มีข้อผิดพลาด
  • JLIB_DATABASE_ERROR_FUNCTION_FAILED

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2022 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่สอง                     2 พกษ 5:1-15
      นาอามานผู้บัญชาการกองทัพของกษัตริย์แห่งอารัม เป็นคนสำคัญที่กษัตริย์ทรงยกย่องนับถืออย่างยิ่ง เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานชัยชนะแก่ชาวอารัมโดยทางเขา แต่ชายฉกรรจ์ผู้นี้ป่วยเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง ครั้งหนึ่ง เมื่อชาวอารัมออกไปปล้นแผ่นดินอิสราเอล เขาจับเด็กหญิงคนหนึ่งมาด้วย เด็กหญิงคนนั้นมาเป็นสาวใช้ของภรรยานาอามาน เธอบอกนายหญิงว่า “ถ้าเจ้านายผู้ชายเพียงแต่ไปหาประกาศกที่กรุงสะมาเรีย ประกาศกคงจะรักษาเจ้านายให้หายจากโรคได้” นาอามานไปเฝ้ากษัตริย์ ทูลว่า เด็กหญิงจากแผ่นดินอิสราเอลบอกอย่างนี้ กษัตริย์แห่งอารัมตรัสตอบว่า “ไปเถิด เราจะส่งสารไปถวายกษัตริย์แห่งอิสราเอล” นาอามานจึงออกเดินทางไป นำเงินหนักสามร้อยกิโลกรัม ทองคำหนักหกพันบาท พร้อมกับเสื้อผ้าอย่างดีสิบชุดไปด้วย เขานำสารไปถวายกษัตริย์แห่งอิสราเอลมีความว่า “พร้อมกับสารนี้ ข้าพเจ้าส่งนาอามานผู้รับใช้คนหนึ่งของข้าพเจ้ามาเฝ้าพระองค์ เพื่อให้พระองค์ทรงรักษาเขาให้หายจากโรค” เมื่อกษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงอ่านสารนั้นแล้ว ก็ทรงฉีกฉลองพระองค์ ตรัสว่า “ข้าเป็นพระเจ้า มีอำนาจให้ชีวิตหรือความตายได้กระนั้นหรือ เขาจึงส่งคนมาให้ข้ารักษา ดูซิ เห็นได้ชัดว่า เขาพยายามจะหาเรื่องกับข้า”
      เมื่อเอลีชาคนของพระเจ้าได้ยินว่ากษัตริย์ทรงฉีกฉลองพระองค์ ก็ส่งคนไปทูลกษัตริย์ว่า “พระองค์ทรงฉีกฉลองพระองค์ทำไม ขอพระองค์ทรงส่งชายคนนั้นมาหาข้าพเจ้า แล้วเขาจะรู้ว่ามีประกาศกในอิสราเอล” นาอามานจึงขึ้นรถม้าไปหยุดที่ประตูบ้านของเอลีชา เอลีชาใช้คนไปบอกเขาว่า “จงไปชำระตัวในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง แล้วเนื้อหนังของท่านจะหายจากโรคและสะอาดเหมือนเดิม” นาอามานโกรธมากจึงจากไป กล่าวว่า “ดูซิ ข้าพเจ้าคิดว่า อย่างน้อยเขาจะออกมายืนเรียกขานพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเขา ใช้มือโบกตรงที่เป็นโรค และรักษาโรคให้หาย แม่น้ำอาบานาและปารปาร์ที่กรุงดามัสกัสไม่ดีไปกว่าน้ำทั้งหมดในอิสราเอลดอกหรือ ทำไมข้าพเจ้าจึงไม่ชำระตัวในแม่น้ำเหล่านั้นและหายจากโรค” เขาหันหลังกลับไปด้วยความโกรธ บรรดาผู้รับใช้ของเขาเข้ามาเตือนว่า “นายขอรับ ถ้าประกาศกบอกท่านให้ทำสิ่งยาก ท่านก็คงจะทำตามไม่ใช่หรือ บัดนี้ เขาบอกแต่เพียงว่า จงไปชำระตัว แล้วท่านจะหายจากโรค” นาอามานจึงลงไปจุ่มตัวในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้งตามที่คนของพระเจ้าบอก แล้วเนื้อหนังของเขาก็หายจากโรค สะอาดเหมือนผิวของเด็กเล็กๆ
     นาอามานกับผู้ติดตามทุกคนกลับไปหาคนของพระเจ้า มายืนต่อหน้าเขา กล่าวว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดทั่วแผ่นดิน นอกจากพระเจ้าของอิสราเอลเท่านั้น ขอท่านกรุณารับของกำนัลจากผู้รับใช้ของท่านเถิด”

 

สดด 42:1-2,43:3,4

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                     ลก 4:24-30
     เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ พระองค์ตรัสกับประชาชนในศาลาธรรมว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน
เราบอกความจริงอีกว่า ในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน และเกิดความอดอยากครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงม่ายหลายคนในอิสราเอล แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศกเอลียาห์ไปหาหญิงม่ายเหล่านี้ นอกจากหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน ในสมัยประกาศกเอลีชา มีคนโรคเรื้อนหลายคนในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายจากโรค นอกจากนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น”

     เมื่อคนที่อยู่ในศาลาธรรมได้ยินเช่นนี้ ทุกคนโกรธเคืองยิ่งนัก จึงลุกขึ้นขับไล่พระองค์ออกไปจากเมือง นำไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักพระองค์ลงไป แต่พระองค์ทรงดำเนินฝ่ากลุ่มคนเหล่านั้น แล้วเสด็จจากไป


ข้อคิด
     วิธีคิดสองรูปแบบ...

1. เกิดมาเพื่อหาเงินทอง หาอำนาจ เกียรติยศชื่อเสียง และสวดมนต์ขอพระเจ้าให้ได้สิ่งที่ตนปรารถนาเพื่อหลีกเลี่ยงงานหนัก...

2. พระคัมภีร์วันนี้กล่าวถึงแม่น้ำจอร์แดนที่ใช้เป็นเส้นแบ่งระหว่างชีวิตคนตกเป็นทาสฝ่ายโลกและชีวิตใหม่ในพระเจ้า... คำสอนนี้ยืนยันว่า ความเชื่อศรัทธาต่อผู้แทนของพระเจ้าได้ช่วยหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทและนาอามานชาวซีเรียให้พ้นจากความทุกข์ที่รุมเร้าอยู่

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2022 สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสืออพยพ                                          อพย 3:1-8ก,13-15
     เวลานั้น โมเสสเลี้ยงฝูงแพะแกะของเยโธรผู้เป็นพ่อตาและสมณะแห่งมีเดียน วันหนึ่งเขาต้อนฝูงแพะแกะข้ามถิ่นทุรกันดารไปถึงโฮเรบภูเขาของพระเจ้า ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาเป็นเปลวไฟลุกอยู่กลางพุ่มไม้ โมเสสมองดูก็เห็นว่าพุ่มไม้นั้นลุกเป็นไฟ แต่ไม่มอดไหม้ จึงคิดว่า “ฉันจะเข้าไปดูเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ใกล้ๆ ทำไมพุ่มไม้นั้นไม่มอดไหม้” องค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาเข้ามาดูใกล้ๆ จึงตรัสเรียกเขาจากกลางพุ่มไม้ว่า “โมเสส โมเสส” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” พระองค์ตรัสห้ามว่า “อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้ จงถอดรองเท้าออก เพราะสถานที่ที่ท่านยืนอยู่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์” พระองค์ยังตรัสอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ” โมเสสยกมือขึ้นปิดหน้า ไม่กล้ามองดูพระเจ้า
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราสังเกตเห็นความทุกข์ยากของประชากรของเราในอียิปต์ เราได้ยินเสียงร้องเพราะความทารุณของนายงาน เรารู้ดีถึงความทุกข์ทรมานของเขา เราลงมาช่วยเขาให้พ้นมือชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากแผ่นดินนั้น ไปสู่แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์และกว้างใหญ่ ไปยังแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์
     โมเสสทูลพระเจ้าว่า “เมื่อข้าพเจ้าไปหาชาวอิสราเอลแล้วบอกเขาว่า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงส่งข้าพเจ้ามาหาท่าน ถ้าเขาถามข้าพเจ้าว่า ‘พระองค์ทรงพระนามว่าอะไร’ ข้าพเจ้าจะตอบเขาอย่างไร” พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ที่เราเป็น” แล้วตรัสต่อไปว่า “ท่านต้องบอกชาวอิสราเอลดังนี้ว่า ‘เราเป็น’ ทรงส่งข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย” พระเจ้าตรัสกับโมเสสอีกว่า ท่านต้องบอกชาวอิสราเอลดังนี้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงส่งข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย นามนี้จะเป็นนามของเราตลอดไป ชนรุ่นต่อๆ ไปจะต้องเรียกเราด้วยนามนี้”

