจงชื่นชม แม้ว่าในเวลานี้ท่านยังต้องทนทุกข์จากการถูกทดลองต่างๆ ชั่วขณะหนึ่ง เพื่อคุณค่าที่แท้จริงแห่งความเชื่อของท่านจะได้รับการสรรเสริญ รับสิริรุ่งโรจน์และรับเกียรติเมื่อพระเยซูคริสตเจ้าจะทรงสำแดงพระองค์ ความเชื่อนี้ประเสริฐยิ่งกว่าทองคำที่เสื่อมสลายได้ แต่ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ ท่านมีความรักต่อพระเยซูคริสตเจ้า ทั้งๆ ที่ยังมิได้เห็นพระองค์ แม้ว่าขณะนี้ท่านยังมิได้เห็นพระองค์ ท่านก็ยังเชื่อในพระองค์ ท่านจึงชื่นชมยินดีใหญ่หลวงสุดที่จะพรรณนา เพราะท่านกำลังจะได้รับจุดมุ่งหมายของความเชื่อ คือความรอดพ้นของวิญญาณอยู่แล้ว

 

บทอ่านจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น          ยน 20:19-31

          ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำลังชุมนุมกันปิดอยู่เพราะกลัวชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามายืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าก็มีความยินดี พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น”

         ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า “จงรับพระจิตเจ้าเถิด ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย”

          โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ไม่ได้อยู่กับอัครสาวกคนอื่นๆ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา ศิษย์คนอื่นบอกเขาว่า “พวกเราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่เขาตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกาย ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก โทมัสก็อยู่กับเขาด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามายืนอยู่ตรงกลางทั้งๆ ที่ประตูปิดอยู่ ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชื่อเถิด” โทมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า”

         พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข”

         พระเยซูเจ้ายังทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์อื่นอีกหลายประการให้บรรดาศิษย์เห็น แต่ไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ เรื่องราวเหล่านี้ถูกบันทึกไว้เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อนี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็จะมีชีวิตเดชะพระนามพระองค์

 

ข้อคิด
     เวลาพูดคำว่า "ปัสกาของพระเยซูเจ้า" จะประกอบด้วย 3 ขั้นตอน 1. การรับทนทรมาน 2. การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล 3. การเสด็จกลับคืนพระชนมชีพ "ปัสกา"ส่งผลต่อชีวิตวิญญาณของผู้คนให้เจริญก้าวหน้าสืบต่อมาอย่างไม่มีสิ้นสุด จดหมายของนักบุญเปโตรพูดเรื่องนี้ชัดเจนมากในวันนี้ ท่านพูดอย่างมั่นใจทั้งๆ ที่ยังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเบียดเบียนไม่น่าจะรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ แต่เพราะท่านได้เห็นพระเยซูเจ้าเสด็จกลับคืนพระชนมชีพด้วยตาตนเอง ดังนั้น การถูกเบียดเบียน ความยากลำบากที่เราพบเจอเพราะชื่อสัตย์ต่อพระเยซูเจ้า ก็เป็นส่วนหนึ่งในสามขั้นตอนแห่งปัสกาของพระเยซูเจ้า ซึ่งจะต้องไปถึงจุดหมายปลายทาง จบลงที่ชัยชนะสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ร่วมเกียรติมงคลพร้อมกับพระเยซูเจ้าในที่สุด ดังนั้น เรื่องพระเมตตาของพระเยซูเจ้าจึงมีคำพูดสำคัญ "พระเยซูเจ้าข้า ลูกวางใจในพระองค์" ไม่ว่าจะมีสิ่งร้ายใดๆ เกิดขึ้น พระเมตตาย่อมพาเราผ่านพ้นไปสู่สิ่งที่ดีที่รออยู่ ลูกวางใจในพระองค์

 

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown