วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน 2020 ระลึกถึง น.มาร์ติน แห่งตูร์ พระสังฆราช
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนพฤศจิกายน 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์, 14 สิงหาคม 2563 07:43
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 1155
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิตัส ทต 3:1-7
พี่น้อง จงตักเตือนเขาเหล่านั้นให้อยู่ใต้อำนาจและเชื่อฟังเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ พร้อมที่จะทำความดีทุกประการ ไม่กล่าวร้ายผู้ใด หลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาท มีความอดกลั้นและสุภาพอ่อนโยนต่อทุกคน ในอดีต เราเคยเป็นคนโง่ ไม่เชื่อฟัง และหลงผิด เป็นทาสของกิเลสตัณหาและความหลงระเริงต่างๆ ขณะนั้นเราดำเนินชีวิตอย่างชั่วร้าย มีความอิจฉาริษยา น่ารังเกียจและเกลียดชังกัน
แต่เมื่อพระเจ้าพระผู้ไถ่ของเราทรงแสดงพระทัยดีและความรักต่อมนุษย์ พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นมิใช่เพราะกิจการชอบธรรมใดๆ ที่เราทำ แต่เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ ทรงใช้น้ำชำระเราให้สะอาด เราจึงเกิดใหม่และได้รับการฟื้นฟูโดยพระจิตเจ้า พระองค์ทรงหลั่งพระจิตเจ้าลงเหนือเราอย่างอุดมโดยทางพระเยซูคริสตเจ้าพระผู้ไถ่ของเรา เพื่อพระหรรษทานของพระองค์จะบันดาลให้เรากลับเป็นผู้ชอบธรรมและเป็นทายาทในความหวังว่าจะได้ชีวิตนิรันดร
สดด 28:1-6
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 17:11-19
ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มนั้น พระองค์เสด็จผ่านแคว้นสะมาเรียและกาลิลี เมื่อเสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนโรคเรื้อนสิบคนเข้ามาเฝ้าพระองค์ ยืนอยู่ห่างๆ ร้องตะโกนว่า “พระเยซู พระอาจารย์ โปรดสงสารพวกเราเถิด” พระองค์ทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสกับเขาว่า “จงไปแสดงตนแก่บรรดาสมณะเถิด” ขณะที่เขากำลังไป เขาก็หายจากโรค คนหนึ่งในสิบคนนี้ เมื่อพบว่าตนหายจากโรคแล้ว ก็กลับมา พลางร้องตะโกนสรรเสริญพระเจ้า ซบหน้าลงแทบพระบาท ขอบพระคุณพระองค์ เขาผู้นี้เป็นชาวสะมาเรีย พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ทั้งสิบคนหายจากโรคมิใช่หรือ อีกเก้าคนอยู่ที่ใด ไม่มีใครกลับมาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้านอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว”
ข้อคิด
"ความเชื่อของท่านได้ทำให้ท่านรอดแล้ว" ความเชื่อที่องค์พระคริสตเจ้าหมายถึงนั้น คือความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเป็นคนต่างชาติเพียงคนเดียวในกลุ่มคนโรคเรื้อนที่หายจากโรค การที่เขากลับมาเพื่อขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้านั้นคือความเชื่อที่ทำให้เขาหาย และไม่ได้เพียงแต่หายจากโรคเรื้อนเท่านั้น แต่หายจากความไม่รู้จักพระเจ้า จากความไม่เชื่อในพระเจ้า และกลับมาโดยระลึกว่า เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทำให้เขาหายจากโรคเรื้อน เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาให้เหมือนกับตายไปแล้ว
เกิดใหม่ การขอบคุณพระเจ้าในสิ่งต่างๆ ที่เราได้รับมาในชีวิต เป็นเครื่องหมายของความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และจะลึกซึ้งมากขึ้นทุกวัน เมื่อเราภาวนาขอบพระคุณ