 

เพลงสดุดี                                                              สดด 103:1-2,3-4,6-7,8 และ 11
     ก) จิตใจข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
ส่วนลึกของข้าพเจ้า จงถวายพระพรแด่พระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
จิตใจข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด
จงอย่าลืมพระคุณต่างๆ ที่พระองค์ประทานให้
     ข) พระองค์ประทานอภัยความผิดทั้งหลายของท่าน
ทรงรักษาโรคภัยทั้งหมดของท่าน
ทรงช่วยชีวิตท่านให้พ้นจากเหวลึก
ประทานความรักมั่นคงและพระเมตตาเป็นดังมงกุฎแก่ท่าน
     ค) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิบัติด้วยความเที่ยงธรรม
ประทานความยุติธรรมต่อทุกคนที่ถูกข่มเหง
ทรงสำแดงให้โมเสสรู้ทางของพระองค์
ทรงสำแดงให้บรรดาบุตรของอิสราเอลเห็นพระราชกิจของพระองค์
     ง) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระกรุณาและทรงเมตตาสงสาร
กริ้วช้า ทรงความรักมั่นคงอย่างเต็มเปี่ยม
ท้องฟ้าสูงกว่าแผ่นดินเพียงใด
ความรักมั่นคงของพระองค์ต่อผู้ยำเกรงพระองค์ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง      1 คร 10:1-6,10-12
     พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านรู้ว่าบรรพบุรุษทุกคนของเราได้อยู่ใต้เมฆ และทุกคนข้ามทะเลไป ทุกคนรับการล้างในเมฆและในทะเลเข้าร่วมกับโมเสส ทุกคนกินอาหารฝ่ายจิตอย่างเดียวกัน ทุกคนดื่มเครื่องดื่มฝ่ายจิตอย่างเดียวกัน เพราะพวกเขาดื่มน้ำจากศิลาฝ่ายจิตซึ่งติดตามพวกเขาไป ศิลานั้นคือพระคริสตเจ้า แม้กระนั้น พระเจ้าก็มิได้พอพระทัยคนส่วนใหญ่เหล่านั้น พวกเขาล้มตายเกลื่อนกลาดอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเป็นตัวอย่างสำหรับเรา มิให้เราปรารถนาสิ่งชั่วร้ายดังที่เขาปรารถนา
     ท่านทั้งหลายจงอย่าบ่นเหมือนที่เขาบางคนบ่นแล้วพินาศไปโดยน้ำมือขององค์ผู้ทำลาย เหตุการณ์เหล่านี้บังเกิดขึ้นกับพวกเขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และมีบันทึกไว้เพื่อเตือนสติเราซึ่งกำลังเผชิญกับวาระสุดท้ายของยุค ดังนั้น ผู้ที่คิดว่าตนยืนหยัดมั่นคงอยู่ พึงระวังอย่าให้ล้ม

