มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2022 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                           อพย 32:7-14
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงรีบลงไปข้างล่างเถิด เพราะประชากรของท่านซึ่งท่านได้นำออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ได้ทำผิดอย่างสาหัส เขาเปลี่ยนวิถีทางอย่างรวดเร็วออกจากทางที่เราได้สั่งให้เขาเดิน เขาหล่อรูปลูกโคขึ้น แล้วกราบนมัสการ ทั้งยังถวายบูชาแก่รูปนั้น พร้อมกับกล่าวว่า ชาวอิสราเอลทั้งหลาย นี่แหละเป็นพระเจ้าของท่านผู้ทรงนำท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสต่อไปว่า “เรารู้จักคนเหล่านี้ดี เขาดื้อดึงเหลือเกิน อย่าห้ามเราเลย ความโกรธของเราจะเผาผลาญเขาทั้งหลาย และเราจะทำลายเขา เราจะทำให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่”
     โมเสสอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของตนว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำไมพระองค์ทรงปล่อยให้พระพิโรธเผาผลาญประชากรของพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงนำออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยอานุภาพยิ่งใหญ่และด้วยพระหัตถ์ทรงฤทธิ์ ทำไมจะให้ชาวอียิปต์เยาะเย้ยได้ว่า ‘พระองค์ทรงนำเขาออกมาด้วยความประสงค์ร้าย จะฆ่าเสียที่ภูเขา จะทำลายให้หมดสิ้นจากแผ่นดิน’ ขอทรงระงับพระพิโรธเถิด ขอทรงเปลี่ยนพระทัยอย่าทำร้ายประชากรของพระองค์เลย ขอทรงระลึกถึงอับราฮัม อิสอัค และยาโคบผู้รับใช้พระองค์เถิด พระองค์ทรงสัญญากับเขาโดยทรงสาบานอาศัยพระนามพระองค์ว่า เราจะให้ลูกหลานของท่านมีจำนวนมากมายเหมือนดาวในท้องฟ้า เราจะให้แผ่นดินที่เราสัญญาไว้นี้ทั้งหมดแก่ลูกหลานของท่าน และเขาจะครอบครองเป็นมรดกตลอดไป” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ทรงลงโทษประชากรของพระองค์

 

สดด 106:19-20,21-22,23

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                   ยน 5:31-47
      เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวว่า “ถ้าเราเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง คำยืนยันของเราก็ใช้ไม่ได้ แต่ยังมีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานยืนยันให้เรา และเรารู้ว่าคำยืนยันของเขาถึงเรานั้นเป็นความจริง ท่านทั้งหลายได้ส่งคนไปถามยอห์น และยอห์นก็ได้เป็นพยานยืนยันถึงความจริง เราไม่ต้องการคำยืนยันจากมนุษย์ แต่เรากล่าวเช่นนั้นเพื่อท่านทั้งหลายจะได้รอดพ้น ยอห์นเป็นเหมือนตะเกียงสว่างไสวที่จุดอยู่ ท่านทั้งหลายก็พอใจที่จะชื่นชมกับแสงสว่างของเขาอยู่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น แต่เรามีคำยืนยันที่ยิ่งใหญ่กว่าคำยืนยันของยอห์น คืองานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้เราทำจนสำเร็จ งานที่เรากำลังทำอยู่นี้เป็นพยานถึงเราว่า พระบิดาทรงส่งเรามา พระบิดาผู้ทรงส่งเรามา ยังทรงเป็นพยานถึงเราอีกด้วย ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ทั้งไม่เคยเห็นพระพักตร์พระองค์ และพระวาจาของพระองค์ไม่เคยอยู่ในท่าน เพราะท่านไม่มีความเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา
     ท่านทั้งหลายค้นคว้าพระคัมภีร์ เพราะคิดว่าท่านจะพบชีวิตนิรันดรได้ในพระคัมภีร์นั้น พระคัมภีร์นี้เองเป็นพยานถึงเรา แต่ท่านก็ไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะมีชีวิต เราไม่ต้องการเกียรติจากมนุษย์ แต่เรารู้จักท่านทั้งหลาย เรารู้ดีว่าท่านไม่รักพระเจ้าเลย เรามาในพระนามของพระบิดา แต่ท่านทั้งหลายมิได้ต้อนรับเรา ถ้าผู้อื่นมาในนามของตน ท่านทั้งหลายก็ต้อนรับเขา แล้วท่านจะมีความเชื่อได้อย่างไร เมื่อท่านแสวงหาเกียรติจากกันและกัน แต่ไม่แสวงหาเกียรติที่มาจากพระเจ้าพระองค์เดียว ท่านทั้งหลายอย่าคิดว่า เราจะกล่าวหาท่านเฉพาะพระพักตร์พระบิดา ผู้ที่กล่าวหาท่านมีอยู่แล้ว คือโมเสส ซึ่งท่านไว้วางใจ ถ้าท่านเชื่อโมเสสจริงๆ ท่านก็คงจะเชื่อเราด้วย เพราะโมเสสได้เขียนถึงเรา แต่ถ้าท่านไม่เชื่อข้อเขียนของโมเสส ท่านจะเชื่อวาจาของเราได้อย่างไร”

 


ข้อคิด
     ชาวอิสราเอลหล่อรูปวัวทองคำขึ้น เหตุเพราะว่า โมเสสขึ้นไปบนภูเขานาน ไม่ยอมลงมา... วัวในสมัยนั้นเป็นตัวแทนความอุดมสมบูรณ์ ให้นมเนย สามารถทำงานหนักในไร่นา วัวเป็นสัตว์ที่มีพลัง แข็งแรงและมีอิสระ พวกอิสราเอลจึงกราบไหว้ว่า เป็นพระเจ้าที่สามารถช่วยตนได้.... พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ต่างกับคนสมัยปัจจุบันที่แข่งขันกันสะสมเงินทองและสมบัติอีกมากมาย โดยลืมพระเป็นเจ้าและพระบัญญัติ 10 ประการ ทรงสอนเราให้รู้จักแบ่งปัน ช่วยเหลือคนอื่น เพื่อเกิดสันติสุขในครอบครัวและในสังคม... ความรุ่งเรืองของโลกและการพัฒนาที่ต้องดำเนินไปอย่างรวดเร็ว... มักมีคำถามเกิดขึ้นในใจของเราว่าทางสายกลางคืออะไร และการยึดมั่นในคำสอนของศาสนามีความสำคัญอย่างไร เมื่อเราต้องทำมาหากิน เลี้ยงชีพทุกๆ วัน... คำตอบคงไม่มี... ถ้าใจยังมีความสัมพันธ์อย่างเหนียวแน่นกับวัวทองคำ

วันพุธที่ 30 มีนาคม 2022 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                              อสย 49:8-15
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า“ในเวลาแห่งความโปรดปราน เราจะตอบท่าน ในวันแห่งความรอดพ้น เราจะช่วยเหลือท่าน เราจะปกป้องท่าน และให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร เพื่อทำให้แผ่นดินกลับเป็นเหมือนเดิม เพื่อจะคืนมรดกที่ถูกทำลายแล้วให้ท่าน บอกผู้ถูกจองจำว่า ‘จงออกมาเถิด’ บอกผู้ที่อยู่ในความมืดว่า ‘จงแสดงตัวเถิด’ เขาทั้งหลายจะเป็นเหมือนฝูงแกะที่หากินตามถนน และที่สูงโล่งจะเป็นทุ่งหญ้าของเขา เขาจะไม่หิวหรือกระหายอีก ลมร้อนและดวงอาทิตย์จะไม่ทำร้ายเขา เพราะพระองค์ผู้ทรงสงสารเขาจะทรงนำเขา จะทรงนำเขาไปยังพุน้ำ เราจะทำให้ภูเขาทุกลูกของเราเป็นทางเดิน ทางหลวงของเราจะอยู่บนที่สูง ดูซิ คนเหล่านี้จะมาจากแดนไกล บางคนจะมาจากทิศเหนือ บางคนจะมาจากทิศตะวันตก บางคนจะมาจากแผ่นดินซีนิม”
     ท้องฟ้าเอ๋ย จงโห่ร้องเถิด แผ่นดินเอ๋ย จงชื่นชมเถิด ภูเขาทั้งหลาย จงโห่ร้องด้วยความยินดี เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปลอบโยนประชากรของพระองค์ และทรงสงสารผู้มีความทุกข์ แต่ศิโยนพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงละทิ้งข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงลืมข้าพเจ้าแล้ว หญิงคนหนึ่งจะลืมบุตรที่ยังกินนม และจะไม่สงสารบุตรที่เกิดจากครรภ์ของนางได้หรือ แม้หญิงเหล่านี้จะลืมได้ เราจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย”

 

สดด 145:8-9,13คง-14,16-19

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                 ยน 5:17-30
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า “พระบิดาของเราทรงทำงานอยู่เสมอ เราก็ทำงานด้วยเช่นเดียวกัน” เพราะคำยืนยันนี้ ชาวยิวยิ่งพยายามจะฆ่าพระองค์ให้ได้ เพราะพระองค์ไม่เพียงแต่ละเมิดวันสับบาโตเท่านั้น แต่ยังทรงเรียกพระเจ้าเป็นพระบิดาของพระองค์อีกด้วย ซึ่งเป็นการทำตนเสมอพระเจ้า
     พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า พระบุตรไม่ทำสิ่งใดตามใจของตน แต่ทำเฉพาะสิ่งที่ได้เห็นพระบิดาทรงกระทำเท่านั้น เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทรงกระทำ พระบุตรก็ย่อมทำเช่นเดียวกัน เพราะพระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงแสดงให้พระบุตรเห็นทุกสิ่งที่ทรงกระทำ และจะทรงแสดงให้พระบุตรเห็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก เพื่อให้ท่านทั้งหลายรู้สึกประหลาดใจ พระบิดาทรงทำให้ผู้ตายกลับคืนชีวิต และประทานชีวิตให้ฉันใด พระบุตรก็ประทานชีวิตให้แก่ผู้ที่พอพระทัยฉันนั้น เพราะพระบิดาไม่ทรงพิพากษาผู้ใด แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งหมดให้พระบุตร เพื่อทุกคนจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระบุตร ดังที่เขาถวายพระเกียรติแด่พระบิดา ผู้ที่ไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบุตร ก็ไม่ถวายพระเกียรติแด่พระบิดาผู้ทรงส่งพระบุตรมา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่ฟังวาจาของเรา และมีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ก็ย่อมมีชีวิตนิรันดร และไม่ต้องถูกพิพากษา แต่เขาได้ผ่านจากความตายเข้าสู่ชีวิตแล้ว เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เวลานั้นกำลังจะมาถึง และขณะนี้ก็กำลังเริ่มแล้ว เมื่อผู้ตายจะได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตรพระเจ้า และผู้ที่ได้ยินแล้วจะมีชีวิต เพราะพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์ฉันใด พระองค์ก็ประทานให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองฉันนั้น พระบิดาได้ประทานให้พระบุตรมีอำนาจพิพากษา เพราะพระบุตรทรงเป็นบุตรแห่งมนุษย์ ท่านทั้งหลายอย่าแปลกใจในเรื่องนี้เลย เพราะถึงเวลาแล้วที่ทุกคนในหลุมศพ จะได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตร และจะออกมา ผู้ที่ได้ทำความดีจะกลับคืนชีวิตมารับชีวิตนิรันดร ส่วนผู้ที่ทำความชั่ว ก็จะกลับคืนชีวิตมารับโทษทัณฑ์ เราทำอะไรตามใจของเราไม่ได้ เราได้ยินมาอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้น และคำพิพากษาของเราก็ถูกต้อง เพราะเรามิได้แสวงหาที่จะทำตามใจของเรา แต่ทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”


ข้อคิด
     บทอ่านตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพุธคัดมาจากประกาศกอิสยาห์ ขณะนั้นชาวอิสราเอลตกเป็นทาสในกรุงบาบิโลน มีความทุกข์มาก อิสยาห์เป็นผู้นำจิตวิญญาณ จึงเทศน์สอนให้กำลังใจแก่พวกเขาให้คิดบวก ให้มองไปข้างหน้า วาดฝันถึงอนาคตที่ดีกว่าเพราะพระเจ้าทรงรักพวกเขา จะไม่ทรงทอดทิ้งพวกเขาอย่างแน่นอน... ในยุคโควิดมีสภาพไม่แตกต่างจากอดีต คนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมไม่ปกติเพราะกลัวโควิด ส่วนแพทย์และโรงพยาบาลถูกรุมล้อมด้วยประชาชนที่คิดไปว่าตัวเองมีเชื้อโควิดในร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนี้หมอต้องทำงานหนัก คนป่วยจริงๆ ก็ถูกละเลยจนเสียชีวิต จำนวนคนตายเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ.... พระวรสารวันนี้ เตือนใจเรา อย่ากลัวเกินเหตุ พระองค์เฝ้ามองเราจากสวรรค์และประทานสติปัญญาให้กับนักวิทยาศาสตร์ให้คันพบหนทางที่ดีที่สุด และอีกไม่นานทุกอย่างจะดี...เราต้องหยุดอาการวิตกจริตของเรา ปล่อยให้หมอมีเวลารักษาคนป่วยตัวจริงเถิด