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน 2020 ระลึกถึง น.โยซาฟัต พระสังฆราชและมรณสักขี
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนพฤศจิกายน 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์, 14 สิงหาคม 2563 07:40
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 1151
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงฟิเลโมน ฟม 1:7-20
น้องรัก ความรักของท่านทำให้ข้าพเจ้ายินดีและได้รับกำลังใจอย่างมาก เพราะท่านนำความสงบสุขมาสู่ดวงใจของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์
เดชะพระคริสตเจ้า แม้ว่าข้าพเจ้ามีอำนาจจะสั่งท่านให้ทำสิ่งใดก็ได้ แต่ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะขอร้องให้ท่านทำด้วยความรักมากกว่า ผู้ที่ขอร้องนี้คือข้าพเจ้า เปาโล ซึ่งเป็นคนชราและขณะนี้เป็นนักโทษเนื่องจากพระคริสตเยซูด้วย ข้าพเจ้าขอร้องท่านเพื่อบุตรคนหนึ่งของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าได้ให้กำเนิด ขณะที่ถูกจองจำคือโอเนสิมัส ในอดีต เขาไม่มีประโยชน์ใดต่อท่าน แต่ขณะนี้ เขามีประโยชน์ทั้งต่อท่านและต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากำลังส่งเขากลับไปหาท่าน นั่นคือข้าพเจ้าส่งดวงใจของข้าพเจ้าไปด้วย อันที่จริงแล้ว ข้าพเจ้าต้องการให้เขาอยู่กับข้าพเจ้าที่นี่ เขาจะได้รับใช้ข้าพเจ้าแทนท่านขณะที่ข้าพเจ้าถูกจองจำเพราะข่าวดี แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการทำสิ่งใดโดยท่านไม่เห็นชอบ เพื่อมิให้ท่านทำความดีเพราะถูกบังคับ แต่ทำด้วยความสมัครใจ ข้าพเจ้าคิดว่า เขาถูกพรากไปจากท่านระยะหนึ่ง เพื่อจะกลับมาอยู่กับท่านตลอดไป มิใช่ในฐานะทาส แต่ในฐานะที่ดีกว่ามาก คือเป็นน้องชายที่รัก ถ้าเขาเป็นที่รักอย่างยิ่งของข้าพเจ้า เขาจะต้องเป็นที่รักของท่านมากกว่าสักเท่าใดเล่า ทั้งในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์และในฐานะที่เป็นพี่น้องในองค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าท่านยังยอมรับว่าข้าพเจ้าเป็นมิตรกับท่าน ก็จงต้อนรับเขาเช่นเดียวกับที่ท่านจะต้อนรับข้าพเจ้า ถ้าเขาทำผิดต่อท่านเรื่องใด หรือเป็นหนี้ท่านเท่าใด ก็จงจดลงในบัญชีของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนด้วยมือของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้า เปาโล จะชดใช้ให้ทั้งหมด ข้าพเจ้าจะไม่พูดถึงหนี้สินอื่นที่ท่านเป็นหนี้ข้าพเจ้า ดีแล้ว น้องรัก หวังว่าท่านจะทำตามที่ข้าพเจ้าขอร้อง เพราะท่านศรัทธาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทำให้ดวงใจของข้าพเจ้าเป็นสุขสงบในพระคริสตเจ้าเถิด
สดด 146:7,8-9ก,9ข-10
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 17:20-25
เวลานั้น เมื่อชาวฟาริสีทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ามิได้มาอย่างที่จะสังเกตเห็นได้ จะไม่มีใครพูดว่า ‘พระอาณาจักรอยู่ที่นี่ หรืออยู่ที่นั่น’ เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายแล้ว”
พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เวลานั้นจะมาถึงเมื่อท่านปรารถนาเห็นวันของบุตรแห่งมนุษย์แม้เพียงวันเดียว แต่จะไม่ได้เห็น จะมีหลายคนกล่าวกับท่านว่า ‘บุตรแห่งมนุษย์อยู่ที่นั่น’ หรือ ‘บุตรแห่งมนุษย์อยู่ที่นี่’ ท่านอย่าออกไป อย่าตามไป เพราะเมื่อสายฟ้าแลบ ย่อมส่องสว่างจากขอบฟ้าหนึ่งไปถึงอีกขอบฟ้าหนึ่งฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเสด็จมาในวันของพระองค์ฉันนั้น แต่ก่อนจะถึงวันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จำเป็นต้องรับการทรมานอย่างมาก และจำเป็นที่คนยุคนี้ไม่ยอมรับพระองค์”
ข้อคิด
"พระศาสนจักรของพระเจ้าอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายแล้ว" นับแต่ในอดีตจนปัจจุบัน มีผู้คนมากมายกล่าวอ้างถึงหนทาง วิธีการ และรูปแบบของพระอาณาจักรพระเจ้า แต่องค์พระคริสตเจ้าได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า พระอาณาจักรของพระเป็นเจ้านั้นอยู่ภายในชีวิตหมู่คณะ อาณาจักรสวรรค์ไมใช่เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องขององค์กรหรือระเบียบปฏิบัติที่จะมากล่าวอ้างถึงการได้มาถึงพระอาณาจักรพระเจ้า แต่อาณาจักของพระเจ้าจะเกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตร่วมกัน เป็นชีวิตหมู่คณะของผู้ที่เชื่อในองค์พระคริสตเจ้าและดำเนินชีวิตด้วยจิตตารมณ์และวิสัยทัศน์ขององค์พระคริสตเจ้า และเป็นพันธกิจของเราแต่ละคนในการเสริมสร้างอาณาจักรนี้ด้วยชีวิตของเรา
วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2020 สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนพฤศจิกายน 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์, 14 สิงหาคม 2563 07:34
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 1033
บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์น อัครสาวก ฉบับที่สาม 3 ยน 1:5-8
เพื่อนรัก ท่านทำงานอย่างซื่อสัตย์โดยช่วยเหลือพี่น้องแปลกหน้าเหล่านี้ เขาเป็นพยานยืนยันต่อพระศาสนจักรถึงความรักของท่าน เป็นการดีที่ท่านจะช่วยเขาให้เดินทางต่อไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า เขาเดินทางไปเพราะเห็นแก่พระนามพระคริสตเจ้าเท่านั้น และไม่ได้รับสิ่งใดจากคนต่างศาสนา เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้อนรับ และร่วมงานกับบุคคลเหล่านี้ในงานเผยแผ่ความจริง
สดด 112:1-3,4,5-6
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 18:1-8
เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาเรื่องหนึ่งแก่บรรดาศิษย์เพื่อสอนว่าจำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย พระองค์ตรัสว่า “ผู้พิพากษาคนหนึ่งอยู่ในเมืองหนึ่ง เขาไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด หญิงม่ายคนหนึ่งอยู่ในเมืองนั้นด้วย นางมาพบเขาครั้งแล้วครั้งเล่าพูดว่า ‘กรุณาให้ความยุติธรรมแก่ดิฉันสู้กับคู่ความเถิด’ ผู้พิพากษาผู้นั้นไม่ยอมทำตามที่นางขอร้องจนเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จึงคิดว่า ‘แม้ว่าฉันไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด แต่เพราะหญิงม่ายผู้นี้มาทำให้ฉันรำคาญ ฉันจึงจะให้นางได้รับความยุติธรรม เพื่อมิให้นางรบเร้าฉันอยู่ตลอดเวลา’”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงฟังคำที่ผู้พิพากษาอธรรมคนนั้นพูดซิ แล้วพระเจ้าจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่ผู้เลือกสรรที่ร้องหาพระองค์ทั้งวันทั้งคืนดอกหรือ พระองค์จะไม่ทรงช่วยเขาทันทีหรือ เราบอกท่านทั้งหลายว่า พระองค์จะประทานความยุติธรรมแก่เขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา จะทรงพบความเชื่อในโลกนี้หรือ”