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                ลก 13:1-9
     ในเวลานั้น คนบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าถึงเรื่องชาวกาลิลีซึ่งถูกปีลาตสั่งประหารชีวิตในขณะที่เขากำลังถวายเครื่องบูชา พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า “ท่านคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านี้เป็นคนบาปมากกว่าชาวกาลิลีทุกคนหรือ จึงต้องถูกฆ่าเช่นนี้ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นกัน แล้วคนสิบแปดคนที่ถูกหอสิโลอัมพังทับเสียชีวิตเล่า ท่านคิดว่าคนเหล่านั้นมีความผิดมากกว่าคนอื่นทุกคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มหรือ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นเดียวกัน”
     พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมาเรื่องนี้ว่า “ชายผู้หนึ่งปลูกต้นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งในสวนองุ่นของตน เขามามองหาผลที่ต้นนั้น แต่ไม่พบ จึงพูดกับคนสวนว่า ‘ดูซิ สามปีแล้วที่ฉันมองหาผลจากมะเดื่อเทศต้นนี้แต่ไม่พบ จงโค่นมันเถิด เสียที่เปล่าๆ’ แต่คนสวนตอบว่า ‘นายครับ ปล่อยมันไว้อีกสักปีหนึ่งเถิด ผมจะพรวนดินรอบต้น ใส่ปุ๋ย ดูซิว่าปีหน้ามันจะออกผลหรือไม่ ถ้าไม่ออกผล ท่านจะโค่นทิ้งเสียก็ได้’”

 

ข้อคิด
     ความทุกข์เป็นพลังอันหนึ่งช่วยคนให้พบชีวิตไหม่.... เมื่ออิสราเอลถูกกดยี่ซ่มเหงในแผ่นดินอียิปต์พระเป็นเจ้าก็บังเกิดความสงสาร หาหนทางช่วยพวกเขาให้พันจากการเป็นทาส และมอบแผ่นดินใหม่ให้ยึดครอง... 2. ชาวกาลิลีถูกประหารชีวิต เป็นเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงใช้เพื่อเตือนใจทุกคนให้ละทิ้งชีวิตชั่วร้ายและกลับใจดำเนินชีวิตใหม่... 3. ผู้ไม่อดทนชอบบ่นเมื่อมีปัญหา หรือเป็นทุกข์ร้อนใจเมื่อผิดพลาดไม่สมหวัง ความประพฤติเช่นนี้ทำให้คนหมดกำลังใจที่จะมีชีวิตต่อไป....ใครๆ ก็ทราบดีว่าปัญหามีไว้เพื่อกระตุ้นคนให้สู้ชีวิต มิใช่เป็นอาวุธทำลายล้าง

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2022 น.ซีริลแห่งเยรูซาเล็ม พระสังฆราชและนักปราชญ์