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2022 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์                             อสย 65:17-21
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ดูซิ เราจะสร้างฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ จะไม่มีผู้ใดคิดถึงและจดจำเรื่องราวในอดีตอีก แต่จงร่าเริงและยินดีเสมอในสิ่งซึ่งเรากำลังจะสร้างขึ้น เพราะเรากำลังจะสร้างกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นความยินดี และสร้างประชากรของเมืองนั้นให้เป็นความชื่นบาน เราจะยินดีเพราะกรุงเยรูซาเล็ม และร่าเริงเพราะประชากรของเรา จะไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงร้องไห้ และเสียงคร่ำครวญในเมืองนั้นอีก ที่นั่นจะไม่มีทารกที่มีชีวิตเพียงสองสามวัน หรือคนชราที่ตายก่อนถึงกำหนด เพราะคนหนุ่มที่สุดจะตายเมื่อมีอายุหนึ่งร้อยปี ผู้ที่มีอายุไม่ถึงหนึ่งร้อยปีจะนับได้ว่าเป็นผู้ถูกสาปแช่ง เขาจะสร้างบ้านและจะเข้ามาอาศัย จะปลูกสวนองุ่นและจะกินผล”

 

สดด 30:1,3,4-5,10-11,12

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                ยน 4:43-54
     หลังจากนั้นสองวัน พระเยซูเจ้าทรงออกเดินทางต่อไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์เคยทรงประกาศไว้ว่า ประกาศกมักไม่ได้รับเกียรติในบ้านเมืองของตน แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีต้อนรับพระองค์อย่างดี เพราะเห็นการกระทำต่างๆ ของพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในระหว่างวันฉลองที่เขาไปร่วมด้วย
     พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง พระองค์เคยทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นที่นั่น ข้าราชการคนหนึ่งมีบุตรป่วยหนักอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม เขาได้ยินว่าพระเยซูเจ้าเสด็จจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลีแล้ว จึงมาเฝ้าพระองค์และทูลขอให้เสด็จไปรักษาบุตรของเขา ซึ่งใกล้จะสิ้นชีวิต พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายไม่เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์แล้ว ท่านจะไม่เชื่อเลย” ข้าราชการผู้นั้นทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดเสด็จไปก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะสิ้นใจเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ไปเถิด บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” ชายผู้นั้นเชื่อพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขา จึงเดินทางจากไป ขณะที่เขากำลังเดินทางกลับ ผู้รับใช้ของเขาออกมาพบ บอกว่าบุตรของเขาพ้นอันตรายแล้ว เขาซักถามถึงเวลาที่บุตรมีอาการดีขึ้น ผู้รับใช้ตอบว่า “เมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมงอาการไข้ก็หาย” บิดาจึงรู้ว่านั่นเป็นเวลาที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” เขากับทุกคนในครอบครัวจึงมีความเชื่อ
พระเยซูเจ้าทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งที่สองนี้หลังจากเสด็จกลับจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลี


ข้อคิด
     หมู่บ้านคานาเป็นตัวอย่างของหมู่บ้านอนุรักษ์นิยม ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเขาไม่ยอมรับพระเยซูเจ้าพระผู้สร้างฟ้าและแผ่นดิน มาบังเกิดในชุมชนของตน พระองค์มีความสามารถทำอัศจรรย์ได้ ให้แนวทางดำเนินชีวิตที่ดีกว่า แต่ชาวบ้านไม่ยอมรับ ที่สุดคนนอกหมู่บ้านที่เชื่อศรัทธาในพระองค์มาขอให้พระองค์ช่วยและบุตรของเขาก็หายป่วยพ้นขีดอันตราย

วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2022 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล                           อสค 47:1-9,12
     ในครั้งนั้น เขานำข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระวิหาร ข้าพเจ้าเห็นน้ำไหลออกมาจากใต้ธรณีประตูพระวิหารด้านตะวันออก เพราะพระวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก น้ำนี้ไหลลงมาจากใต้ด้านขวาของพระวิหาร ทางทิศใต้ของพระแท่นบูชา เขานำข้าพเจ้าออกไปทางประตูด้านเหนือ และพาข้าพเจ้าอ้อมภายนอกจนถึงประตูชั้นนอกซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ข้าพเจ้าเห็นว่าน้ำนี้ไหลออกมาทางด้านขวา ชายผู้นั้นเดินออกไปทางตะวันออก ถือเชือกวัดและวัดระยะทางหนึ่งพันศอก เขานำข้าพเจ้าลุยน้ำข้ามไป น้ำลึกเพียงตาตุ่ม เขาวัดระยะทางอีกหนึ่งพันศอกแล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำข้ามไป น้ำลึกถึงเข่า เขาวัดระยะทางอีกหนึ่งพันศอกแล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำข้ามไป น้ำนั้นลึกถึงบั้นเอว เขาวัดระยะทางอีกหนึ่งพันศอก บัดนี้เป็นแม่น้ำที่ข้าพเจ้าลุยข้ามไม่ได้ เพราะน้ำสูงขึ้นเป็นน้ำที่ต้องว่ายข้าม เป็นแม่น้ำที่ลุยข้ามไม่ได้ เขาถามข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านเห็นไหม” เขาจึงนำข้าพเจ้ากลับมาที่ฝั่งแม่น้ำ เมื่อข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นต้นไม้จำนวนมากบนฝั่งแม่น้ำทั้งสองฟาก เขาบอกข้าพเจ้าว่า “น้ำนี้ไหลไปทางทิศตะวันออก ลงไปถึงลุ่มแม่น้ำจอร์แดน เข้าไปในทะเล เมื่อไหลเข้าไปในทะเล ก็ทำให้น้ำทะเลจืด แม่น้ำนี้ไปถึงที่ใด สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวในนั้นก็จะมีชีวิต จะมีปลาจำนวนมาก เพราะน้ำนี้ไหลไปถึงที่ใด น้ำทะเลก็จืด แม่น้ำไหลไปถึงที่ใด ทุกสิ่งก็มีชีวิต ตามฝั่งทั้งสองฟากของแม่น้ำต้นไม้ผลทุกชนิดจะเจริญเติบโต ใบของมันจะไม่เหี่ยวแห้ง และผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ทุกเดือน เพราะน้ำที่หล่อเลี้ยงต้นไม้เหล่านี้ไหลมาจากสักการสถาน ผลของต้นไม้เหล่านี้ใช้เป็นอาหาร และใบก็ใช้เป็นยารักษาโรค”

 

สดด 46:1-2,3-4,5-6,7-8

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น                                  ยน 5:1-3ก,5-16
     หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็ถึงวันฉลองวันหนึ่งของชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ที่กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้กับประตูแกะ มีสระชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่าเบเธสดา มีระเบียงล้อมรอบอยู่ห้าด้าน ตามระเบียงเหล่านี้ มีผู้เจ็บป่วยนอนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต
     ที่นั่น มีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบว่าเขาป่วยมานาน จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านอยากจะหายป่วยไหม” ผู้ป่วยนั้นตอบว่า “ท่านขอรับ ไม่มีใครช่วยจุ่มข้าพเจ้าลงในสระเมื่อน้ำกระเพื่อม พอข้าพเจ้ามาถึง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ยกแคร่ที่นอนและเดินไปเถิด” ชายผู้นั้นก็หายเป็นปกติทันที เขายกแคร่ที่นอนและเริ่มเดินไป วันนั้นเป็นวันสับบาโต ชาวยิวจึงพูดกับชายที่หายป่วยนั้นว่า “วันนี้เป็นวันสับบาโต ท่านแบกแคร่ที่นอนไม่ได้” เขาจึงตอบว่า “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายป่วยบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงยกแคร่ที่นอนและเดินไปเถิด’” เขาเหล่านั้นถามว่า “คนนั้นเป็นใคร คนที่บอกท่านให้ยกแคร่ที่นอนและเดินไป” แต่ชายที่หายป่วยไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในหมู่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแล้ว ต่อมา พระเยซูเจ้าทรงพบชายผู้นั้นอีกในพระวิหาร จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้น เหตุร้ายกว่านี้จะเกิดขึ้นแก่ท่าน”
ชายผู้นั้นจากไปแล้วบอกชาวยิวว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้รักษาเขาให้หายป่วย 16ด้วยเหตุนี้ ชาวยิวจึงเริ่มเบียดเบียนพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ทรงกระทำการนี้ในวันสับบาโต