ข้อคิด
พระเยซูเจ้าทรงใช้เรื่องอุปมาเพื่อสอนให้เราภาวนาอย่างไม่ท้อถอย หญิงม่ายรบเร้าผู้พิพากษาเพื่อได้รับความยุติธรรม แม้จะรู้ว่าผู้พิพากษาผู้นั้นเป็นคนอธรรมและนางก็ได้รับการตอบสนองดังที่ตั้งใจ เพราะว่าผู้พิพากษาอธรรมนั้นทนการรบเร้าของนางไม่ได้ แต่สำหรับการภาวนาวอนขอพระเป็นเจ้านั้น พระองค์ทรงชอบธรรมพร้อมที่จะรับฟังคำภาวนาวอนขอของเราทุกคน แต่คำภาวนาของเรานั้นไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงพระองค์ เพราะพระองค์ชอบธรรมและยุติธรรมเสมอ แต่การภาวนาอย่างไม่ย่อท้อนั้น จะช่วยเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราให้กว้างขวางและมีน้ำใจที่จะตอบรับพระประสงค์ของพระเป็นเจ้าในชีวิตของเราได้ การภาวนาไม่ได้เปลี่ยนแปลงพระเจ้า หรือเหตุการณ์ภายนอก แต่การภาวนาจะเปลี่ยนแปลงผู้ภาวนา ให้มีจิตใจที่แสวงหาและเข้าใจในพระประสงค์ของพระเป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2020 สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนพฤศจิกายน 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์, 14 สิงหาคม 2563 07:37
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 1257
บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่สอง 2 ยน 1:4-9
ข้าพเจ้ามีความปีติมากที่รู้ว่า บุตรบางคนของท่านดำเนินชีวิตตามความจริงตลอดมา โดยปฏิบัติตามที่เราได้รับพระบัญชาจากพระบิดา เวลานี้ ข้าพเจ้าเขียนมาขอให้ท่านทั้งหลายที่เป็นพระศาสนจักรทำสิ่งหนึ่ง สิ่งนี้ไม่ใช่บทบัญญัติใหม่ แต่เป็นบทบัญญัติที่เรามีมาตั้งแต่แรกเริ่ม นั่นคือ เราจงรักกันเถิด
ความรักคือการดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติ บทบัญญัตินี้ท่านเรียนรู้มาแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม คือให้ดำเนินชีวิตในความรัก
คนหลอกลวงจำนวนมากออกไปทั่วโลก พวกนี้ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสตเจ้าเสด็จมาเป็นมนุษย์ คนเหล่านี้คือคนหลอกลวงและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้า ท่านจงระวังไว้ มิฉะนั้นงานทุกอย่างของเราจะสูญเปล่า และท่านจะไม่ได้รับค่าตอบแทนอย่างสมบูรณ์ ผู้ใดไม่ดำรงอยู่ในคำสอนของพระคริสตเจ้า และออกไปจากคำสอนนั้น เขาไม่มีพระเจ้าอยู่กับตน แต่ผู้ที่ดำรงอยู่ในสิ่งที่ทรงสอนเท่านั้นมีพระบิดาและพระบุตรอยู่ด้วย
สดด 119:1-2,10-11,17-19
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 17:26-37
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาสาวกว่า “เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นในสมัยของโนอาห์ฉันใด ก็จะเกิดขึ้นในสมัยของบุตรแห่งมนุษย์ ฉันนั้น ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานเป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ น้ำวินาศก็ได้ท่วมเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น ในสมัยของโลทก็เช่นเดียวกัน ผู้คนกิน ดื่ม ซื้อขาย ปลูกพืช สร้างบ้าน แต่ในวันที่โลทออกจากเมืองโสโดม ไฟและกำมะถันได้ตกจากท้องฟ้ามาเผาผลาญเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น ในวันที่บุตรแห่งมนุษย์จะทรงสำแดงองค์ ก็จะเป็นเช่นเดียวกันด้วย