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล                                        ปฐก 37:3-4,12-13ก,17ข-28
     ยาโคบรักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอื่นๆ เพราะโยเซฟเกิดมาเมื่อยาโคบชราแล้ว ยาโคบตัดเสื้อยาวที่สวยเป็นพิเศษให้โยเซฟ เมื่อพี่ชายเห็นว่าบิดารักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอื่นๆ ต่างก็เกลียดชังเขามากจนไม่ยอมพูดดีด้วย
พี่ชายของโยเซฟไปเลี้ยงแพะแกะของบิดาในบริเวณเมืองเชเคม อิสราเอลบอกโยเซฟว่า “พี่ๆ ของลูกกำลังเลี้ยงแพะแกะอยู่ที่เชเคม มาซิ พ่อจะส่งลูกไปพบเขา” โยเซฟจึงตามไปพบพี่ชายที่เมืองโดธาน
พี่ชายเห็นโยเซฟแต่ไกลก่อนที่โยเซฟจะมาถึง จึงวางแผนจะฆ่าเสีย เขาปรึกษากันว่า “ดูซิ เจ้าคนช่างฝันมาแล้ว มาเถิด เราจงฆ่ามัน โยนศพมันลงไปในบ่อ แล้วบอกว่า สัตว์ป่ากัดกินมันแล้ว เราจะได้เห็นกันว่า ฝันของมันจะเป็นจริงเพียงใด”
รูเบนได้ยินเข้าก็หาทางจะช่วยโยเซฟให้พ้นจากมือน้องๆ ของตน จึงพูดว่า “อย่าถึงกับเอาชีวิตกันเลย” รูเบนยังเสริมอีกว่า “อย่าหลั่งเลือดเลย เพียงแต่โยนมันทิ้งไว้ในบ่อในถิ่นทุรกันดารก็พอแล้ว อย่าทำร้ายมันเลย” รูเบนแนะนำเช่นนี้เพื่อช่วยโยเซฟให้พ้นจากมือของพี่ชาย แล้วจะนำไปส่งคืนให้บิดา เมื่อโยเซฟมาถึง พี่ชายก็ช่วยกันจับเขาถอดเสื้อยาวที่สวยเป็นพิเศษซึ่งเขาสวมอยู่ แล้วโยนเขาลงไปในบ่อ บ่อนั้นแห้งไม่มีน้ำ แล้วพี่ชายทุกคนก็นั่งลงกินอาหาร
ทันใดนั้น เขาเงยหน้าขึ้น เห็นกองคาราวานของชาวอิชมาเอลกำลังเดินทางมาจากแคว้นกิเลอาดจะไปอียิปต์ มีอูฐบรรทุกยางสน เครื่องเทศ และยางไม้หอมมาด้วย ยูดาห์จึงแนะนำพี่น้องว่า “ถ้าเราฆ่าน้อง และกลบเลือดไว้ จะได้อะไรขึ้นมาเล่า เราจงขายน้องแก่ชาวอิชมาเอลดีกว่า เราจะได้ไม่ต้องทำร้ายเขา เพราะเขาก็ยังเป็นน้องและเป็นสายเลือดเดียวกันกับเรา” พี่น้องทุกคนก็เห็นด้วย
เวลานั้น พ่อค้าชาวมีเดียนผ่านมา พี่ๆ จึงดึงโยเซฟขึ้นจากบ่อ แล้วขายให้แก่ชาวอิชมาเอลเป็นราคาเงินหนักยี่สิบบาท พ่อค้าเหล่านี้จึงพาโยเซฟไปอียิปต์

 

สดด 105:16-18,19,20-22

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว                                   มธ 21:33-43,45-46
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกมหาปุโรหิตและผู้อาวุโสของประชาชนว่า
“ท่านทั้งหลาย จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำรั้วล้อม ขุดบ่อย่ำองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผู้รับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต แต่คนเช่าสวนได้จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำนวนมากกว่าพวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำกับพวกนี้เช่นเดียวกัน ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งบุตรชายของตนไปพบคนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเถิด เราจะได้มรดกของเขา’ เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย ดังนี้ เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำอย่างไรกับคนเช่าสวนพวกนั้น”
     บรรดาผู้ฟังตอบว่า “เจ้าของสวนจะกำจัดพวกใจอำมหิตนี้อย่างโหดเหี้ยม และจะยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำหนดเวลา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านมิได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่า
หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น
ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนั้น
เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก
ดังนั้น เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทั้งหลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติอื่นที่จะทำให้บังเกิดผล”
เมื่อบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ยินอุปมาเหล่านี้ก็เข้าใจว่า พระองค์ตรัสถึงพวกเขา จึงพยายามจับกุมพระองค์ แต่ยังเกรงประชาชน เพราะประชาชนนับถือพระองค์เป็นประกาศก


ข้อคิด
     อุปนิสัยมนุษย์ในสองรูปแบบ

1. คนใจดี มักมีใจรักเพื่อนพี่น้อง หาของดีๆ มอบให้คนอื่นช่วยเหลือผู้อ่อนแอ พัฒนาที่ทำกินของตนและแบ่งให้คนจนเข้าทำประโยชน์ เขาเป็นคนช่วยเหลือผู้ตกทุกข์เสมอ...
2. คนใจร้าย มีนิสัยขี้อิจฉา ชอบหาเรื่องทำร้ายผู้อื่นที่ดีกว่าตน บางทีก็ฆ่าทำร้ายกัน... แต่สิ่งที่ทุกคนลืมไป คือ พระเจ้าบนสวรรค์เฝ้ามองดูอยู่และประทานความยุติธรรมให้กับทั้งสองฝ่าย

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2022 สมโภชนักบุญโยเซฟ ภัสดาของพระนางพรหมจารีมารีย์

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง                         2 ซมอ 7:4-5ก,12-14ก,16
     ในคืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่นาธันว่า“จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ท่านจะไม่เป็นผู้สร้างวิหารให้เราอยู่ เมื่อท่านสิ้นชีวิตในวัยชรา และถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษแล้ว เราจะตั้งเชื้อสายคนหนึ่งของท่าน ซึ่งเป็นบุตรของท่าน ให้เป็นกษัตริย์ต่อจากท่าน เราจะพิทักษ์รักษาอาณาจักรของเขาให้มั่นคง เขาจะเป็นผู้สร้างวิหารให้แก่นามของเรา เราจะดูแลให้ลูกหลานของเขาเป็นกษัตริย์ครองราชย์ตลอดไป เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ราชวงศ์และอาณาจักรของท่านจะมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราตลอดไป อำนาจปกครองของท่านจะตั้งมั่นอยู่ตลอดไป’”

 

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม      รม 4:13,16-18,22
     พระสัญญาที่ประทานให้อับราฮัมและลูกหลานที่ว่าเขาจะได้ครอบครองโลกเป็นมรดกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมบัญญัติ แต่เกิดขึ้นโดยความชอบธรรมอันเนื่องมาจากความเชื่อ
เพราะเหตุนี้ การรับมรดกโดยอาศัยพระสัญญาจึงมาจากความเชื่อ เพื่อให้พระสัญญาเป็นของประทานที่ให้เปล่า และประทานให้เชื้อสายทั้งหมดของอับราฮัม มิใช่เพียงให้ผู้ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติเท่านั้น แต่รวมถึงเชื้อสายทุกคนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมซึ่งเป็นบิดาของเราทุกคนด้วย ดังที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า เราได้ตั้งเจ้าให้เป็นบิดาของประชาชาติจำนวนมาก อับราฮัมเป็นบิดาของเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าที่อับราฮัมเชื่อ และทรงเป็นผู้นำคนตายให้คืนชีพ และทรงทำให้สิ่งที่ยังไม่มีภาวะความเป็นอยู่ได้มีภาวะความเป็นอยู่
      แม้ดูเหมือนจะไม่มีความหวัง แต่อับราฮัมก็หวังและเชื่อว่า เขาจะเป็นบิดาของประชาชาติจำนวนมากสมจริงตามพระสัญญาที่ว่า ลูกหลานของเจ้าจะมีจำนวนมากเช่นนั้น นี่คือความเชื่อซึ่งนับได้ว่าเป็นความชอบธรรมสำหรับเขา

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                 ลก 2:41-51ก
     โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก เมื่อไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น
      ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการตอบคำถาม เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำกับเราเช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก” โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสอง

 

ข้อคิด
     บุคคลที่จะปกครองโลก วันนี้เป็นวันฉลองนักบุญโยเซฟ... การดำเนินชีวิตของท่านยังเป็นตันแบบสำหรับคนทุกวันนี้...ท่านเชื่อศรัทธาในพระเจ้า ปฏิบัติตามคำดลใจของพระแม้จะขัดใจตน ท่านดำเนินชีวิตพออยู่ พอกิน เพื่อให้เวลาอภิบาลแม่พระและพระเยซูเจ้า... อับราฮัมก็มีอุปนิสัยคล้ายกัน ท่านเดินทางออกจากครอบครัวและที่อยู่อาศัยที่ให้ความสะดวกสบาย เดินทางแสวงหาดินแดนใหม่ที่พระเจ้าทรงไขแสดงในระหว่างทาง ท่านมีฝูงสัตว์ติดตามไปด้วย อาชีพนี้ก็เหมาะกับคนเดินทางเคลื่อนย้าย ตลอดทางท่านถวายสักการบูชาขอบคุณพระเป็นเจ้าเป็นระยะๆ... คำสัญญาที่ว่าจะมีลูกหลานมากมายเป็นแรงบันดาลใจให้ท่าน นักบุญโยเซฟและอับราฮัมไม่ท้อถอย มีจิตใจสู้ชีวิตทุกๆ วัน

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2022 น.ปาตริก พระสังฆราช

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์                             ยรม 17:5-10
     องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “คนที่วางใจในมนุษย์ย่อมถูกสาปแช่ง เขาพึ่งพลังของมนุษย์ ใจของเขาหันออกจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเป็นเหมือนพุ่มไม้ในถิ่นทุรกันดาร ไม่เห็นความดีใดๆ ที่มาถึง เขาจะอาศัยอยู่ในที่แห้งแล้งของถิ่นทุรกันดาร ในแผ่นดินเค็มที่ไม่มีผู้คนอาศัย
      คนที่วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมได้รับพระพร องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความหวังของเขา เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากออกไปที่ลำน้ำ เมื่อความร้อนมาถึง เขาก็ไม่กลัว ใบของเขาคงเขียวอยู่เสมอ เขาจะไม่กังวลใจในปีที่แห้งแล้ง จะไม่หยุดออกผล
      จิตใจหลอกลวงมากกว่าสิ่งอื่นทั้งหมด ไม่อาจแก้ไข ผู้ใดจะรู้จักใจได้ เรา องค์พระผู้เป็นเจ้า สำรวจจิต และทดสอบใจ เพื่อจะตอบแทนแต่ละคนตามความประพฤติของเขา”

 

สดด 1:1-6

 

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา                                   ลก 16:19-31
     เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวฟาริสีว่า “เศรษฐีผู้หนึ่ง แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน คนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐี (22)มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้ เศรษฐีซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก จึงร้องตะโกนว่า ‘ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้’ แต่อับราฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดีๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลวๆ บัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย’
     เศรษฐีจึงพูดว่า ‘ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก เพราะลูกยังมีพี่น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย’ อับราฮัมตอบว่า ‘พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด’ แต่เศรษฐีพูดว่า ‘มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ’ อับราฮัมตอบว่า ‘ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ’”


ข้อคิด
     เหวกั้นระหว่างคนรวยกับคนจน... คนทั่วไปมักแสวงหาเงินทอง เกียรติยศ การเป็นเจ้าของสมบัติมากมาย และอำนาจที่จะครอบครองแผ่นดิน แต่ทุกอย่างจบลงด้วยความตาย ไม่มีใครที่จะเอาตัวรอดได้... ชีวิตของคนรวยและของคนจนเป็นสองแบบที่ยากจะพบกันบนโลกนี้และโลกหลังความตาย... นิทานในพระคัมภีร์วันนี้ต้องการจะบอกคนรวยและคนจนว่า มีเหวใหญ่ที่แบ่งแยกคนทั้งสองฝ่ายระหว่างคนรวยและคนจน ...ทั้งสองไม่ช่วยเหลือกัน..มีคำเตือนอีกตอนหนึ่งความว่า "จูงอูฐรอดรูเข็ม ยังง่ายกว่าพาเศรษฐีเข้าสวรรค์"

Catholic.or.th All rights reserved.

Select style: Red Brown