ข้อคิด
     วัดโดยทั่วไปเป็นที่พึ่งของคนในชุมชน ด้วยการเปิดโรงเรียน อบรมเด็กเยาวชน จัดตั้งชมรมคนศรัทธาให้ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ กิจการเหล่านี้เปรียบประดุจวิหารของพระเป็นเจ้าที่มีน้ำทรงชีวิตไหลออกจากประตูวัดเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่งบนโลก... ในยุคโควิดนี้ มีพระสงฆ์ไม่น้อยช่วยสอนสัตบุรุษให้รู้จักดูแลตัวเองสวมแมสก์เมื่อจะเข้าสังคม ล้างมือบ่อยๆ และอย่าใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น ถ้ามีไข้ตัวร้อนให้รีบกินยาแก้ไข้พร้อมกับฟ้าทะลายโจร ขิง หรือกระชายขาว อย่าเริ่มต้นด้วยการไปโรงพยาบาลเพราะมีคนป่วยมากเกินไปและหมอก็รับมือไม่ไหว

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2022 สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือโยชูวา                                         ยชว 5:9ก,10-12
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า “วันนี้ เราจะยกความอับอายขายหน้าของอียิปต์ไปจากท่านทั้งหลาย”
ชาวอิสราเอลตั้งค่ายที่กิลกาล และทำพิธีปัสกาในตอนเย็นของวันที่สิบสี่ของเดือน ณ บริเวณที่ราบเมืองเยรีโค วันถัดมาจากวันปัสกา เขาได้กินผลิตผลของแผ่นดิน ขนมปังไร้เชื้อและรวงข้าวย่างในวันเดียวกัน มานนาได้หยุดในวันถัดมาจากที่เขาได้กินผลผลิตจากแผ่นดิน ไม่มีมานนาอีกเลยสำหรับชาวอิสราเอล แต่ปีนั้นเขาได้กินผลิตผลของแผ่นดินคานาอัน

 

เพลงสดุดี                                                               สดด 34:1-2,3-4,5-6
     ก) ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดกาล
คำสรรเสริญพระองค์จะติดอยู่กับริมฝีปากของข้าพเจ้าเสมอ
จิตใจข้าพเจ้าจะภูมิใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า
บรรดาผู้ต่ำต้อยจงฟังและชื่นชมเถิด
     ข) จงประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าร่วมกับข้าพเจ้าเถิด
เราจงโห่ร้องถวายชัยแด่พระนามพระองค์พร้อมกัน
ข้าพเจ้าแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า
ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความกลัวทั้งหลาย
     ค) จงจับตาดูพระองค์ แล้วใบหน้าของท่านจะสดใส
ไม่มีวันจะต้องอับอายเลย
คนยากจนร้องทูล องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงฟัง
ทรงช่วยเขาให้รอดพ้นจากความคับแค้นทั้งหลาย