ในวันนั้น คนที่อยู่บนดาดฟ้าและมีข้าวของอยู่ในบ้าน จงอย่าลงมาเอาของเหล่านั้นเลย คนที่อยู่ในทุ่งนาก็เช่นเดียวกัน จงอย่าหวนกลับมาอีก ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงเรื่องภรรยาของโลทไว้เถิด ผู้ใดที่พยายามรักษาชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น และผู้ใดที่เสียชีวิตของตน ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้ได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนนั้น สองคนที่นอนเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้” บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า “เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่ใด พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงตอบว่า “ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดาแร้งจะมาชุมนุมกัน”
ข้อคิด
คำทำนายถึงวาระสุดท้ายนั้นปรากฏอยู่ในหลายโอกาสและหลายตอนในพระคัมภีร์ คำทำนายนั้นบ่งบอกถึงความเร่งด่วน ความไม่แน่นอน และเน้นถึงการเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อศิษย์ถามพระเยซูว่า"เหตุการณ์นั้นจะมาในเวลาใด" เราทุกคนก็เช่นเดียวกันที่อยากจะรู้ว่า วาระสุดท้ายนั้นจะมาเวลาใด แต่เมื่อการรอคอยกลับกลายเป็นความเย็นชา ความเร่งด่วนในการเตรียมรับเสด็จนั้นก็เงียบเหงาซบเซาไป ซึ่งที่จริงแล้ว เราไม่ได้เป็นผู้รอคอยการเสด็จมาขององค์พระคริสตเจ้าอีกต่อไป แต่เราเป็นผู้ที่นำพระคริสตเจ้ามาในโลก เราทำให้การรอคอยที่ยืดยาวน่าเบื่อนั้น กลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี ทำให้สัมผัสองค์พระคริสตเจ้าได้โดยผ่านทางชีวิต กิจการ และแบบอย่างแห่งชีวิตของเรา เราคริสตชนต้องไม่ดำเนินชีวิตเป็นดั่งผู้รอคอยการเสด็จกลับมาขององค์พระคริสตเจ้า แต่เป็นผู้ที่รู้จักพระองค์ ได้สัมผัสพระองค์ เป็นการดำเนินชีวิตในพระองค์ ในโลกหยุดการรอคอยการเสด็จมา แต่ร่วมเฉลิมฉลองชีวิตของพระคริสตเจ้าให้เป็นปัจจุบันในทุกๆ วันแห่งชีวิตเรา
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2020 สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา
- รายละเอียด
- หมวด: เดือนพฤศจิกายน 2020
- เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์, 14 สิงหาคม 2563 07:30
- เขียนโดย กลุ่มไบเบิ้ลไดอารี
- ฮิต: 1301
บทอ่านจากหนังสือสุภาษิต สภษ 31:10-13,19-20,30-31
ใครจะพบภรรยาที่มีคุณธรรมได้ เธอประเสริฐกว่าไข่มุกยิ่งนัก จิตใจของสามีก็วางใจเธอ เขาจะไม่ขาดกำไร เธอทำให้เขามีความสุข ไม่ก่อความทุกข์ให้เขาเลยตลอดชีวิตของเธอ เธอไปหาขนแกะและป่าน มาทอเป็นผืนผ้าด้วยมืออย่างเต็มใจ
เธอยื่นมือจับไนปั่นด้าย นิ้วมือของเธอหมุนเครื่องกรอด้าย เธอเหยียดมือช่วยเหลือคนยากจน ยื่นมือช่วยเหลือคนขัดสน
เสน่ห์เป็นสิ่งหลอกลวง ความสวยงามก็ไม่จีรังยั่งยืน แต่สตรีที่ยำเกรงพระเจ้าสมควรได้รับคำสรรเสริญ จงให้เธอได้รับผลจากมือของเธอ การงานของเธอจงสรรเสริญเธอที่ประตูเมือง
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง 1 ธส 5:1-6
พี่น้องทั้งหลาย ไม่จำเป็นที่จะเขียนบอกท่านเรื่องวันเวลาที่กำหนด ท่านรู้อยู่แล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเหมือนขโมยที่มาตอนกลางคืน เมื่อใดที่กล่าวกันว่า “มีสันติและความปลอดภัยแล้ว” เมื่อนั้นความพินาศจะอุบัติแก่เขาโดยฉับพลันเหมือนความเจ็บปวดของหญิงมีครรภ์ แล้วเขาจะหนีไม่พ้น
ส่วนท่าน พี่น้องทั้งหลาย อย่าดำรงชีวิตในความมืด เพราะวันนั้นจะมาถึงโดยไม่รู้ตัวเหมือนขโมย ทุกท่านเป็นบุตรแห่งความสว่างและบุตรแห่งทิวากาล เรามิได้อยู่ฝ่ายราตรีกาลหรือความมืด ดังนั้น เราอย่าหลับใหลเหมือนคนอื่น จงตื่นอยู่เสมอและจงรู้จักประมาณตน
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 25:14-30
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกเป็นเรื่องอุปมาว่าดังนี้“อาณาจักรสวรรค์ยังจะเปรียบได้กับบุรุษผู้หนึ่งกำลังจะเดินทางไกล เรียกผู้รับใช้มามอบทรัพย์สินให้ ให้คนที่หนึ่งห้าตะลันต์ ให้คนที่สองสองตะลันต์ ให้คนที่สามหนึ่งตะลันต์ ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วจึงออกเดินทางไปคนที่รับห้าตะลันต์รีบนำเงินนั้นไปลงทุน ได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์ คนที่รับสองตะลันต์ก็ได้กำไรมาอีกสองตะลันต์เช่นเดียวกัน แต่คนที่รับหนึ่งตะลันต์ไปขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้
หลังจากนั้นอีกนาน นายของผู้รับใช้พวกนี้ก็กลับมาและตรวจบัญชีของพวกเขา คนที่รับห้าตะลันต์เข้ามา นำกำไรอีกห้าตะลันต์มาด้วย กล่าวว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าห้าตะลันต์ นี่คือเงินอีกห้าตะลันต์ที่ข้าพเจ้าทำกำไรได้’ นายพูดว่า ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’ คนที่รับสองตะลันต์เข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าสองตะลันต์ นี่คือเงินอีกสองตะลันต์ที่ข้าพเจ้าทำกำไรได้’ นายพูดว่า ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’
คนที่รับหนึ่งตะลันต์เข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับ ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนเข้มงวด เก็บเกี่ยวในที่ที่ท่านไม่ได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ท่านไม่ได้โปรย ข้าพเจ้ามีความกลัว จึงนำเงินของท่านไปฝังดินซ่อนไว้ นี่คือเงินของท่าน’ นายจึงตอบว่า ‘ผู้รับใช้เลวและเกียจคร้าน เจ้ารู้ว่าข้าเก็บเกี่ยวในที่ที่ข้ามิได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ข้ามิได้โปรย เจ้าก็ควรนำเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้ เมื่อข้ากลับมาจะได้ถอนเงินของข้าพร้อมกับดอกเบี้ย จงนำเงินหนึ่งตะลันต์จากเขาไปให้แก่ผู้ที่มีสิบตะลันต์ เพราะผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น และเขาจะมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีก็จะถูกริบไปด้วย ส่วนผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ จงนำไปทิ้งในที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง’”
ข้อคิด
พระอาณาจักของพระเจ้าอยู่ในตัวเราแต่ละคน พระเป็นเจ้าทรงประทานพระพรแห่งพระอาณาจักรเพื่อเราจะได้นำพระพรนี้ไปเสริมสร้างพระอาณาจักรตามสถานะ และพระพรที่ได้รับมา เราไม่จำเป็นที่จะต้องรอคอยให้พระเป็นเจ้ามาแจกแจงบัญชีแห่งพระพรของพระอาณาจักรพระเจ้าที่ได้รับมา แต่ผลแห่งพระอาณาจักรที่แต่ละคนได้ลงทุนลงแรง เสริมสร้างโดยไม่สูญเปล่า ทำให้ตัวเราและผู้อื่นได้ชื่นชมความยินดี ความรัก และสันติแห่งพระอาณาจักรของพระเจ้า สิ่งที่งบอกว่า เราเป็นผู้รับใช้ที่ดีหรืไม่ คือการใช้พระพรที่เราได้รับมาจากพระเจ้า ในการดำเนินชีวิต เพื่อแสดงออกถึงพระอาณาจักรของพระเจ้า และนำความรัก ความยินดีมาสู่ชีวิตตนเองและผู้อื่น หาไม่แล้วเราก็จะเหมือนคนรับใช้ที่เกียจคร้าน นั่งขมขื่นกับชะตกรรมของตนเอง และโกรธเคืองผู้อื่น