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง      2 คร 5:17-21
     พี่น้อง ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่ สภาพเก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว ทุกสิ่งมาจากพระเจ้า พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระองค์เดชะพระคริสตเจ้า และทรงมอบภารกิจการคืนดีนี้ให้เรา กล่าวคือ พระเจ้าทรงทำให้โลกคืนดีกับพระองค์ในองค์พระคริสตเจ้า พระองค์มิได้ทรงเอาผิดกับมนุษย์ แต่ทรงมอบให้เราประกาศสารแห่งการคืนดีนี้
     ดังนั้น เราจึงเป็นทูตแทนพระคริสตเจ้า ประหนึ่งว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้เชิญชวนท่านทั้งหลาย เราจึงขอร้องแทนพระคริสตเจ้าว่า จงยอมคืนดีกับพระเจ้าเถิด เพราะเห็นแก่เรา พระเจ้าจึงทรงทำให้พระองค์ผู้ไม่รู้จักบาปเป็นผู้รับบาป เพื่อว่าในพระองค์เราจะได้กลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                ลก 15:1-3,11-32
     เวลานั้น บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ต่างบ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา” พระองค์จึงตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้เขาฟัง
พระองค์ยังตรัสอีกว่า “ชายผู้หนึ่งมีลูกสองคน ลูกคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘พ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด’ บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน ต่อมาไม่นาน ลูกคนเล็กรวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังดินแดนห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพล ผลาญเงินทองจนหมดสิ้น
     เมื่อเขาหมดตัว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วดินแดนนั้น และเขาเริ่มขัดสน จึงไปรับจ้างอยู่กับชาวเมืองคนหนึ่ง คนนั้นใช้เขาไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา เขาอยากกินฝักถั่วที่หมูกินเพื่อระงับความหิว แต่ไม่มีใครให้ เขาจึงรู้สำนึกและคิดว่า ‘คนรับใช้ของพ่อฉันมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่ หิวจะตายอยู่แล้ว ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า ‘พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด’ เขาก็กลับไปหาพ่อ
     ขณะที่เขายังอยู่ไกล พ่อมองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา ลูกจึงพูดกับพ่อว่า ‘พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก’ แต่พ่อพูดกับผู้รับใช้ว่า ‘เร็วเข้า จงไปนำเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำแหวนมาสวมนิ้ว นำรองเท้ามาใส่ให้ จงนำลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก’ แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น
ส่วนลูกคนโตอยู่ในทุ่งนา เมื่อกลับมาใกล้บ้าน ได้ยินเสียงดนตรีและการร้องรำ จึงเรียกผู้รับใช้คนหนึ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้รับใช้บอกเขาว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาแล้ว พ่อสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว เพราะเขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย’ ลูกคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน พ่อจึงออกมาขอร้องให้เข้าไป แต่เขาตอบพ่อว่า ‘ลูกรับใช้พ่อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อเลย พ่อก็ไม่เคยให้ลูกแพะแม้แต่ตัวเดียวแก่ลูกเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ แต่พอลูกคนนี้ของพ่อกลับมา เขาคบหญิงเสเพล ผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อจนหมด พ่อยังฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วให้เขาด้วย’
พ่อพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก แต่จำเป็นต้องเลี้ยงฉลองและชื่นชมยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก’”

 

ข้อคิด
     พันธนาการที่จำกัดสิทธิของเราในยุคปัจจุบัน ได้แก่ โรคโควิด ความเจ็บป่วย ไม่สามารถเข้าสังคมได้ง่ายเหมือนแต่ก่อน ธุรกิจจำนวนมากล้มละลาย คนทั้งโลกอยู่ในความหวาดกลัวและความยากจน... สิ่งที่ทุกคนรอคอย คือ อยากให้มีใครคนหนึ่งช่วยปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากพันธนาการนี้ เพื่อเราจะสามารถดำเนินชีวิตเป็นปกติและทำกินในแผ่นดินของเรา... พระเยซูเจ้าเล่านิทานเปรียบเทียบถึงลูกที่ต้องการเปลี่ยนชีวิตใหม่ แม้จะต้องแปลงร่างเป็นคนรับใช้ของบิดาก็ยินยอมจะทำ คิดได้ดังนั้นแล้วก็เดินทางกลับไปหาบิดาและเริ่มต้นปฏิบัติตามแผนที่วางไว้... บทสอนนิทานเรื่องนี้ คือเขาได้รับการต้อนรับอย่างดีเกินความคาดหมาย...นิทานเรื่องนี้ยังสอนว่า ใครที่ต้องการชนะอุปสรรคต้องกล้าเปลี่ยนแปลง วางแผนใหม่และลงมือปฏิบัติ แม้จะต้องดำเนินชีวิตที่สุภาพต่ำต้อยกว่า เพราะสวรรค์มีตาและมีพระพรช่วยสนับสนุนเกินกว่าที่เราคาดคิด... ท่านลองยอมอยู่กับบ้านมากขึ้น เรียนรู้วิธีใช้ ON LINE สอนนักเรียน ขายสินค้า ON LINE ติดต่อซื้อของทางโทรศัพท์ เป็นต้น... ชีวิตจะดีขึ้นแน่นอน

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown